เคล็ดลับหุ่นเฟิร์ม สุขภาพดี แบบฉบับคนธรรมด๊า ธรรมดา


.
นึกคันมืออยากเขียนบทความขึ้นมา แต่ปกติเขียนบันทึกการเดินทาง หรือไม่ก็แชร์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องการทำงาน HR แต่เมื่อถึงวันที่หมดมุข ยังไม่รู้จะเขียนอะไร  ก็ไปยืนส่องกระจกหน้าห้องน้ำ พบว่า…...เอ้อ ก็หุ่นดีเหมือนกันนะ -.-  เขียนเรื่องการดูแลสุขภาพบ้างละกัน

วันนี้เลยมาขอแชร์ เคล็ดไม่ลับการดูแลสุขภาพให้หุ่นดี แบบที่ใครๆก็ทำได้  เพราะขนาดผมเป็นมนุษย์เงินเดือน กินเงินเดือนอันน้อยนิด ทำงานเช้า  ตรอกบัตรเลิกงานเย็น ยังทำได้  ผมเชื่อว่าคุณผู้อ่านก็คงจะทำได้เหมือนกัน 
.
การจะมีหุ่นที่ดี สุขภาพดีได้นั้น  มันมาจากองค์ประกอบหลายส่วน คือผมไม่ได้เน้นส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นพิเศษ แต่อาศัยทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองป่วยน้อยที่สุด
.
คำถามต่อมาคือ...แล้วทำไมผมถึงต้องอยากสุขภาพดีด้วย ผมเชื่อว่าหลายคนคงมีคำตอบให้กับตัวเอง….ทั้งเพื่อลดความอ้วน….ทั้งเพื่อความดูดี...หรือเพื่อหวังผลอื่นๆก็สุดแล้วแต่ใครจะปรารถนา แต่ผมคิดว่ามันต้องตั้งต้นกันก่อนว่า จะสุขภาพดีไปเพื่ออะไร

สำหรับผมคือ ผมเคยสุขภาพย่ำแย่ จากการใช้ชีวิตแบบบ้าระห่ำสมัยเรียนมาก่อน ระห่ำขนาดที่ว่า กินเหล้าต่อเนื่อง 3 วัน 2 คืน แบบไม่หยุดพัก   ใช้ร่างกายไปทำงานแบกหาม กรรมกรระหว่างปิดภาคเรียน นอน 7 โมงเช้าเป็นเรื่องปกติ   และการออกกำลังกายไม่เคยอยู่ในหัวสมอง  ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาได้ 3 - 4 ปี จนสุดท้ายร่างกายเริ่มพังทีละส่วน 

.
ผมคิดว่าตัวเองโชคดีนะ ที่ร่างกายพังตอนนั้น มันเหมือนเป็นสัญญาณเตือนที่มาไวกว่าคนอื่นตั้งแต่อายุ 20  และทำให้ผมไหวตัวทัน และเริ่มหันดูแลตัวเองนับตั้งแต่วันนั้น  และต่อไปนี้คือเคล็ดลับการดูแลตัวเองที่แถมมาด้วยหุ่นที่ดีด้วยของผม
.
.
22.00 - 22.30 น.
การจะมีสุขภาพที่ดีนั้น เราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่เวลาตื่น เวลานอน เพราะเวลาชีวิตเป็นสิ่งสำคัญมาก ผมเลือกเวลาเข้านอนอยู่ในช่วง 22.00 - 23.00 น. เป็นประจำทุกวัน เพื่อนผู้ชายหลายคนมักบอกว่า มันอนามัยจังวะ แต่ผมกลับพบว่า ให้ผมกลับไปนอนตีหนึ่ง ตีสอง ไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะถ้าวันไหนนอนดึก ตื่นขึ้นมาจะรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
.
ข้อดีของการนอนเวลานี้ เราจะนอนได้เต็มอิ่ม ประมาณ 8 ชม. พอดีที่เวลา 6 โมงเช้า ถือว่าเป็นเวลาเหมาะกับการตื่นไปทำงาน ซึ่งก็รวมถึงวันเสา อาทิตย์ด้วย ผมมักจะตื่นเวลาเดิม เพื่อมาออกกำลังกาย หรือไม่ก็อ่านหนังสือ โดยจะอนุญาตให้ตัวเองนั้นได้ตื่นสายได้ 1 วัน แต่เต็มที่อย่างไร ก็ไม่เคยเกิน 8 โมงเช้า
.

