ถุงมือเรื่องสั้น สมัยที่ 5 ยกที่ 1 เรื่องที่ 5 ครับ เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างหลังจากเจอเรื่องสยองไปสองเรื่องแล้ว ^^
เรื่องนี้สั้นหน้าเดียวจบ เป็นเรื่องแฝงปรัชญาชวนคิด....
ในคืนสงัดท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ
รับฟังคำสนทนาที่แฝงไว้ด้วยสัจธรรมของชีวิตบนโลก
ชะตากรรมไม่เคยปรานีสัตว์โลกผู้อ่อนด้อยกว่า
เบื้องหลังความสว่างคือความมืด
และความมืดมนย่อมมลายไปภายใต้แสงสว่าง
เชิญติดตามคำถามตอบที่แสนธรรมดา แต่ลึกซึ้งด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา ณ บัดนี้ครับ ^^
ฟ้ามืดแล้ว จันทร์วันเพ็ญดวงโตทอแสงนวลตา ลมเย็นพัดใบไม้แกว่ง พื้นดินชุ่มฉ่ำหลังฝนพรำ เสียงนกบนต้นไม้ดังลอยมาตามสายลม
"ระวังเหยียบตัวหนอน นายเดินดีๆ หน่อยซี่ ดูทางด้วย" เสียงเตือนสั่งให้เพิ่มความระมัดระวัง
"เราเกือบเหยียบเข้าให้แล้ว เจ้าหนอนตัวน้อยจะไปที่ใดกัน"
"นายว่ามันจะไปที่ใดล่ะ" เป็นคำถามชวนคิด
"เราว่ามันมีอิสรภาพ คิดอยากคลานไปที่ใดก็ได้ ค่ำแล้วคงไปหาที่หลับนอน"
"แล้วนายไม่มีอิสรภาพหรือ"
"
เราเหมือนถูกจำกัดอยู่ในกรอบ ลำบากใจจัง คิดแล้วอยากเป็นหนอน" เสียงถอนหายใจดังแผ่ว
"หนอนมันอยู่ได้ไม่นาน บางทีไม่ทันกลายเป็นผีเสื้อก็ถูกนกกินเป็นอาหารเสียก่อน ทำไมนายไม่อยากเป็นนกบ้าง จะได้บินไปไกลๆ อย่างเสรี" เสียงนกร้องระงมบนต้นไม้ดังสอดคล้องกับความคิดเห็น
"จริงด้วย เป็นนกบินได้ไกลมาก อาจบินไปสุดขอบฟ้าจากทวีปหนึ่งสู่อีกทวีปหนึ่งก็ได้"
"ระวังเหยียบซากลูกนกบนพื้น" ในความสงัดของชายป่าเสียงเตือนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากทอดระยะไปห้วงหนึ่ง
"มันตายแล้วยัง น่าสงสารจัง"
"เมื่อครู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ได้แต่เป็นอาหารของมดแมลงแล้ว
ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ นายว่าไหม"
"มดมารุมกิน มันขนเอาเศษซากเนื้อไปรังด้วย รังมันคงมีหลายชีวิตรอคอยอาหารอยู่ เราว่าเป็นมดคงไม่เหงา มีพี่น้องมากมาย รักกันตายแทนกันได้ เป็นมดก็ไม่เลว" ใจจินตนาการเห็นภาพสังคมของมดในรัง
"แต่มดก็ไม่พ้นการเป็นอาหารของสัตว์อื่น น้ำมาปลากินมด ฝนตกหนักกว่านี้น้ำอาจท่วมรังมด นายเคยเห็นมดลอยเป็นแพในน้ำไหม ไม่ช้าก็กลายเป็นเหยื่อของปลา" ความเป็นไปของเหล่าสัตว์ตัวจิ๋วน่าเศร้าใจ ชะตากรรมไม่เคยปรานีสัตว์โลกผู้อ่อนด้อยกว่า
