Congratulations Sis.
17/10/63 congratulations ครูแพรว ยินดีด้วยน๊า มาเด้อขวัญเอ้ย! รอมาตั้ง 4 ปีพึ่งได้รับนำเขา อิอิ แมนมีลูก ลูกกะยางได้ล่ะโดนปานหนิ 55555
(มานะขวัญนะ รอมาตั้ง 4 ปีพึ่งจะได้รับกะเขา สมมุติมีลูก ลูกก็เดินได้แล้วนานขนาดนี้)
เป็นข้อความที่บอสโพสต์ลงโซเชียลด้วยความปลาบปลื้มปิติยินดีกับเพื่อน พร้อมลงรูปของเธอกับแพรวที่ถ่ายคู่กัน และญาติ ๆ อีกหลายคน ลงอวดในนั้นให้กดถูกใจเล่น ๆ
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอิสาน และเป็นสถาบันเดียวกันกับเธอที่จบก่อนหน้านั้น 3เกือบ 4ปีได้ เธอเข้ารับปริญญาในปี 61 ที่ผ่านมาก่อนแพรว ทั้งที่เข้าเรียนปี 1 พร้อมกัน ทว่าจบไม่พร้อมกัน เนื่องจากว่าแพรวเรียนครู 5 ปี และอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้เข้ารับช้า พึ่งจะได้เข้ารับปริญญาในวันนี้
วันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ รวมซ้อมก็ทั้งหมด 3 วันเต็ม ณ มหาวิทยาลัยของตน ก่อนจะไปรับจริงที่อีกมหาวิทยาลัย วันจันทร์เป็นวันรับจริงที่หอประชุมเรือใบ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นศูนย์กลางของภาคอิสาน ทุกมหาวิทยาลัยเครือค่ายจะต้องเข้ารับที่นั้นในวันจริง
สาย ๆ ของวันเสาร์ บอส น้องบีม และเพื่อนออกเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยที่ว่า เพื่อไปร่วมแสดงความยินดีกับแพรว ส่วนพวกญาติ ๆ รวมทั้งพ่อแม่ของแพรวไปรอล่วงหน้าแต่เช้าตรู่ ตื่นเต้นมาก แน่นอนอยู่แล้วแหละ ใคร ๆ ก็รอวันนี้
พิมพ์ไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดีในวันนี้ด้วย ส่งแค่พวงมาลัยเงินมากับเธอให้แพรวก็พอ เพราะติดลูกยังเล็ก เธอกับน้องบีมเดินทางมาตั้งแต่วันศุกร์ เพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ เป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ที่ไม่ว่างมาร่วมงานด้วย
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย วันนี้น่าจะตลอดทั้งวันคงหนาแน่นไปด้วยผู้ปกครองและญาติ ๆ เพื่อนสนิทมิตรสหายของบัณฑิต ที่มาร่วมงาน รถยนต์จอดเรียงรายกันไปตามแนวถนน ล้นออกมานอกมหาลัยด้วยซ้ำ การจราจรติดขัด
ตลอดแนวถนนยาวไปจนสุดเขตรั้วมหาวิทยาลัย ถูกจัดทำเป็นซุ้มของสาขาคณะต่าง ๆ อย่างสวยงาม เพื่อให้บัณฑิตถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ตลอดแนวถนนยาวก่อนเข้ามหาวิทยาลัยก็เช่นกัน มีช่อดอกไม้ มงกุฎ ตุ๊กตาวางขายเรียงรายกันไปตามแนวขอบถนนทั้งสองฝั่ง
วันนี้การจราจรติดขัดหนาแน่น ไปด้วยรถของผู้ปกครองที่มาร่วมงาน หลายจังหวัดทั่วภาคอิสานที่เข้ามาเรียน ณ ที่แห่งนี้ นอกเหนือจากนั้น ภาคกลาง เหนือ ใต้ก็มาเรียนที่นี่ด้วยแต่เป็นส่วนน้อย ยกเว้นก็แต่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ที่อยู่ติด ๆ กัน ผู้คนนิยมเข้าเรียนกันมากกว่าที่แห่งนี้
