ขอเริ่มจากเดือน ส.ค. 62 ผมนั่งแล้วรู้สึกเจ็บๆก้น บริเวณใกล้ๆอัณฑะข้างซ้าย (ตำแหน่ง 14 นาฬิกานอนหงาย) ลองใช้มือคลำดูพบว่ามีก้อนแข็งๆคล้ายๆซีด กดไปรู้สึกเจ็บ ไปพบแพทย์ตรวจดู วินิจฉัยว่า เป็นฝีหนอง ต้องทำการผ่าตัดกรีดคว้านระบายหนองออก ผมจึงตัดสินใจผ่าตัดโดยวิธีการบล๊อคหลัง หลังจากผ่าตัดแพทย์ให้ไปล้างแผลทุกวันห้ามแผลโดนน้ำ ผ่านไป 3 สัปดาห์เนื้อขึ้นมาเต็มรูที่แพทย์คว้านไป แต่แผลยังไม่หายเนื่องจากมีรูเล็กๆๆ มีหนองออกมาตลอดทุกวัน มีอยู่วันนึงแพทย์ให้ผู้ช่วยพยาบาลที่ล้างแผลใช้ไซริ้งค์ฉีดน้ำเกลือไปให้รูปรากฏว่าผมรู้สึกว่ามีน้ำไปออกในท่อรูทวาร ความรู้สึกเหมือนปวดอึเลยตอนนั้น แพทย์บอกว่าแบบนี้น่าจะเป็นฝึคัณฑสูตรนะครับ กลับบ้านมาเครียดหนักเลย แต่แพทย์ก็ยังให้ไปล้างแผลทุกวัน และไม่ให้แผลโดนน้ำ (ไม่ได้อาบน้ำ เช็ดตัวอย่างเดียว) เป็นเวลาเกือบ 3 เดือน หลังจากนั้นเกิดแผลพลาสเตอร์ปิดแผลเนื่องจากปิดซ้ำๆทุกวัน จนผิวหนังบริเวณนั้นบาง แล้วแผลก็อับชื้นทุกวัน ในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงที่ทรมานสำหรับผมมาก แสบก้นไปหมดไม่ว่าจะเดิน นั่ง เหมือนแผลโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวกเลย ยอมรับว่าเครียดมาก กินอะไรไม่ค่อยได้น้ำหนักลดไป 14 กิโลเลย หลังจากนั้นจึงพยายามดูแลตัวเองแบบจริงจัง ผมเป็นคนกินกาแฟเย็นทุกเช้า(อเมริกาโน่หวานน้อย) ลองสังเกตุตัวเองดูว่า เอ้..หรือเป็นเพราะกาแฟหรือความหวานทำให้เราเป็นแบบนี้ จึงตัดสินใจงดกาแฟแบบจริงจังเลย ซึ่งช่วงแรกก็จะปวดหัวมาก ไม่น่าเชื่อหลังจากนั่นผ่านไป 2 วันหลังจากที่งดกาแฟ แผลที่เป็นรูแห้งไม่มีหนอง ทำให้แผลปิดช่วงนี้แพทย์บอกว่าไม่ต้องมาทำแผลแล้ว ทีนี้ก็รักษาเรื่องที่แพ้พลาสเตอร์ปิดแผล ขอลางาน5วันเลยเพื่อมานอนอ้าขาผึ่งลมให้แห้งในห้อง จนเริ่มดีขึ้นอาการแสบน้อยลง หลังจากนั้นผ่านไป 2 สัปดาห์หลังจากที่แผลปิดแล้วพบว่าเริ่มมีหัวฝีคล้ายๆหัวสิวหัวช้างสักพักก็แตกเป็นหนอง แล้วก็แห้งไปวนอยู่แบบนี้ประมาณเดือนละ 2 ครั้ง ไปพบแพทย์ๆวินิจฉัยว่าเป็นฝีคัณฑสูตรแน่ๆแล้ว ผมจึงศึกษาอ่านวิธีการรักษาและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคนี้ ได้ข้อสรุปว่าต้องไปพบแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญสาขาศักยกรรม ลำไส้และทวารหนัก
เริ่มกระบวนการรักษาครั้งใหม่หลังจากรู้แล้วว่าเป็นฝีคัณฑสูตรแล้ว
เดือน ธ.ค. 62 จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่รพ.จุฬาฯ (คลินิกนอกเวลา) เนื่องจากเป็นรพ.ที่มีผู้ป่วยโรคฝีคัณฑสูตรรักษาที่นี่เยอะมากแพทย์ใช้นิ้วสอดเข้าไปตรวจดูแล้วสั่งให้ไปทำ MRI ผมจึงทำการจองคิวปรากฏว่าต้องรอคิว 6 เดือนกว่าจะได้ทำ MRI จึงขออนุญาตแพทย์ไปทำที่รพ.อื่นได้ไหมเป็นรพ.เอกชนใกล้บ้านเผื่อจะได้เร็วขึ้น แต่แพทย์ไม่อนุญาตเนื่องจากมีความกังวลว่า รพ.ที่เราไปทำ MRI ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฝีคัณฑสูตรแล้วทำให้ทำ MRI แล้วภาพจะไม่ชัดหรือไม่เห็นช่องทางที่เซาะของหนอง ผมจึงยอมนัดตามคิวของ รพ.