6.00 - 7.00 น.
นี่คือเวลาตื่นนอนปกติของทุกวัน ผมพบว่าพอเราปรับเวลาชีวิตให้ได้คงเส้นคงวา ไม่สลับไปสลับมา  ร่างกายจะตอบสนองและให้พลังงานชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม หลายๆสิ่งที่ผมเขียนในบทความนี้ดูเหมือนยาก หรืออาจดูเป็นระเบียบแบบแผนเกินไป  แต่ถ้าเมื่อไหร่เราทำติดต่อกันนานๆ ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ โดยที่เราไม่รู้สึกฝืนใจทำมันเลย
.
กิจวัตรหนึ่งที่ผมฝึกจนกลายเป็นนิสัยคือ ตื่นมาแล้วต้องขับถ่าย ผมพบว่าร่างกายเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เราสามารถตั้งเวลาให้กับมันได้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีวันไหนที่ผมตื่นมาแล้วไม่ขับถ่ายเลย  ต่อให้เมื่อวานทานน้อยแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีการขับถ่ายออกมาเสมอ
.
ผมจำได้ว่าพฤติกรรมแบบนี้เพิ่งมาเป็นช่วงที่หันมาดูแลสุขภาพ โดยอาศัยการฝึกคือ ไม่ว่าจะปวดหรือไม่ปวดอย่างไร จะต้องไปนั่งที่ชักโครก จำได้ว่าช่วงแรกๆก็ยังยากอยู่ แต่พอร่างกายรับรู้ว่านี่คือเวลาขับถ่าย คราวนี้ไม่ต้องเบ่งกันเลยทีเดียวละ   ที่สำคัญอีก 1 อย่าง หลังตื่นนอนมาแล้ว น้ำอุ่นๆ 1 แก้ว เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับที่ดีมากเลย เพราะจะช่วยให้ถ่ายได้คล่องขึ้น
.
7.00 - 8.00 น.
ก่อนออกไปทำงานทุกวันผมจะออกกำลังกายด้วยลูกกลิ้ง 3 set   set ละ 12 ครั้ง การออกกำลังกายด้วยลูกกลิ้ง ถือว่าเป็นที่มาของ 6 pack ของผมเลยก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้ออกกำลังกายแบบคาดิโอเป็นหลักทำให้ร่างกายผอม และไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อเห็นชัด แต่พอหันมาเล่นลูกกลิ้งได้ 3-4 เดือน กล้ามเนื้อก็เห็นได้ชัดขึ้น แบบที่ชีวิตนี้ก็เพิ่งเริ่มมีกล้ามอันน้อยนิดกับเขาสักที (ซื้อที่ดีแคทลอนก็มี 200 บาทเอง)