เพื่อนของเธอขับรถเข้ามาในขอบเขตมหาวิทยาลัย ทำให้ความทรงจำเก่า ๆ มันผุดขึ้นมาในหัว เพื่อนพาขับเข้าทางประตู 4 ที่ติดกับถนนใหญ่ นี่ประตู 4 นี่ปั๊ม ปตท. นี่ตึก 15 ชั้นที่เธอใช้เรียน มันยังเหมือนเดิม ตั้งแต่ ปี1ยันปี 4 เห็นภาพอาจารย์หญิงท่านหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ท่านกระโดดลงมาจากตึกเล่น ปลิวว่อนลงมาจากชั้นดาดฟ้า ผ่านหน้าต่างทุกชั้น ก่อนจะดิ่งชนพสุธาเข้าอย่างจัง สมองกระจุยกระจายทั่วพื้นดิน
ยึ๋ย! ไปนึกถึงทำม๊ายลืมไปแล้ว! นึกแต่สิ่งดี ๆ สิบอส! สิ่งไม่ดีไปนึกถึงมันทำไม ออกไป ๆ เธอสลัดภาพเหตุการณ์นั้นออกจากสมอง เหตุการณ์นั้นมันเกิดช่วงที่เธอเข้าเรียนปี 1 ได้เพียงอาทิตย์เดียว เป็นการต้อนรับที่สยองมาก แถมเธอยังเสล่อเข้าไปมุงดูอีก นอนไม่หลับเป็นเดือน ๆ ไปสิ จนต้องไปทำบุญ และให้ยายผูกแขนเรียกขวัญให้ ฮา สม! อย่างเผือกดีนัก
รถวิ่งผ่านวงเวียนพระวรุณ สิงห์วรุณ! เป็นสัญลักษณ์ประจำคณะของเธอ คณะของเธอนับถือพระวรุณจึงตั้งเป็นชื่อสัญลักษณ์ของคณะ ภาพไอ้โก้พารถมอเตอร์ไซค์ล้มแหกโค้งผุดขึ้นมาในหัว แหมะ! ช่างเลือกได้ถูกที่ถูกเวลาเสียจริง แห้งโค้งตรงศาลพระวรุณ ตอนห้าทุ่ม มหาวิทยาลัยเงียบสงัด
“บอส ๆ มืงมาหากูหน่อย เร็ว ๆ ด่วน ๆ เดี๋ยวนี้ “ กิ่งร้องไห้ผ่านโทรศัพท์มือถือ โทรหาเธอตอนห้าทุ่ม
“เป็นไรกิ่ง ทำไมร้องไห้ มีอะไรบอกกูมา”
“โก้! โก้! ฮือ” กิ่งร้องไห้ผ่านโทรศัพท์
“ไอ้โก้เป็นไร!”
“โก้พามอเตอร์ไซค์ล้ม ที่วงเวียนพระวรุณ”
เธอรีบลุกพรวดจากที่นอน เพื่อนของเธออุตส่าห์ลางานได้สองวัน และรีบกลับมาหาเธอ กะจะนอนดูหนังการ์ตูนกันสักหน่อย ต้องรีบมาหาไอ้โก้และพาส่งโรงพยาบาลอยู่กับมันที่โรงบาลจนเช้า นึกแล้วก็ขำ
รอยแผลเป็นยังอยู่ที่ใบหน้าของมันจาง ๆ ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็ไม่เห็น ตอนนี้สองคนนี้เลิกกันไปแล้ว เป็นไงล่ะลูกชายพระวรุณน้อ ต้องฝากรอยไว้สักหน่อย เหมือนเพลง
“โอ้ลูกสาว(ชาย)พระวรุณ ช่างละไมละมุนบุญแล้วที่มาเจอ เจอเธอที่สารคาม” บู้ย! ฮา เพลงประจำคณะเธอเอง บอสนึกแล้วก็เผลอหัวเราะคิกคักออกมาคนเดียว เพื่อนมองหน้าแบบงง ๆ นิดหน่อย
รถวิ่งผ่านห้องสมุดและโรงยิม สนามมวย ความทรงจำต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมา มันเศร้า มันคิดถึงแปลก ๆ อยากว๊าปกลับมาเรียนใหม่อีกครั้ง เป็นนักศึกษา เป็นน้องเฟรสชี่ปี 1 เป็นพี่ ปี 2,3,4 เฮ้อ เธอทำได้แค่ถอนหายใจพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ยาว ๆ ด้วยความคิดถึง ยกเว้นเพื่อนของเธอที่ไม่ได้อินอะไร เพราะไม่ได้เรียนที่นี่ จำได้ว่าเรียนไม่ถึงเดือน กี่วันก็ลาออกไปเรียนอย่างอื่นแทน
รถวิ่งผ่านสนามปรีดีดิลก เป็นสนามกีฬากลางของมหาลัย นักศึกษาที่นี่เรียกกันว่าสนาม 3 หรือสนามปรีดีฯ ไม่ใช่ปรีดี พนมยงนะ แต่เป็นปรีดีดิลก! ฮา สนาม 1 สนาม 2 อยู่อีกฟากของมหาวิทยาลัย
ความทรงจำผุดขึ้นมาตอนเรียนพละ อาจารย์ให้วิ่งรอบสนาม แค่รอบเดียวบอสก็จะตายห่าแล้ว หอบขึ้น หึหึ นึกหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมาทันที อีกความทรงจำคือตอนเข้าปี 1มาใหม่ ๆ พวกเธอรับน้องส่วนกลางกันที่นี่ เข้าคลาสเชียร์ รับตราพระราชลัญจกรกันที่นี่ ถวายบังคมกันที่นี่ วันนั้นมันเหนื่อย มันอยากร้องไห้ เมื่อไหร่มันจะเสร็จสิ้นสักที แต่วันนี้มันกลับเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