จากนั้นผ่านไป เดือน ม.ค.63 เริ่มกังวลจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ รพ.ศิริราช เล่าอาการให้แพทย์ฟังว่าเป็นเหมือนหัวสิวแล้วแตกมีหนองซึมๆออกมาเดือนละ 2 ครั้ง แพทย์จึงนิ้วสอดเข้าไปคลำดูท่อฝีจากนั้นแพทย์จึงสั่งให้ไปทำ MRI ก่อน ผมจึงถามแพทย์ขอไปทำ MRI ที่รพ.อื่นได้ไหม แพทย์อนุญาตให้ทำได้และให้เหตุผลว่าแพทย์จะดูภาพเองอีกทีไม่ได้ดูจากการแปลผลอย่างเดียว จึงตัดสินไปทำ MRI และยกเลิกจองคิวที่ รพ.จุฬาฯ จากนั้นนำมาให้แพทย์ดู วินิจฉัยว่าเป็นฝีคัณฑสูตร ต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด โดยแพทย์อธิบายจะมีแผล 2 จุด คือตำแหน่งตรงที่มีหนองออกมา และตำแหน่งใกล้หูรูดทวารหนัก เนื่องจากจะต้องมีการเย็บท่อฝีหนองไม่ให้มีท่อเชื่อมจากทวารหนักออกมาได้ จึงตกลงหลังจากนั้นแพทย์ได้นัดผ่าตัดปลายเดือนเม.ย.63
รอเวลา...
ในช่วงนี้ก็จะมีอาการกลัวไม่อยากจะไปผ่าเนื่องจากว่าตอนนี้อาการเหมือนปกติทั่วไปไม่เจ็บ ไม่ปวดใดๆเลย เพียงแต่ผ่านไป 2-3 สัปดาห์จะมีหนองซึมออกมาเริ่มจะไม่อยากให้ถึงวันแล้ว ช่วงต้นเดือนมี.ค.63 มีโทรศัพท์จากแพทย์ว่าสะดวกเลื่อนนัดผ่าตัดมาเป็นกลางเดือน มี.ค.63 ไหม จึงตอบไปว่า ยังไม่สะดวกครับ เพราะยังกลัวๆเพราะอาการเหมือนคนปกติอย่างที่ผมเล่าไปแหละ ผ่านไปต้นเดือน เม.ย.63 ได้รับโทรศัพท์จากศูนย์รับผู้ป่วยในโทรมาว่าขอเลื่อนนัดการผ่าตัดออกไปจากปลายเดือนเม.ย. เป็นต้นเดือน ก.ค.63 เนื่องจากติดสถานะการโควิด-19 ทีนี้ยิ้มกว้างเลย แล้วช่วงเวลานี้ในใจอยากจะขอให้เวลาในแต่ละวันผ่านไปช้าๆๆๆๆ
ช่วงเวลานัดผ่าตัดก็มาถึง
เช้าวันที่ 30 มิ.ย.63 ไปติดต่อขอเป็นผู้ป่วยใน ไปดำเนินการ เจาะเลือด เอ็กเรย์ปอด กินข้าวให้เรียบร้อยแล้วขึ้นตึก หอพักพยาบาล3 หอผู้ปวย ผะอบ6 เปลี่ยนเสื้อผ้า ช่วงเย็นทีมแพทย์เจ้าของไข้จะมาเยี่ยม 4 คนประกอบไปด้วย อ.แพทย์ แพทย์(ที่ไม่ใส่ชุดกราวด์ในเสื้อเชิตปกติ) และแพทย์ประจำบ้านอีก 2 ท่าน มาขอล้วงก้นคนละทีเพื่อคลำดูท่อ (ช่วงเวลานี้จะเกร็งๆหน่อย) แล้วแพทย์จะสรุปให้ฟังว่าพน.ผ่าตัดในลักษณะอย่างไร โอเครนะครับ ผ่านไปสักพักวิสัญญีแพทย์(จบใหม่) ก็จะมาสอบถามว่าเคยผ่าตัดไหม ครั้งที่แล้วใช้วิธีระงับความรู้สึกด้วยวิธีไหน มีผลกระทบอะไรไหมจากการผ่าตัดครั้งที่ผ่านมา และเริ่มงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน จนถึงวันที่ 1 ก.