"จริงด้วย เป็นปลาดีกว่ามด สามารถแหวกว่ายอย่างร่าเริงในสายน้ำ คงสนุกไม่น้อย ชักอยากเป็นปลาแล้วซี่ จะได้ว่ายเที่ยวเล่นไปให้ทั่วท้องน้ำ" ความรู้สึกเบิกบานใจเข้ามาแทนที่ความหดหู่
"ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วอะไรกินปลาใหญ่นายลองคิดดูให้ดี"
"ตัวอะไรกินปลา"
"
ก็คนนี่ไง คนจับปลามากินเป็นอาหาร นายอยากเป็นปลานอนหงายเหงือกถูกทุบหัวต้มในหม้อแกงอย่างนั้นหรือ" เสียงเฮฮาของวงสุราดังอยู่ไกลๆ
"จริงซี่ ตกลงว่าเป็นคนดีกว่าเป็นปลา ทั้งฉลาดทั้งเก่งจับปลามากินได้" มันเป็นข้อสรุปที่ใครๆ ก็ยอมรับ
"แต่ว่าคนต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา ต้องมีปัจจัยสี่ครบไม่อย่างนั้นดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ เสื้อผ้าที่อยู่อาศัยอาหารและยาพร้อมถึงจึงจะอยู่รอด บ้างต้องเลี้ยงทั้งตัวเองและครอบครัว ถ้าหากไม่มีกินก็อดตาย แถมหลายคนยังเลือกกินอาหาร ถ้าไม่สะอาดไม่น่ากินบางทีก็กินไม่ลง" ข้อโต้แย้งนี้สร้างความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ
"แล้วอะไรที่ไม่ต้องเลือกกิน กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีปัจจัยสี่ครบก็มีชีวิตอยู่รอดล่ะ" คำถามผุดขึ้นมาในจิตใจ
"นายเห็นสุนัขฝูงนั้นไหม คนพวกนั้นพอกินเหลือเศษอาหารก็ถูกเททิ้งให้สุนัข เมื่อพวกมันกินกันจนอิ่มแล้วก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องนุ่งผ้า ค่ำไหนนอนนั่น ไม่ต้องหุงหาอาหารกินเอง" เมื่อมองในมุมกลับแล้วนี่เป็นความจริงที่ต้องพยายามหาข้อโต้แย้ง
"อ้าว ทำไมเป็นสุนัขกลับดูเหมือนสุขสบายกว่าเป็นคนไปได้ ไม่เข้าใจเลย ทำใจไม่ได้ถ้าต้องเป็นสุนัข แต่คิดไปแล้วก็จริงของนาย" ใจชักไขว้เขวกำลังพยายามหาเหตุผลมาหักล้าง ขณะเสียงสุนัขหอนดังเป็นทอดๆ
"แต่เป็นสุนัขบางทีก็สู้เป็นแมวไม่ได้ ถึงคนจะเลี้ยงสุนัขอย่างดีเท่าใดแต่ก็ไม่ดีเท่าแมว นายเคยได้ยินไหมคำว่า
ทาสแมว"
"ทาสแมว"
"ใช่ มีคนจำนวนมากที่หลงรักแมวอย่างถึงที่สุด เลี้ยวดูทะนุถนอมแมวยิ่งกว่าลูกในไส้ ปรนเปรอสารพัดสิ่งให้กับแมวอย่างไม่มีข้อแม้ หอบหิ้วไปไหนต่อไหนดุจดั่งทาสของมัน แม้ว่าแมวตายแล้วก็ยังถึงกับทำพิธีศพจัดหาสุสานให้ก็มี" แมวดำตัวโตดวงตาทอประกายสีเหลืองแวววับปรากฏกายร้องเหมียวก่อนเดินสวนไปห่างๆ
"ถ้าอย่างนั้นชักอยากเป็นแมวแล้วซี่ แต่เป็นแมวแล้วก็ต้องตายอยู่ดี" ความทรงจำบอกว่าเคยมีเพื่อนหลายคนที่รักแมวมากมายเช่นนี้