“บอสโทรถามลุงกับป้าดิ ป้าอยู่ตรงไหน” น้องบีมเรียกเธอ ปลุกเธอออกจากภวังค์แห่งอดีต
“อยู่ตึกครุศาสตร์ แต่เราหาที่จอดรถให้ได้ก่อนเหอะ เธอไปจอดใกล้ ๆ ตึกครุฯ เลยเด้อ ขี้เกียจเดินไกล” บอสออกคำสั่งคนขับรถ ซึ่งก็คือเพื่อนของเธอนั่นแหละ ส่วนสถานที่เธอถามป้าก่อนหน้านี้แล้ว
รถวิ่งผ่านหอประชุม 80 พรรษา ซึ่งก็คือที่ซ้อมรับปริญญาของบัณฑิตในวันนี้นั่นเอง ผู้คนเดินสวนทางกันไปมา แต่ละคนมีดอกไม้ ช่อดอกไม้ ตุ๊กตาและลูกโป่งในมือทุกคน เพื่อเตรียมมอบให้แก่บัณฑิตป้ายแดงในวันนี้ พวงมาลัยเงินน่าตื่นตาตื่นใจมาก บางคนมีแต่แบงค์พันกันเลยทีเดียว ส่วนของพวกเธอเตรียมมาเป็นแบงค์ร้อยก็พอแล้ว
รถวิ่งผ่านห้วยคะคาง เป็นลำห้วยเก่าแก่ที่ตัดผ่านมหาลัย น้ำก็ยังขุ่น ๆ เหมือนเดิม ไม่เคยใส นึกถึงตอนที่ตัวเองเคยมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่กับเพื่อน ทุก ๆ เย็น วิ่งได้รอบเดียวก็พากันจอด แถมยังพ่วงของกินกลับหอกันเต็มไม้เต็มมือทุกคน คงจะผอม! ฮา
รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ผ่านตึกมนุษย์ศาสตร์ ใครหาตึกนี้ไม่เจอให้บอกว่า ไปตึกที่มีเสาธง แล้วจะรู้จักทันที ทั้งมหาลัยเป็นคณะเดียวที่มีเสาธงชาติปักอยู่ ทำให้นึกถึงตอนเรียนวิชาเสรีประวัติศาสตร์กับอาจารย์ธีระ(นามสมมุติ) สนุกดีไปนั่งเช็คชื่อเฉย ๆ A ตัวเบ่อเล่มเทิ่ม ฮา
พอถัดจากตึกมนุษย์ศาสตร์ เยื่อง ๆ กันก็จะเป็นตึกของเธอแล้ว อ่อลืมบอกไป คณะของเธอตึกที่ใช้เรียนคือตึก 15 ส่วนที่ติดกันกับคณะมนุษย์ศาสตร์และนิติศาสต์นี้เรียกว่า ตึกสาขา! เวลาส่งงานส่งการประชงประชุมกันก็ที่นี่ แค่ไปเรียนที่นู่นเฉย ๆ เรียนที่ตึก 15 ชั้น ที่กล่าวมาข้างต้นเรื่อง เจ๋งปะละเป็นคณะเดียวที่มีสองตึก เพราะเนื้อที่มันไม่พอ หึหึ
เผอิญว่าตึกสาขาของเธอมันเป็นตึกแฝด ฝั่งนี้เป็นสาขาของเธอ ส่วนตึกแฝดอีกฝั่งเป็นของครุศาสตร์ ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มาในงานวันนี้ ส่วนที่จอดรถ สุดท้ายกว่าจะหาที่ว่างได้ก็นู่น ตึกวัฒนธรรมนู่น เป็นตึกสร้างใหม่ สร้างตั้งแต่เธอเรียน ปี 1 เสร็จตอน ปี 4 เทอมสุดท้าย เกือบไม่ได้ใช้ ไปเรียนเสรีวิถีไทยวิถีโลกที่นั่น เป็นตึกไว้โชว์ศิลปะภาพวาดด้วย หุ่นปั้นด้วย ไปตอนเย็น ๆ ก็ทำเอาหลอนได้เหมือนกัน
เมื่อมาถึงตึกคณะ ถูกจัดตกแต่งประดับประดาไปด้วยซุ้มดอกไม้ ป้ายไวนิลต่าง ๆ สวยงาม มีน้อง ๆ ปีหนึ่งที่เป็นสตาร์ฟคอยให้การช่วยเหลือ มีซ้อมร้องซ้อมเต้นเพลงบูมสาขา รอบัณฑิตกันก็มี บัณฑิตยังไม่ได้ออกจากหอประชุมเลย ซ้อมกันไปสิ ดูแล้วก็เพลินตาสนุกดี
พอมาถึงบอสกับน้องบีมและเพื่อนยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็มีแต่ญาติ ๆ กันทั้งนั้น ป้ากับลุงพ่อแม่ของแพรวเลือกสถานที่ได้เหมาะมาก คณะลูกสาวก็มีไม่พากันไปจองที่นั่ง มาจองนั่งคณะคนอื่น ซึ่งเป็นตึกคณะของเธอเอง มันก็ติดกัน หันหน้าเข้าหากัน รูปทรงเหมือนกัน เนื่องจากมันเป็นตึกแฝด กั้นแค่ถนนเส้นเล็ก ๆ เอง