ค.63 เวลา 9 โมง พยาบาลเจาะน้ำเกลือ เวลา 10.30 โมง พยาบาลแจ้งว่าเตรียมตัวไปห้องผ่าตัดให้ถอดทุกอย่างออกให้หมด สร้อย แหวน นาฬิกา คอนแท็กเลนส์ กางเกงใน ตอนนั้นใส่เพียงชุดคลุมสีชมพูเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด เมื่อจนท.นำส่งเข็น ถึงห้องผ่าตัดพยาบาลได้ซักถามตามขั้นตอนของเขา และนอนรอๆเพื่อเข้าห้องผ่าตัด ในช่วงนี้ถ้าใครปวดฉี่สามารถเรียกพยาบาลเพื่อขอฉี่ได้เลย เมื่อเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้วจะพบกับวิสัญญีแพทย์เพื่อจะบล๊อคหลัง ฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง โดยเริ่มจากฉีดยาชาก่อน 1 เข็ม หลังจากนั้นแพทย์จะให้นอนตัวงอให้ได้มากที่สุดเพื่อฉีดยาเพื่อบล๊อกหลัง ผมเองลักษณะตัวค่อนข้างใหญ่โดนแทงเข็มไป 4 ครั้งถึงจะรู้สึกชา ช่วงนั้นลุ้นทุกครั้งที่โดนฉีด เมื่อรู้สึกชาแล้วแพทย์ให้นอนคว่ำที่เตียงผ่าตัด เตียงจะโค้งเอาช่วงก้นขึ้นมาใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 35 นาที ความรู้สึกผมเองคิดว่า อ.แพทย์ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด เพราะผมได้ยินท่านพูดเหมือนสั่งให้แพทย์เป็นคนทำว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ท่านจะพูดเบาๆ จนเสร็จสิ้นการผ่าตัด ออกมาห้องพักฟื้นผมจะรู้สึกหนาวมากจนปากสั่น ตัวสั่น สามารถขอผ้าห่มลมร้อนจากพยาบาลได้ รอประมาณ 30 นาที จึงกลับหอผู้ป่วย
พักฟื้นที่หอผู้ป่วย
เมื่อมาถึงหอผู้ป่วยพยาบาลก็จะให้พยายามปัสสาวะให้ออกภายใน 4 ชั่วโมง ไม่งั้นจะต้องโดนสวน เทคนิคคือพยายามอย่าเบ่งแรงๆ ค่อยๆเบ่งให้น้ำมันไหลมาเอง ผ่านไป 4 ชั่วโมงเริ่มหายชาแล้ว เริ่มรู้สึกว่าเจ็บๆ แสบๆ ตรงก้น คล้ายๆก้นบาน เหมือนกินเผ็ดๆมา คืนแรกก็จะนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร เช้ามาคุณหมอให้นั่งแช่น้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที จากนั้นแพทย์มาตรวจสอบถามอาการตอนเช้าและอนุญาตให้อาบน้ำกลับบ้านได้ (สามารถนั่งรถได้แต่เจ็บครับ)
แพทย์อนุญาตให้หยุดงานได้ 5 วัน
ช่วงพักฟื้น
ผ่านไป 3 วันอาการที่แสบๆเริ่มลดน้อยลง มีน้ำเมือกและเลือดออกจากรูก้นอยู่ เลือดจะเริ่มค่อยๆจางลงไปเรื่อยๆ
ผ่านไป 20 วันเนื้อขึ้นเต็มแผลที่ผ่า ไม่มีน้ำออกจากแผล แต่ยังมีน้ำเมือกยังออกจากรูก้นอยู่บ้างแต่ไม่มีเลือด
ผ่านไป 30 วันน้ำเมือกน้อยลงมาก ไม่ได้ใส่ผ้าอนามัยแล้ว