"หากตายแล้วนายก็ไม่ต้องมีร่างกายให้ทุกข์ทรมาน ลอยล่องไปยังแห่งหนใดก็ได้ ไม่ต้องหิวโหย ไม่ต้องหลับนอน ไม่ต้องมีบ้านเรือน ไม่ต้องเลี้ยงดูใคร ไม่ต้องให้ใครมาเลี้ยงดู จงก้าวเท้าเข้ามาสู่ปรโลกด้วยกันเถอะ" ลมเย็นยะเยือกพัดวูบผ่านกายให้ความรู้สึกหนาวสะท้าน
"จริงหรือ ปรโลกเป็นเช่นนั้นจริงหรือ"
"ชีวิตในโลกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น มาอยู่ในปรโลกด้วยกันแล้วนายจะไร้ซึ่งความยึดติดใดๆ" กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามลมหอมชวนเคลิบเคลิ้ม
"แล้วต้องทำอย่างไรจะได้สิ้นทุกข์" เสียงหรีดหริ่งเรไรเงียบหายไปในบัดดลเหลือเพียงความเงียบวังเวง
"ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้ามีเชือกอยู่ ใช้มันแขวนคอกับกิ่งไม้แล้วจะได้พบกับเราที่ปรโลก"
"แขวนคอ… แขวนคอ… แขวนคอ..." ขณะพึมพำเท้าก็ก้าวเป็นจังหวะช้าๆ ตรงไปยังต้นไม้นั้นอย่างไร้สติ ภาพเงาดำกวักมือเรียกปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้อย่างเลือนราง
"เหง่ง...หง่าง เหง่ง...หง่าง !!!" เสียงระฆังดังก้องสองหูปลุกจิตให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
"เณรอย่าฟุ้งซ่านไปกับอคติ กำหนดจิตกลับมาสู่สมาธิ อยู่กับคำภาวนาพุทโธ ปล่อยวางความคิดเหล่านั้นทั้งหมดอย่าหลงใหลไปกับมันอีก นั่นมันอวิชชาทั้งสิ้น" เสียงหลวงพ่อดังลั่นในโสตประสาท เสียงหนักแน่นนี้กระชากจิตให้หลุดออกจากวังวนแห่งความฟุ้งซ่านอย่างฉับพลัน
"ครับ หลวงพ่อ" สติกลับคืนมาภายใต้แสงตะเกียงสลัว ภาพเจดีย์บรรจุอัฐิเรียงรายรอบตัวในป่าช้าวิเวกทำเอาขนลุกเกรียวทั่วตัว เหงื่อกาฬชุ่มแผ่นหลังอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงต้นไม้ต้นนั้นแล้ว
"เจริญภาวนาด้วยคำบริกรรมขณะก้าวเท้าแต่ละก้าว พิจารณาจิตให้เห็นจิต อย่าส่งจิตออกนอก" ธรรมะของหลวงพ่อดังก้องในจิตสำนึก ความรู้สึกเย็นยะเยือกสลายไปสิ้นความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นแทนที่ทั่วกาย
"พุทโธ พุทโธ พุทโธ..." เสียงบริกรรมดังแผ่วเบา จิตสงบลงขณะกลับมาเดินจงกรมในลานดินอีกครั้ง
ไม่ช้าความฟุ้งซ่านค่อยๆ มลายไปสมาธิบังเกิดขึ้นแทนที่ จิตนั้นละเอียดมากขึ้นเป็นลำดับ สมาธิแน่วแน่จนบังเกิดเป็นฌาน แลในระหว่างห้วงลมหายใจจิตนั้นก็ประภัสสร
---- จบ -----
🌞👁☀ THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น#71 Week#18, 26-31 ตุลาคม/ "หลง" - ถุงมือ WISDOM 🌞👁☀
เรื่องนี้สั้นหน้าเดียวจบ เป็นเรื่องแฝงปรัชญาชวนคิด....