รอบ ๆ ข้างเต็มไปด้วยสีเขียวอ่อนคณะของเธอ บอสเห็นแล้วนึกขำ แต่ไม่เป็นไร นั่งไหนก็ได้ พอมาเห็นตึกสาขามันอดนึกถึงสมัยเรียน นึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้เลย และทำให้นึกถึงสมัยตัวเองรับปริญญาในปีก่อนนู้นด้วย
ซุ้มถ่ายรูปก็เหมือนกัน ทำขึ้นมาคล้าย ๆ กันเหมือนตอนปี 61 ที่เธอเข้ารับ สาขาก็จัดซุ้มประมาณนี้ เธอเตรียมชุดครุยของตัวเองมาด้วย ไว้ถ่ายรูปคู่กับแพรว น้องบีมก็เช่นกันเตรียมของตนเองมาด้วย พวกเธอไม่ได้เช่า พวกเธอลงทุนตัดเป็นของตัวเอง ส่วนเพื่อนของเธอใส่ชุดทำงานมาร่วมถ่ายภาพในวันนี้อย่างจัดเต็มมาก
เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเธอ อาจารย์จำเธอได้ นึกขอบคุณที่ลุงกับป้าพามานั่งที่คณะของตน ได้เจออาจารย์ที่เคยสอนมาตลอด 4 ปี แม้อาจารย์จะลืมเธอเพราะมีศิษย์หลายคน แต่ศิษย์ไม่เคยลืมอาจารย์ บู้ย! ฮา
“อาจารย์สวัสดีค่ะ สบายดีมั้ยคะ” บอสเดินเข้าไปทักทายอาจารย์ผู้ที่เคยสอน และสวมกอดท่าน รักและเคารพมาก เป็นอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ทุกคนแถวนั้นมองกันใหญ่
“สบายดีมั้ยสุนิสา อาจารย์จำแทบไม่ได้เลย สวยขึ้น”
“อาจารย์พูดอีกก็ถูกอีก ฮา” เธอและอาจารย์หัวเราะกันใหญ่
“แหมสุนิสาไม่ค่อยจะเลยนะ” ท่านอาจารย์ศิริพงษ์ (นามสมมุติ) พูดแทรก ทำหน้าตาทะเล้นเหมือนที่เคยทำสมัยสอนเธอ นิสัยเป็นอย่างไรก็ยังเหมือนเดิม รวมทั้งสีผิวด้วย ฮา
“อาจารย์วัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ “อาจารย์ยังเหมือนเดิมเลย หนูนิแก่ล๊งแก่ลง อาจารย์ยังหนุ่มเหมือนเดิมเลย” ทั้งพูดทั้งยิ้มหัวเราะ เธอเพียงแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง
“แก่ที่ไหนสวยออก” อาจารย์ไอยรากล่าว
“ญาติสุนิสาก็เรียนคณะเราเหรอ” อาจารย์ศิริพงษ์ถาม
“เปล่าค่ะ ญาติหนูเรียนครุศาสตร์ แต่ป้าพามานั่งที่นี่ “
เธอพูดพร้อมหันไปหาลุง ๆ ป้า ๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล อาจารย์ทุกท่านหันไปมองตาม พร้อมยกมือไหว้กล่าวทักทาย ก่อนขอตัวแยกจากกันก็ไม่ลืมที่เก็บภาพถ่ายคู่กับพวกอาจารย์ของตนเอง ถ้าไม่ติดว่าแพรวรับปริญญาก็ไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับมาอีก
“คนละคณะก็นั่งได้ครับ มหาลัยเดียวกัน คณะติดกัน คณะพี่คณะน้อง ฮา ขาดตกบกพร่องอะไรแจ้งได้นะครับ” ท่านอาจารย์อีกคนพูดหยอก ทุกคนหัวเราะมีแต่รอยยิ้มและความสุขกันถ้วนหน้า
“สุนิสาทำงานที่ไหนเนี่ย มีครอบครัวหรือยัง”
“มีแล้วค่ะ นั่นน้องสาวหนูคนนั้น “ เธอแนะนำน้องสาวให้ท่านอาจารย์รู้จัก แค่ชี้ให้ดูเฉย ๆ “อาจารย์อย่าถามถึงงานหนูเลย เดี๋ยวอาจารย์จะเสียใจผิดหวังเปล่า ๆ ที่อุตส่าห์พร่ำสอนมาตั้ง 4 ปี”
“ทำไมล่ะ ลูกศิษย์อาจารย์จะเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เป็นภาระของสังคมพอ” เธอยิ้มแต่ก็ไม่ยอมบอกแก่อาจารย์ว่าเธอทำงานอะไร
Congratulations Sis.