สำหรับเคสผมยังคงรู้สึกเจ็บตรงรูก้นอยู่ และผมได้ให้แฟนถ่ายรูปตรงรูก้นมาดูพบว่ามีติ่งเนื้อสีชมพูๆยื่นออกมาตรงปากทวาร จึงให้แพทย์ดูแพทย์แจ้งว่าไม่ใช่ติ่งเนื้อร้ายอะไร และพบว่ามีริดสีดวงอยู่หน่อยๆ แพทย์จึงสั่งยามาให้ทาน 2 เดือน
ผ่านไป 3 เดือนหายเจ็บ อาการเป็นปกติ
ขอให้กำลังใจสำหรับท่านที่กำลังเป็นโรคฝีคัณสูตรอยู่ตอนนี้นะครับ รีบพบแพทย์เฉพาะทาง (ศักยกรรมลำไส้และทวารหนัก) เพื่อวินิจฉัยและรีบรักษา ส่วนตัวคิดว่าถ้ารีบรักษามีโอกาสที่จะหายสูงนะครับ ถ้าปล่อยเอาไว้เราไม่รู้ว่าทางของหนองจะขยายไปในทิศทางใดบ้างหากทางของหนองเข้าไปในอวัยวะที่อื่นอาจจะต้องรักษานานกว่าเดิม
หากต้องการพูดคุยกันสำหรับคนที่เป็นโรคนี้สามารถแจ้ง Line ID ไว้ได้นะครับผมจะดึงเข้ากลุ่มคนที่เป็นโรคนี้ด้วยกันได้พูดคุยกับคนที่เป็นโรคนี้จริงๆ
สุดท้ายขอให้ทุกท่านที่เป็นโรคนี้ให้หายขาดทุกท่านเลยนะครับ
ประสบการณ์กับโรคฝีคัณฑสูตร
เริ่มกระบวนการรักษาครั้งใหม่หลังจากรู้แล้วว่าเป็นฝีคัณฑสูตรแล้ว
เดือน ธ.ค. 62 จึงตัดสินใจไปพบแพทย์ที่รพ.จุฬาฯ (คลินิกนอกเวลา) เนื่องจากเป็นรพ.ที่มีผู้ป่วยโรคฝีคัณฑสูตรรักษาที่นี่เยอะมากแพทย์ใช้นิ้วสอดเข้าไปตรวจดูแล้วสั่งให้ไปทำ MRI ผมจึงทำการจองคิวปรากฏว่าต้องรอคิว 6 เดือนกว่าจะได้ทำ MRI จึงขออนุญาตแพทย์ไปทำที่รพ.อื่นได้ไหมเป็นรพ.เอกชนใกล้บ้านเผื่อจะได้เร็วขึ้น แต่แพทย์ไม่อนุญาตเนื่องจากมีความกังวลว่า รพ.ที่เราไปทำ MRI ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคฝีคัณฑสูตรแล้วทำให้ทำ MRI แล้วภาพจะไม่ชัดหรือไม่เห็นช่องทางที่เซาะของหนอง ผมจึงยอมนัดตามคิวของ รพ.
จากนั้นผ่านไป เดือน ม.ค.63 เริ่มกังวลจึงตัดสินใจไปพบแพทย์ รพ.ศิริราช เล่าอาการให้แพทย์ฟังว่าเป็นเหมือนหัวสิวแล้วแตกมีหนองซึมๆออกมาเดือนละ 2 ครั้ง แพทย์จึงนิ้วสอดเข้าไปคลำดูท่อฝีจากนั้นแพทย์จึงสั่งให้ไปทำ MRI ก่อน ผมจึงถามแพทย์ขอไปทำ MRI ที่รพ.อื่นได้ไหม แพทย์อนุญาตให้ทำได้และให้เหตุผลว่าแพทย์จะดูภาพเองอีกทีไม่ได้ดูจากการแปลผลอย่างเดียว จึงตัดสินไปทำ MRI และยกเลิกจองคิวที่ รพ.จุฬาฯ จากนั้นนำมาให้แพทย์ดู วินิจฉัยว่าเป็นฝีคัณฑสูตร ต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัด โดยแพทย์อธิบายจะมีแผล 2 จุด คือตำแหน่งตรงที่มีหนองออกมา และตำแหน่งใกล้หูรูดทวารหนัก เนื่องจากจะต้องมีการเย็บท่อฝีหนองไม่ให้มีท่อเชื่อมจากทวารหนักออกมาได้ จึงตกลงหลังจากนั้นแพทย์ได้นัดผ่าตัดปลายเดือนเม.ย.63
รอเวลา...