.
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญก่อนออกจากบ้าน คือ ผมจะนั่งสมาธิอย่างน้อย 5 นาที เพราะสุขภาพกายมักผันแปรตามสุขภาพของจิตใจ เป็นเรื่องที่ผมรู้ดีแต่มักทำได้ไม่ดีนัก ในเมืองกรุงที่สุดแสนวุ่นวาย และเคร่งเครียดเช่นนี้ จึงมักต้องอาศัยช่วงเวลาสั้นๆ ในการสงบจิต สงบใจ เพราะยิ่งเครียดเท่าไหร่ ร่างกายก็ยิ่งป่วยง่ายเท่านั้น
.
8.00 - 9.00 น. ข้าวเช้า
.
มื้อเช้าถือเป็นมื้อใหญ่สำหรับผม  เพราะผมจะกินอย่างเมามัน  ข้อดีของการกินข้าวเช้าอย่างเต็มอิ่มคือตกเย็นจะไม่ค่อยหิว   ช่วงแรกยอมรับเลยว่าเช้าๆก็กินอะไรไม่ได้เยอะเหมือนกัน
เคยไปกินข้าวกับเพื่อน มันบอกว่ากินข้าวเช้าเยอะๆได้ไงวะ กูกินแค่ครึ่งจานก็อิ่มแล้ว ผมพบว่าในออฟฟิศผม มื้อเช้าเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมากที่สุด แต่ละคนจะวิ่งตาลีตาเหลือก มาสแกนนิ้ว พร้อมถุงหมูปิ้ง อาหารสิ้นคิดมาคนละไม้สองไม้  
.
.
แต่สำหรับผมมื้อเช้าจะประกอบไปด้วย
ไข่ต้ม เป็นหนึ่งสิ่งที่ผมขาดไม่ได้ ผมมักจะต้มไข่มาจากบ้านทุกวัน เพื่อไว้กินในตอนเช้า ไข่ต้มสำหรับผมให้สารอาหารที่เยอะ แถมยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้อิ่มท้องมากขึ้นด้วย จึงเป็นภาพชินตาที่แม่ค้าร้านข้าวแกง จะเห็นผมตอกไข่ต้ม กินกับข้าวที่ร้านของเธอในทุกๆเช้า
โดยอาหารเช้าผมกินข้าวราดแกงธรรมดาๆ  อาศัยเพียงแค่ต้องมีผักคู่กับเนื้อสัตว์ เพราะผมกินผักเปล่าๆไม่ไหว  ส่วนเรื่องปริมาณข้าว ต้องบอกว่าผมกินเยอะมาก  ผมว่าการกินข้าวเยอะ ก็ไม่อ้วนเท่าการกินพวกชาไม่มุกหรอก ผมเลยใส่ไม่ยั้งในมื้อเช้า



10.00 - 11.00 น.
จะกินมาเยอะขนาดไหน ก็ไม่อาจต้านทานเสียงท้องที่เริ่มร้องขึ้นมาได้ ต่อให้ผมจะรักสุขภาพเพียงใด ผมก็ยังมีกิเลสในใจ และไม่อาจต้านทานต่อความหิวได้ทุกที แต่ผมเลือกอาหารว่างที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้คือ การกินชาร้อน หรือไม่ก็กาแฟดำสัก 1 แก้ว แบบที่ไม่ใส่น้ำตาลเลย มันช่วยผมได้มากที่เดียวเลยละ แถมวันไหนที่กินกาแฟนะ ความคิดสร้างสรรค์ในการทำงานจะพุ่งกระฉูดมาก ส่วนวันไหนที่กินชา ก็จะมีสมาธิทำงานที่น่าเบื่อได้ดียิ่งขึ้น  

.
12.00 - 13.00 น.
ได้เวลาอาหารเที่ยง ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับมื้อนี้ เพราะเป็นมื้อที่ไม่สามารถเลือกอะไรได้มาก ภายใต้ช่วงเวลาที่จำกัด อาศัยร้านอาหารตามสั่ง เมนูที่สั่งก็ทั่วไปคือ ข้าวผัด ผัดกะเพรา ผัดฉ่าที่จะคอยบอกแม่ครัวว่า เอารสชาติจืดๆไว้ก่อน เพราะพวกเครื่องปรุงส่วนใหญ่กินมากไปก็ล้วนแต่ไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น
.
จริงๆผมว่าเรื่องอาหารการกิน ผมแทบไม่ได้แตกต่างกับคนอื่นๆเลย และผมก็ไม่ได้มีงบประมาณกินของดีๆขนาดนั้น ก็อาศัยกินตามข้างทางตลอด แต่สิ่งที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีขึ้น ผมมองว่ามันอยู่ที่อาหาร เครื่องดื่มจานรองอื่นๆ ที่เราชอบกินกันมากกว่า  เพราะอาหารพวกนั้นล้วนเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ผมจะยกตัวอย่างอาหารที่ผมแทบจะไม่แตะมันเชียวละ  
“ไส้กรอก ลูกชิ้น ชานมไข่มุก ของทอด ขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม ยำต่างๆ”  ผมแทบจะไม่แตะต้องมันเลย ด้วยเหตุผลที่ว่ามันกินแล้วไม่อิ่ม มันแพง และผมกินของพวกนี้เยอะๆไม่ได้ เพราะร่างกายผมมันแปลกมาก หากผมกินของข้างต้นไปเยอะๆ ร่างกายจะแสดงออกมาด้วยอาการร้อนใน จุกเสียด ลมตีขึ้น เจ็บคอ  มันเลยทำให้ผมต้องบอกเลิกมันไปโดยปริยาย