17/10/63 congratulations ครูแพรว ยินดีด้วยน๊า มาเด้อขวัญเอ้ย! รอมาตั้ง 4 ปีพึ่งได้รับนำเขา อิอิ แมนมีลูก ลูกกะยางได้ล่ะโดนปานหนิ 55555
(มานะขวัญนะ รอมาตั้ง 4 ปีพึ่งจะได้รับกะเขา สมมุติมีลูก ลูกก็เดินได้แล้วนานขนาดนี้)
เป็นข้อความที่บอสโพสต์ลงโซเชียลด้วยความปลาบปลื้มปิติยินดีกับเพื่อน พร้อมลงรูปของเธอกับแพรวที่ถ่ายคู่กัน และญาติ ๆ อีกหลายคน ลงอวดในนั้นให้กดถูกใจเล่น ๆ
ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคอิสาน และเป็นสถาบันเดียวกันกับเธอที่จบก่อนหน้านั้น 3เกือบ 4ปีได้ เธอเข้ารับปริญญาในปี 61 ที่ผ่านมาก่อนแพรว ทั้งที่เข้าเรียนปี 1 พร้อมกัน ทว่าจบไม่พร้อมกัน เนื่องจากว่าแพรวเรียนครู 5 ปี และอีกหลาย ๆ ปัจจัยที่ทำให้เข้ารับช้า พึ่งจะได้เข้ารับปริญญาในวันนี้
วันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ รวมซ้อมก็ทั้งหมด 3 วันเต็ม ณ มหาวิทยาลัยของตน ก่อนจะไปรับจริงที่อีกมหาวิทยาลัย วันจันทร์เป็นวันรับจริงที่หอประชุมเรือใบ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เป็นศูนย์กลางของภาคอิสาน ทุกมหาวิทยาลัยเครือค่ายจะต้องเข้ารับที่นั้นในวันจริง
สาย ๆ ของวันเสาร์ บอส น้องบีม และเพื่อนออกเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยที่ว่า เพื่อไปร่วมแสดงความยินดีกับแพรว ส่วนพวกญาติ ๆ รวมทั้งพ่อแม่ของแพรวไปรอล่วงหน้าแต่เช้าตรู่ ตื่นเต้นมาก แน่นอนอยู่แล้วแหละ ใคร ๆ ก็รอวันนี้
พิมพ์ไม่ได้มาร่วมแสดงความยินดีในวันนี้ด้วย ส่งแค่พวงมาลัยเงินมากับเธอให้แพรวก็พอ เพราะติดลูกยังเล็ก เธอกับน้องบีมเดินทางมาตั้งแต่วันศุกร์ เพื่อมางานนี้โดยเฉพาะ เป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ที่ไม่ว่างมาร่วมงานด้วย
เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย วันนี้น่าจะตลอดทั้งวันคงหนาแน่นไปด้วยผู้ปกครองและญาติ ๆ เพื่อนสนิทมิตรสหายของบัณฑิต ที่มาร่วมงาน รถยนต์จอดเรียงรายกันไปตามแนวถนน ล้นออกมานอกมหาลัยด้วยซ้ำ การจราจรติดขัด
ตลอดแนวถนนยาวไปจนสุดเขตรั้วมหาวิทยาลัย ถูกจัดทำเป็นซุ้มของสาขาคณะต่าง ๆ อย่างสวยงาม เพื่อให้บัณฑิตถ่ายภาพเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ ตลอดแนวถนนยาวก่อนเข้ามหาวิทยาลัยก็เช่นกัน มีช่อดอกไม้ มงกุฎ ตุ๊กตาวางขายเรียงรายกันไปตามแนวขอบถนนทั้งสองฝั่ง
วันนี้การจราจรติดขัดหนาแน่น ไปด้วยรถของผู้ปกครองที่มาร่วมงาน หลายจังหวัดทั่วภาคอิสานที่เข้ามาเรียน ณ ที่แห่งนี้ นอกเหนือจากนั้น ภาคกลาง เหนือ ใต้ก็มาเรียนที่นี่ด้วยแต่เป็นส่วนน้อย ยกเว้นก็แต่อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง ที่อยู่ติด ๆ กัน ผู้คนนิยมเข้าเรียนกันมากกว่าที่แห่งนี้