ในคืนสงัดท่ามกลางแสงจันทร์วันเพ็ญ
รับฟังคำสนทนาที่แฝงไว้ด้วยสัจธรรมของชีวิตบนโลก
ชะตากรรมไม่เคยปรานีสัตว์โลกผู้อ่อนด้อยกว่า
เบื้องหลังความสว่างคือความมืด
และความมืดมนย่อมมลายไปภายใต้แสงสว่าง
เชิญติดตามคำถามตอบที่แสนธรรมดา แต่ลึกซึ้งด้วยแสงสว่างแห่งปัญญา ณ บัดนี้ครับ ^^
ฟ้ามืดแล้ว จันทร์วันเพ็ญดวงโตทอแสงนวลตา ลมเย็นพัดใบไม้แกว่ง พื้นดินชุ่มฉ่ำหลังฝนพรำ เสียงนกบนต้นไม้ดังลอยมาตามสายลม
"ระวังเหยียบตัวหนอน นายเดินดีๆ หน่อยซี่ ดูทางด้วย" เสียงเตือนสั่งให้เพิ่มความระมัดระวัง
"เราเกือบเหยียบเข้าให้แล้ว เจ้าหนอนตัวน้อยจะไปที่ใดกัน"
"นายว่ามันจะไปที่ใดล่ะ" เป็นคำถามชวนคิด
"เราว่ามันมีอิสรภาพ คิดอยากคลานไปที่ใดก็ได้ ค่ำแล้วคงไปหาที่หลับนอน"
"แล้วนายไม่มีอิสรภาพหรือ"
"เราเหมือนถูกจำกัดอยู่ในกรอบ ลำบากใจจัง คิดแล้วอยากเป็นหนอน" เสียงถอนหายใจดังแผ่ว
"หนอนมันอยู่ได้ไม่นาน บางทีไม่ทันกลายเป็นผีเสื้อก็ถูกนกกินเป็นอาหารเสียก่อน ทำไมนายไม่อยากเป็นนกบ้าง จะได้บินไปไกลๆ อย่างเสรี" เสียงนกร้องระงมบนต้นไม้ดังสอดคล้องกับความคิดเห็น
"จริงด้วย เป็นนกบินได้ไกลมาก อาจบินไปสุดขอบฟ้าจากทวีปหนึ่งสู่อีกทวีปหนึ่งก็ได้"
"ระวังเหยียบซากลูกนกบนพื้น" ในความสงัดของชายป่าเสียงเตือนดังขึ้นอีกครั้งหลังจากทอดระยะไปห้วงหนึ่ง
"มันตายแล้วยัง น่าสงสารจัง"
"เมื่อครู่ยังคงมีชีวิตอยู่ ตอนนี้ได้แต่เป็นอาหารของมดแมลงแล้ว ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ นายว่าไหม"
"มดมารุมกิน มันขนเอาเศษซากเนื้อไปรังด้วย รังมันคงมีหลายชีวิตรอคอยอาหารอยู่ เราว่าเป็นมดคงไม่เหงา มีพี่น้องมากมาย รักกันตายแทนกันได้ เป็นมดก็ไม่เลว" ใจจินตนาการเห็นภาพสังคมของมดในรัง
"แต่มดก็ไม่พ้นการเป็นอาหารของสัตว์อื่น น้ำมาปลากินมด ฝนตกหนักกว่านี้น้ำอาจท่วมรังมด นายเคยเห็นมดลอยเป็นแพในน้ำไหม ไม่ช้าก็กลายเป็นเหยื่อของปลา" ความเป็นไปของเหล่าสัตว์ตัวจิ๋วน่าเศร้าใจ ชะตากรรมไม่เคยปรานีสัตว์โลกผู้อ่อนด้อยกว่า
"จริงด้วย เป็นปลาดีกว่ามด สามารถแหวกว่ายอย่างร่าเริงในสายน้ำ คงสนุกไม่น้อย ชักอยากเป็นปลาแล้วซี่ จะได้ว่ายเที่ยวเล่นไปให้ทั่วท้องน้ำ" ความรู้สึกเบิกบานใจเข้ามาแทนที่ความหดหู่