ในช่วงนี้ก็จะมีอาการกลัวไม่อยากจะไปผ่าเนื่องจากว่าตอนนี้อาการเหมือนปกติทั่วไปไม่เจ็บ ไม่ปวดใดๆเลย เพียงแต่ผ่านไป 2-3 สัปดาห์จะมีหนองซึมออกมาเริ่มจะไม่อยากให้ถึงวันแล้ว ช่วงต้นเดือนมี.ค.63 มีโทรศัพท์จากแพทย์ว่าสะดวกเลื่อนนัดผ่าตัดมาเป็นกลางเดือน มี.ค.63 ไหม จึงตอบไปว่า ยังไม่สะดวกครับ เพราะยังกลัวๆเพราะอาการเหมือนคนปกติอย่างที่ผมเล่าไปแหละ ผ่านไปต้นเดือน เม.ย.63 ได้รับโทรศัพท์จากศูนย์รับผู้ป่วยในโทรมาว่าขอเลื่อนนัดการผ่าตัดออกไปจากปลายเดือนเม.ย. เป็นต้นเดือน ก.ค.63 เนื่องจากติดสถานะการโควิด-19 ทีนี้ยิ้มกว้างเลย แล้วช่วงเวลานี้ในใจอยากจะขอให้เวลาในแต่ละวันผ่านไปช้าๆๆๆๆ
ช่วงเวลานัดผ่าตัดก็มาถึง
เช้าวันที่ 30 มิ.ย.63 ไปติดต่อขอเป็นผู้ป่วยใน ไปดำเนินการ เจาะเลือด เอ็กเรย์ปอด กินข้าวให้เรียบร้อยแล้วขึ้นตึก หอพักพยาบาล3 หอผู้ปวย ผะอบ6 เปลี่ยนเสื้อผ้า ช่วงเย็นทีมแพทย์เจ้าของไข้จะมาเยี่ยม 4 คนประกอบไปด้วย อ.แพทย์ แพทย์(ที่ไม่ใส่ชุดกราวด์ในเสื้อเชิตปกติ) และแพทย์ประจำบ้านอีก 2 ท่าน มาขอล้วงก้นคนละทีเพื่อคลำดูท่อ (ช่วงเวลานี้จะเกร็งๆหน่อย) แล้วแพทย์จะสรุปให้ฟังว่าพน.ผ่าตัดในลักษณะอย่างไร โอเครนะครับ ผ่านไปสักพักวิสัญญีแพทย์(จบใหม่) ก็จะมาสอบถามว่าเคยผ่าตัดไหม ครั้งที่แล้วใช้วิธีระงับความรู้สึกด้วยวิธีไหน มีผลกระทบอะไรไหมจากการผ่าตัดครั้งที่ผ่านมา และเริ่มงดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน จนถึงวันที่ 1 ก.ค.63 เวลา 9 โมง พยาบาลเจาะน้ำเกลือ เวลา 10.30 โมง พยาบาลแจ้งว่าเตรียมตัวไปห้องผ่าตัดให้ถอดทุกอย่างออกให้หมด สร้อย แหวน นาฬิกา คอนแท็กเลนส์ กางเกงใน ตอนนั้นใส่เพียงชุดคลุมสีชมพูเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด เมื่อจนท.นำส่งเข็น ถึงห้องผ่าตัดพยาบาลได้ซักถามตามขั้นตอนของเขา และนอนรอๆเพื่อเข้าห้องผ่าตัด ในช่วงนี้ถ้าใครปวดฉี่สามารถเรียกพยาบาลเพื่อขอฉี่ได้เลย เมื่อเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้วจะพบกับวิสัญญีแพทย์เพื่อจะบล๊อคหลัง ฉีดยาเข้ากระดูกสันหลัง โดยเริ่มจากฉีดยาชาก่อน 1 เข็ม หลังจากนั้นแพทย์จะให้นอนตัวงอให้ได้มากที่สุดเพื่อฉีดยาเพื่อบล๊อกหลัง ผมเองลักษณะตัวค่อนข้างใหญ่โดนแทงเข็มไป 4 ครั้งถึงจะรู้สึกชา ช่วงนั้นลุ้นทุกครั้งที่โดนฉีด เมื่อรู้สึกชาแล้วแพทย์ให้นอนคว่ำที่เตียงผ่าตัด เตียงจะโค้งเอาช่วงก้นขึ้นมาใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 35 นาที ความรู้สึกผมเองคิดว่า อ.