เพื่อนของเธอขับรถเข้ามาในขอบเขตมหาวิทยาลัย ทำให้ความทรงจำเก่า ๆ มันผุดขึ้นมาในหัว เพื่อนพาขับเข้าทางประตู 4 ที่ติดกับถนนใหญ่ นี่ประตู 4 นี่ปั๊ม ปตท. นี่ตึก 15 ชั้นที่เธอใช้เรียน มันยังเหมือนเดิม ตั้งแต่ ปี1ยันปี 4 เห็นภาพอาจารย์หญิงท่านหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ท่านกระโดดลงมาจากตึกเล่น ปลิวว่อนลงมาจากชั้นดาดฟ้า ผ่านหน้าต่างทุกชั้น ก่อนจะดิ่งชนพสุธาเข้าอย่างจัง สมองกระจุยกระจายทั่วพื้นดิน
ยึ๋ย! ไปนึกถึงทำม๊ายลืมไปแล้ว! นึกแต่สิ่งดี ๆ สิบอส! สิ่งไม่ดีไปนึกถึงมันทำไม ออกไป ๆ เธอสลัดภาพเหตุการณ์นั้นออกจากสมอง เหตุการณ์นั้นมันเกิดช่วงที่เธอเข้าเรียนปี 1 ได้เพียงอาทิตย์เดียว เป็นการต้อนรับที่สยองมาก แถมเธอยังเสล่อเข้าไปมุงดูอีก นอนไม่หลับเป็นเดือน ๆ ไปสิ จนต้องไปทำบุญ และให้ยายผูกแขนเรียกขวัญให้ ฮา สม! อย่างเผือกดีนัก
รถวิ่งผ่านวงเวียนพระวรุณ สิงห์วรุณ! เป็นสัญลักษณ์ประจำคณะของเธอ คณะของเธอนับถือพระวรุณจึงตั้งเป็นชื่อสัญลักษณ์ของคณะ ภาพไอ้โก้พารถมอเตอร์ไซค์ล้มแหกโค้งผุดขึ้นมาในหัว แหมะ! ช่างเลือกได้ถูกที่ถูกเวลาเสียจริง แห้งโค้งตรงศาลพระวรุณ ตอนห้าทุ่ม มหาวิทยาลัยเงียบสงัด
“บอส ๆ มืงมาหากูหน่อย เร็ว ๆ ด่วน ๆ เดี๋ยวนี้ “ กิ่งร้องไห้ผ่านโทรศัพท์มือถือ โทรหาเธอตอนห้าทุ่ม
“เป็นไรกิ่ง ทำไมร้องไห้ มีอะไรบอกกูมา”
“โก้! โก้! ฮือ” กิ่งร้องไห้ผ่านโทรศัพท์
“ไอ้โก้เป็นไร!”
“โก้พามอเตอร์ไซค์ล้ม ที่วงเวียนพระวรุณ”
เธอรีบลุกพรวดจากที่นอน เพื่อนของเธออุตส่าห์ลางานได้สองวัน และรีบกลับมาหาเธอ กะจะนอนดูหนังการ์ตูนกันสักหน่อย ต้องรีบมาหาไอ้โก้และพาส่งโรงพยาบาลอยู่กับมันที่โรงบาลจนเช้า นึกแล้วก็ขำ
รอยแผลเป็นยังอยู่ที่ใบหน้าของมันจาง ๆ ถ้าไม่สังเกตดี ๆ ก็ไม่เห็น ตอนนี้สองคนนี้เลิกกันไปแล้ว เป็นไงล่ะลูกชายพระวรุณน้อ ต้องฝากรอยไว้สักหน่อย เหมือนเพลง “โอ้ลูกสาว(ชาย)พระวรุณ ช่างละไมละมุนบุญแล้วที่มาเจอ เจอเธอที่สารคาม” บู้ย! ฮา เพลงประจำคณะเธอเอง บอสนึกแล้วก็เผลอหัวเราะคิกคักออกมาคนเดียว เพื่อนมองหน้าแบบงง ๆ นิดหน่อย
รถวิ่งผ่านห้องสมุดและโรงยิม สนามมวย ความทรงจำต่าง ๆ ก็ผุดขึ้นมา มันเศร้า มันคิดถึงแปลก ๆ อยากว๊าปกลับมาเรียนใหม่อีกครั้ง เป็นนักศึกษา เป็นน้องเฟรสชี่ปี 1 เป็นพี่ ปี 2,3,4 เฮ้อ เธอทำได้แค่ถอนหายใจพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ยาว ๆ ด้วยความคิดถึง ยกเว้นเพื่อนของเธอที่ไม่ได้อินอะไร เพราะไม่ได้เรียนที่นี่ จำได้ว่าเรียนไม่ถึงเดือน กี่วันก็ลาออกไปเรียนอย่างอื่นแทน
รถวิ่งผ่านสนามปรีดีดิลก เป็นสนามกีฬากลางของมหาลัย นักศึกษาที่นี่เรียกกันว่าสนาม 3 หรือสนามปรีดีฯ ไม่ใช่ปรีดี พนมยงนะ แต่เป็นปรีดีดิลก! ฮา สนาม 1 สนาม 2 อยู่อีกฟากของมหาวิทยาลัย
ความทรงจำผุดขึ้นมาตอนเรียนพละ อาจารย์ให้วิ่งรอบสนาม แค่รอบเดียวบอสก็จะตายห่าแล้ว หอบขึ้น หึหึ นึกหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมาทันที อีกความทรงจำคือตอนเข้าปี 1มาใหม่ ๆ พวกเธอรับน้องส่วนกลางกันที่นี่ เข้าคลาสเชียร์ รับตราพระราชลัญจกรกันที่นี่ ถวายบังคมกันที่นี่ วันนั้นมันเหนื่อย มันอยากร้องไห้ เมื่อไหร่มันจะเสร็จสิ้นสักที แต่วันนี้มันกลับเป็นความทรงจำที่ดีที่สุด