"ปลาใหญ่กินปลาเล็ก แล้วอะไรกินปลาใหญ่นายลองคิดดูให้ดี"
"ตัวอะไรกินปลา"
"ก็คนนี่ไง คนจับปลามากินเป็นอาหาร นายอยากเป็นปลานอนหงายเหงือกถูกทุบหัวต้มในหม้อแกงอย่างนั้นหรือ" เสียงเฮฮาของวงสุราดังอยู่ไกลๆ
"จริงซี่ ตกลงว่าเป็นคนดีกว่าเป็นปลา ทั้งฉลาดทั้งเก่งจับปลามากินได้" มันเป็นข้อสรุปที่ใครๆ ก็ยอมรับ
"แต่ว่าคนต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา ต้องมีปัจจัยสี่ครบไม่อย่างนั้นดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้ เสื้อผ้าที่อยู่อาศัยอาหารและยาพร้อมถึงจึงจะอยู่รอด บ้างต้องเลี้ยงทั้งตัวเองและครอบครัว ถ้าหากไม่มีกินก็อดตาย แถมหลายคนยังเลือกกินอาหาร ถ้าไม่สะอาดไม่น่ากินบางทีก็กินไม่ลง" ข้อโต้แย้งนี้สร้างความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจ
"แล้วอะไรที่ไม่ต้องเลือกกิน กินอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีปัจจัยสี่ครบก็มีชีวิตอยู่รอดล่ะ" คำถามผุดขึ้นมาในจิตใจ
"นายเห็นสุนัขฝูงนั้นไหม คนพวกนั้นพอกินเหลือเศษอาหารก็ถูกเททิ้งให้สุนัข เมื่อพวกมันกินกันจนอิ่มแล้วก็วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องนุ่งผ้า ค่ำไหนนอนนั่น ไม่ต้องหุงหาอาหารกินเอง" เมื่อมองในมุมกลับแล้วนี่เป็นความจริงที่ต้องพยายามหาข้อโต้แย้ง
"อ้าว ทำไมเป็นสุนัขกลับดูเหมือนสุขสบายกว่าเป็นคนไปได้ ไม่เข้าใจเลย ทำใจไม่ได้ถ้าต้องเป็นสุนัข แต่คิดไปแล้วก็จริงของนาย" ใจชักไขว้เขวกำลังพยายามหาเหตุผลมาหักล้าง ขณะเสียงสุนัขหอนดังเป็นทอดๆ
"แต่เป็นสุนัขบางทีก็สู้เป็นแมวไม่ได้ ถึงคนจะเลี้ยงสุนัขอย่างดีเท่าใดแต่ก็ไม่ดีเท่าแมว นายเคยได้ยินไหมคำว่า ทาสแมว"
"ทาสแมว"
"ใช่ มีคนจำนวนมากที่หลงรักแมวอย่างถึงที่สุด เลี้ยวดูทะนุถนอมแมวยิ่งกว่าลูกในไส้ ปรนเปรอสารพัดสิ่งให้กับแมวอย่างไม่มีข้อแม้ หอบหิ้วไปไหนต่อไหนดุจดั่งทาสของมัน แม้ว่าแมวตายแล้วก็ยังถึงกับทำพิธีศพจัดหาสุสานให้ก็มี" แมวดำตัวโตดวงตาทอประกายสีเหลืองแวววับปรากฏกายร้องเหมียวก่อนเดินสวนไปห่างๆ
"ถ้าอย่างนั้นชักอยากเป็นแมวแล้วซี่ แต่เป็นแมวแล้วก็ต้องตายอยู่ดี" ความทรงจำบอกว่าเคยมีเพื่อนหลายคนที่รักแมวมากมายเช่นนี้