 
15.00 - 16.00 น.
เป็นช่วงเวลาที่ง่วงนอนมากที่สุด หากไม่ได้มีอะไรตกถึงท้อง คงไม่มีอารมณ์ทำงานแน่ๆ ผมจะเลือกกินเป็นผลไม้ต่างๆ  จากที่กล่าวมาจะเห็นว่าผมแทบไม่ได้คุมน้ำตาลจากอาหาร ที่มาจากธรรมชาติเลย ไม่ว่าจะเป็นข้าว หรือผลไม้ก็ตามที ผมมีความเชื่อว่าต่อให้เป็นน้ำตาล แต่ถ้ามันมาจากธรรมชาติ ผมก็ยังคิดว่ามันไม่ได้ทำร้ายสุขภาพเรามากนัก ผมจึงมักที่จะชอบติดผลไม้มากินทุกบ่าย และกินมันทุกชนิดโดยไม่สนใจว่ามันจะมีน้ำตาลเยอะขนาดไหน (ข้อนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ที่อาจไม่เหมือนกันด้วยนะ)
บางทีก็จะกินเป็นน้ำเต้าหู้ โดยเมนูโปรดคือ น้ำเต้าหู้งาดำ หวานน้อย ใส่ลูกเดือย ถั่วแดง ราคาถุงละ 12 บาท เอง เห็นไหมครับว่า สุขภาพดีแบบฉบับผมใช้เงินน้อยจะตาย ต่อวันไม่เคยเกิน 150 บาท 


.
18.00 - 19.00 น.
แล้วก็มาถึงช่วงเวลาพระเอกของเรากันแล้ว  เวลาของการออกกำลังกายนี่เอง ถ้าอยากมีหุ่นดี ยังไงก็หนีไม่พ้นการออกกำลังกายหรอก และนี่คือตารางการออกำลังกายของผม
.
จันทร์ : กระโดดเชือก 30 นาที 
อังคาร : ว่ายน้ำ 60 นาที (ช่วงหลังมาก็ไม่ได้ไปว่ายน้ำ ก็กระโดดเชือกแทน)
พุธ : กระโดดเชือก 30 นาที
พฤหัส : โยคะ (อันนี้แนะนำดีมาก โดยเฉพาะคนออฟฟิศ)
ศุกร์ : พัก
เสาร์ : วิ่งหรือปั่นจักรยาน 1-2 ชั่วโมง
อาทิตย์: พัก
.
จริงๆแล้วการออกกำลังกาย ถ้าเพียงต้องการสุขภาพที่ดี แค่กระโดดเชือกวันละ 30 นาที 3-4 วันต่อสัปดาห์ก็พอแล้ว แต่ถ้าอยากมีกล้ามขึ้นมาหน่อยผมแนะนำซื้อลูกกลิ้งมา กลิ้งเล่นอีกวันละ 30 ครั้ง ทำ 3-4 วัน เช่นกัน ก็จะได้หุ่นแบบนี้