“บอสโทรถามลุงกับป้าดิ ป้าอยู่ตรงไหน” น้องบีมเรียกเธอ ปลุกเธอออกจากภวังค์แห่งอดีต
“อยู่ตึกครุศาสตร์ แต่เราหาที่จอดรถให้ได้ก่อนเหอะ เธอไปจอดใกล้ ๆ ตึกครุฯ เลยเด้อ ขี้เกียจเดินไกล” บอสออกคำสั่งคนขับรถ ซึ่งก็คือเพื่อนของเธอนั่นแหละ ส่วนสถานที่เธอถามป้าก่อนหน้านี้แล้ว
รถวิ่งผ่านหอประชุม 80 พรรษา ซึ่งก็คือที่ซ้อมรับปริญญาของบัณฑิตในวันนี้นั่นเอง ผู้คนเดินสวนทางกันไปมา แต่ละคนมีดอกไม้ ช่อดอกไม้ ตุ๊กตาและลูกโป่งในมือทุกคน เพื่อเตรียมมอบให้แก่บัณฑิตป้ายแดงในวันนี้ พวงมาลัยเงินน่าตื่นตาตื่นใจมาก บางคนมีแต่แบงค์พันกันเลยทีเดียว ส่วนของพวกเธอเตรียมมาเป็นแบงค์ร้อยก็พอแล้ว
รถวิ่งผ่านห้วยคะคาง เป็นลำห้วยเก่าแก่ที่ตัดผ่านมหาลัย น้ำก็ยังขุ่น ๆ เหมือนเดิม ไม่เคยใส นึกถึงตอนที่ตัวเองเคยมาวิ่งออกกำลังกายกันที่นี่กับเพื่อน ทุก ๆ เย็น วิ่งได้รอบเดียวก็พากันจอด แถมยังพ่วงของกินกลับหอกันเต็มไม้เต็มมือทุกคน คงจะผอม! ฮา
รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้า ๆ ผ่านตึกมนุษย์ศาสตร์ ใครหาตึกนี้ไม่เจอให้บอกว่า ไปตึกที่มีเสาธง แล้วจะรู้จักทันที ทั้งมหาลัยเป็นคณะเดียวที่มีเสาธงชาติปักอยู่ ทำให้นึกถึงตอนเรียนวิชาเสรีประวัติศาสตร์กับอาจารย์ธีระ(นามสมมุติ) สนุกดีไปนั่งเช็คชื่อเฉย ๆ A ตัวเบ่อเล่มเทิ่ม ฮา
พอถัดจากตึกมนุษย์ศาสตร์ เยื่อง ๆ กันก็จะเป็นตึกของเธอแล้ว อ่อลืมบอกไป คณะของเธอตึกที่ใช้เรียนคือตึก 15 ส่วนที่ติดกันกับคณะมนุษย์ศาสตร์และนิติศาสต์นี้เรียกว่า ตึกสาขา! เวลาส่งงานส่งการประชงประชุมกันก็ที่นี่ แค่ไปเรียนที่นู่นเฉย ๆ เรียนที่ตึก 15 ชั้น ที่กล่าวมาข้างต้นเรื่อง เจ๋งปะละเป็นคณะเดียวที่มีสองตึก เพราะเนื้อที่มันไม่พอ หึหึ
เผอิญว่าตึกสาขาของเธอมันเป็นตึกแฝด ฝั่งนี้เป็นสาขาของเธอ ส่วนตึกแฝดอีกฝั่งเป็นของครุศาสตร์ ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยผู้คนที่มาในงานวันนี้ ส่วนที่จอดรถ สุดท้ายกว่าจะหาที่ว่างได้ก็นู่น ตึกวัฒนธรรมนู่น เป็นตึกสร้างใหม่ สร้างตั้งแต่เธอเรียน ปี 1 เสร็จตอน ปี 4 เทอมสุดท้าย เกือบไม่ได้ใช้ ไปเรียนเสรีวิถีไทยวิถีโลกที่นั่น เป็นตึกไว้โชว์ศิลปะภาพวาดด้วย หุ่นปั้นด้วย ไปตอนเย็น ๆ ก็ทำเอาหลอนได้เหมือนกัน
เมื่อมาถึงตึกคณะ ถูกจัดตกแต่งประดับประดาไปด้วยซุ้มดอกไม้ ป้ายไวนิลต่าง ๆ สวยงาม มีน้อง ๆ ปีหนึ่งที่เป็นสตาร์ฟคอยให้การช่วยเหลือ มีซ้อมร้องซ้อมเต้นเพลงบูมสาขา รอบัณฑิตกันก็มี บัณฑิตยังไม่ได้ออกจากหอประชุมเลย ซ้อมกันไปสิ ดูแล้วก็เพลินตาสนุกดี
พอมาถึงบอสกับน้องบีมและเพื่อนยกมือไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็มีแต่ญาติ ๆ กันทั้งนั้น ป้ากับลุงพ่อแม่ของแพรวเลือกสถานที่ได้เหมาะมาก คณะลูกสาวก็มีไม่พากันไปจองที่นั่ง มาจองนั่งคณะคนอื่น ซึ่งเป็นตึกคณะของเธอเอง มันก็ติดกัน หันหน้าเข้าหากัน รูปทรงเหมือนกัน เนื่องจากมันเป็นตึกแฝด กั้นแค่ถนนเส้นเล็ก ๆ เอง