"หากตายแล้วนายก็ไม่ต้องมีร่างกายให้ทุกข์ทรมาน ลอยล่องไปยังแห่งหนใดก็ได้ ไม่ต้องหิวโหย ไม่ต้องหลับนอน ไม่ต้องมีบ้านเรือน ไม่ต้องเลี้ยงดูใคร ไม่ต้องให้ใครมาเลี้ยงดู จงก้าวเท้าเข้ามาสู่ปรโลกด้วยกันเถอะ" ลมเย็นยะเยือกพัดวูบผ่านกายให้ความรู้สึกหนาวสะท้าน
"จริงหรือ ปรโลกเป็นเช่นนั้นจริงหรือ"
"ชีวิตในโลกล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ทั้งสิ้น มาอยู่ในปรโลกด้วยกันแล้วนายจะไร้ซึ่งความยึดติดใดๆ" กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามลมหอมชวนเคลิบเคลิ้ม
"แล้วต้องทำอย่างไรจะได้สิ้นทุกข์" เสียงหรีดหริ่งเรไรเงียบหายไปในบัดดลเหลือเพียงความเงียบวังเวง
"ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้ามีเชือกอยู่ ใช้มันแขวนคอกับกิ่งไม้แล้วจะได้พบกับเราที่ปรโลก"
"แขวนคอ… แขวนคอ… แขวนคอ..." ขณะพึมพำเท้าก็ก้าวเป็นจังหวะช้าๆ ตรงไปยังต้นไม้นั้นอย่างไร้สติ ภาพเงาดำกวักมือเรียกปรากฏขึ้นบนกิ่งไม้อย่างเลือนราง
"เหง่ง...หง่าง เหง่ง...หง่าง !!!" เสียงระฆังดังก้องสองหูปลุกจิตให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
"เณรอย่าฟุ้งซ่านไปกับอคติ กำหนดจิตกลับมาสู่สมาธิ อยู่กับคำภาวนาพุทโธ ปล่อยวางความคิดเหล่านั้นทั้งหมดอย่าหลงใหลไปกับมันอีก นั่นมันอวิชชาทั้งสิ้น" เสียงหลวงพ่อดังลั่นในโสตประสาท เสียงหนักแน่นนี้กระชากจิตให้หลุดออกจากวังวนแห่งความฟุ้งซ่านอย่างฉับพลัน
"ครับ หลวงพ่อ" สติกลับคืนมาภายใต้แสงตะเกียงสลัว ภาพเจดีย์บรรจุอัฐิเรียงรายรอบตัวในป่าช้าวิเวกทำเอาขนลุกเกรียวทั่วตัว เหงื่อกาฬชุ่มแผ่นหลังอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงต้นไม้ต้นนั้นแล้ว
"เจริญภาวนาด้วยคำบริกรรมขณะก้าวเท้าแต่ละก้าว พิจารณาจิตให้เห็นจิต อย่าส่งจิตออกนอก" ธรรมะของหลวงพ่อดังก้องในจิตสำนึก ความรู้สึกเย็นยะเยือกสลายไปสิ้นความอบอุ่นแผ่ซ่านขึ้นแทนที่ทั่วกาย
"พุทโธ พุทโธ พุทโธ..." เสียงบริกรรมดังแผ่วเบา จิตสงบลงขณะกลับมาเดินจงกรมในลานดินอีกครั้ง ไม่ช้าความฟุ้งซ่านค่อยๆ มลายไปสมาธิบังเกิดขึ้นแทนที่ จิตนั้นละเอียดมากขึ้นเป็นลำดับ สมาธิแน่วแน่จนบังเกิดเป็นฌาน แลในระหว่างห้วงลมหายใจจิตนั้นก็ประภัสสร