แพทย์ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด เพราะผมได้ยินท่านพูดเหมือนสั่งให้แพทย์เป็นคนทำว่าต้องทำอย่างนั้น อย่างนี้ แต่ท่านจะพูดเบาๆ จนเสร็จสิ้นการผ่าตัด ออกมาห้องพักฟื้นผมจะรู้สึกหนาวมากจนปากสั่น ตัวสั่น สามารถขอผ้าห่มลมร้อนจากพยาบาลได้ รอประมาณ 30 นาที จึงกลับหอผู้ป่วย
พักฟื้นที่หอผู้ป่วย
เมื่อมาถึงหอผู้ป่วยพยาบาลก็จะให้พยายามปัสสาวะให้ออกภายใน 4 ชั่วโมง ไม่งั้นจะต้องโดนสวน เทคนิคคือพยายามอย่าเบ่งแรงๆ ค่อยๆเบ่งให้น้ำมันไหลมาเอง ผ่านไป 4 ชั่วโมงเริ่มหายชาแล้ว เริ่มรู้สึกว่าเจ็บๆ แสบๆ ตรงก้น คล้ายๆก้นบาน เหมือนกินเผ็ดๆมา คืนแรกก็จะนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร เช้ามาคุณหมอให้นั่งแช่น้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาที จากนั้นแพทย์มาตรวจสอบถามอาการตอนเช้าและอนุญาตให้อาบน้ำกลับบ้านได้ (สามารถนั่งรถได้แต่เจ็บครับ)
แพทย์อนุญาตให้หยุดงานได้ 5 วัน
ช่วงพักฟื้น
ผ่านไป 3 วันอาการที่แสบๆเริ่มลดน้อยลง มีน้ำเมือกและเลือดออกจากรูก้นอยู่ เลือดจะเริ่มค่อยๆจางลงไปเรื่อยๆ
ผ่านไป 20 วันเนื้อขึ้นเต็มแผลที่ผ่า ไม่มีน้ำออกจากแผล แต่ยังมีน้ำเมือกยังออกจากรูก้นอยู่บ้างแต่ไม่มีเลือด
ผ่านไป 30 วันน้ำเมือกน้อยลงมาก ไม่ได้ใส่ผ้าอนามัยแล้ว
สำหรับเคสผมยังคงรู้สึกเจ็บตรงรูก้นอยู่ และผมได้ให้แฟนถ่ายรูปตรงรูก้นมาดูพบว่ามีติ่งเนื้อสีชมพูๆยื่นออกมาตรงปากทวาร จึงให้แพทย์ดูแพทย์แจ้งว่าไม่ใช่ติ่งเนื้อร้ายอะไร และพบว่ามีริดสีดวงอยู่หน่อยๆ แพทย์จึงสั่งยามาให้ทาน 2 เดือน
ผ่านไป 3 เดือนหายเจ็บ อาการเป็นปกติ
ขอให้กำลังใจสำหรับท่านที่กำลังเป็นโรคฝีคัณสูตรอยู่ตอนนี้นะครับ รีบพบแพทย์เฉพาะทาง (ศักยกรรมลำไส้และทวารหนัก) เพื่อวินิจฉัยและรีบรักษา ส่วนตัวคิดว่าถ้ารีบรักษามีโอกาสที่จะหายสูงนะครับ ถ้าปล่อยเอาไว้เราไม่รู้ว่าทางของหนองจะขยายไปในทิศทางใดบ้างหากทางของหนองเข้าไปในอวัยวะที่อื่นอาจจะต้องรักษานานกว่าเดิม
หากต้องการพูดคุยกันสำหรับคนที่เป็นโรคนี้สามารถแจ้ง Line ID ไว้ได้นะครับผมจะดึงเข้ากลุ่มคนที่เป็นโรคนี้ด้วยกันได้พูดคุยกับคนที่เป็นโรคนี้จริงๆ
สุดท้ายขอให้ทุกท่านที่เป็นโรคนี้ให้หายขาดทุกท่านเลยนะครับ