.
.
หรือถ้าใครกลัวเบื่อและอยากเพิ่มความสนุก การว่ายน้ำ วิ่ง ปั่นจักรยาน ก็เป็นกีฬาที่จะทำให้การออกกำลังกายไม่น่าเบื่อ จำเจเกินไป เพราะผมจะสลับกันเล่นไปเรื่อยๆ เบื่อวิ่งก็ไปปั่น บางทีเจ็บกล้ามเนื้อส่วนไหน ก็เปลี่ยนไปเล่นกีฬาอีกอย่าง การออกกำลังกายก็เหมือนการเสพติด ถ้าทำมันจนติด วันหนึ่งถ้าหยุดยาวขึ้นมา คุณจะหาทางกลับไปออกกำลังกายได้เอง ผมเชื่ออย่างนั้น เพียงแต่คุณเสพติดมันได้รึยังเท่านั้นเอง
.
การออกกำลังกายที่ดีและเห็นผลคือการทำไปเรื่อยๆ และไม่ยึดติดกับการออกกำลังกายรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งมากจนเกินไป ผมเคยติดการวิ่ง จนจากเพื่อสุขภาพ จนทำลายสุขภาพมาแล้ว หนสุดท้ายก็ต้องกลับมาปรับสมดุล และท่องไว้เสมอว่า เราออกกำลังกายเพื่อสุขพาพที่ดี มิใช่เพื่อการแข่งขัน 
.
19.00 - 20.00 น.  ข้าวเย็น
หลังจากออกกำลังกายเรียบร้อย บางวันก็เหนื่อยจนขี้เกียจกินข้าวแล้วละ ถ้าวันไหนที่ออกกำลังกายเลิกดึก ผมจะถือโอกาสไม่กินข้าวเย็น โดยจะกินเพียงโยเกิร์ตหรือขนมปังพอให้อยู่ท้อง เพราะถ้าไม่กินเลยบางทีก็ท้องร้องตอนเข้านอน ก็ทำให้นอนไม่หลับเสียสุขภาพจิตเหมือนกัน แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ออกกำลังกาย ผมก็จะถือโอกาสทำกับข้าวทานเอง เพราะการทำกับข้าว ผมสามารถเลือกสารอาหาร ปริมาณ ที่ต้องการได้ตามใจเลยละ เคล็ดลับของผมคือการกินอาหารให้หลากหลายที่สุด  บางวันกินไก่ บางวันกินปลา บางวันกินกุ้ง   ผักผลไม้ก็จะหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ  ไม่กินอะไรซ้ำๆเดิมๆ  หรือแม้แต่ร้านข้าวเองผมก็ยังหมุนเวียนกินร้านอื่นๆไปเรื่อยๆ  เพราะเชื่อว่าการกินอะไรเดิมๆนานๆไป คงไม่ดีต่อสุขภาพทั้งนั้น ดังนั้นการกินอาหารที่หลากหลายก็เป็นทางเลือกที่ดี


.
จะเห็นว่าผมแทบไม่ได้มีการคุมอาหาร คือควบคุมแคลอรี่เลย โดยผมถือคติที่ว่า หิวก็กิน ไม่หิวก็ไม่กิน ไม่มีการอด หรือกินจนเกินพอดี ผมว่าสิ่งสำคัญคือการรับฟังร่างกาย ว่าเขาต้องการอะไร ถ้าเขาแสดงอาการไม่ดี ก็แสดงว่าเราทำบางอย่างผิดไป และเราก็จะจดจำไม่ทำมันซ้ำอีก ซึ่งร่างกายแต่ละคน ผมว่ามันก็มีเอกลักษณ์จุดแข็ง จุดอ่อน แตกต่างกันออกไป อยูที่เราจะใส่ใจดูแลมากแค่ไหนเสียมากกว่า และที่สำคัญคือ ต่อให้เราจะดูแลสุขภาพดีอย่างไร อาการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ถือเป็นเรื่องปกติ ที่เราควรรับให้ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่