รอบ ๆ ข้างเต็มไปด้วยสีเขียวอ่อนคณะของเธอ บอสเห็นแล้วนึกขำ แต่ไม่เป็นไร นั่งไหนก็ได้ พอมาเห็นตึกสาขามันอดนึกถึงสมัยเรียน นึกถึงเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นที่นี่ไม่ได้เลย และทำให้นึกถึงสมัยตัวเองรับปริญญาในปีก่อนนู้นด้วย
ซุ้มถ่ายรูปก็เหมือนกัน ทำขึ้นมาคล้าย ๆ กันเหมือนตอนปี 61 ที่เธอเข้ารับ สาขาก็จัดซุ้มประมาณนี้ เธอเตรียมชุดครุยของตัวเองมาด้วย ไว้ถ่ายรูปคู่กับแพรว น้องบีมก็เช่นกันเตรียมของตนเองมาด้วย พวกเธอไม่ได้เช่า พวกเธอลงทุนตัดเป็นของตัวเอง ส่วนเพื่อนของเธอใส่ชุดทำงานมาร่วมถ่ายภาพในวันนี้อย่างจัดเต็มมาก
เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับเธอ อาจารย์จำเธอได้ นึกขอบคุณที่ลุงกับป้าพามานั่งที่คณะของตน ได้เจออาจารย์ที่เคยสอนมาตลอด 4 ปี แม้อาจารย์จะลืมเธอเพราะมีศิษย์หลายคน แต่ศิษย์ไม่เคยลืมอาจารย์ บู้ย! ฮา
“อาจารย์สวัสดีค่ะ สบายดีมั้ยคะ” บอสเดินเข้าไปทักทายอาจารย์ผู้ที่เคยสอน และสวมกอดท่าน รักและเคารพมาก เป็นอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง ทุกคนแถวนั้นมองกันใหญ่
“สบายดีมั้ยสุนิสา อาจารย์จำแทบไม่ได้เลย สวยขึ้น”
“อาจารย์พูดอีกก็ถูกอีก ฮา” เธอและอาจารย์หัวเราะกันใหญ่
“แหมสุนิสาไม่ค่อยจะเลยนะ” ท่านอาจารย์ศิริพงษ์ (นามสมมุติ) พูดแทรก ทำหน้าตาทะเล้นเหมือนที่เคยทำสมัยสอนเธอ นิสัยเป็นอย่างไรก็ยังเหมือนเดิม รวมทั้งสีผิวด้วย ฮา
“อาจารย์วัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ “อาจารย์ยังเหมือนเดิมเลย หนูนิแก่ล๊งแก่ลง อาจารย์ยังหนุ่มเหมือนเดิมเลย” ทั้งพูดทั้งยิ้มหัวเราะ เธอเพียงแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง
“แก่ที่ไหนสวยออก” อาจารย์ไอยรากล่าว
“ญาติสุนิสาก็เรียนคณะเราเหรอ” อาจารย์ศิริพงษ์ถาม
“เปล่าค่ะ ญาติหนูเรียนครุศาสตร์ แต่ป้าพามานั่งที่นี่ “
เธอพูดพร้อมหันไปหาลุง ๆ ป้า ๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล อาจารย์ทุกท่านหันไปมองตาม พร้อมยกมือไหว้กล่าวทักทาย ก่อนขอตัวแยกจากกันก็ไม่ลืมที่เก็บภาพถ่ายคู่กับพวกอาจารย์ของตนเอง ถ้าไม่ติดว่าแพรวรับปริญญาก็ไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับมาอีก
“คนละคณะก็นั่งได้ครับ มหาลัยเดียวกัน คณะติดกัน คณะพี่คณะน้อง ฮา ขาดตกบกพร่องอะไรแจ้งได้นะครับ” ท่านอาจารย์อีกคนพูดหยอก ทุกคนหัวเราะมีแต่รอยยิ้มและความสุขกันถ้วนหน้า
“สุนิสาทำงานที่ไหนเนี่ย มีครอบครัวหรือยัง”
“มีแล้วค่ะ นั่นน้องสาวหนูคนนั้น “ เธอแนะนำน้องสาวให้ท่านอาจารย์รู้จัก แค่ชี้ให้ดูเฉย ๆ “อาจารย์อย่าถามถึงงานหนูเลย เดี๋ยวอาจารย์จะเสียใจผิดหวังเปล่า ๆ ที่อุตส่าห์พร่ำสอนมาตั้ง 4 ปี”
“ทำไมล่ะ ลูกศิษย์อาจารย์จะเป็นอะไรก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่เป็นภาระของสังคมพอ” เธอยิ้มแต่ก็ไม่ยอมบอกแก่อาจารย์ว่าเธอทำงานอะไร