สูงสุดสู่สามัญ! เส้นทางสังเวียน “เดชดำรงค์” อดีตแชมป์โลกชาวไทยในกีฬา MMA
เรื่องราวของนักสู้ระดับตำนาน “ไอ้ตาดุ” เดชดำรงค์ หลังจากอำลาเวทีผ้าใบ และหันไปขึ้นสังเวียนวงกลม สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในฐานะคนไทยคนแรกและคนเดียวที่คว้าแชมป์โลก ONE ในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน
“ครูรงค์” เดชดำรงค์ ส.อำนวยศิริโชค อดีตนักมวยไทยระดับเจ้าตำนานผู้คลุกคลีบนเส้นทางนักสู้มากว่า 30 ปี จุดเริ่มต้นของเขามาจากพ่อที่ชอบดูมวย จึงหัดซ้อมมวยให้เขาเพื่อความสนุกสนาน แต่ชีวิตก็พลิกผันให้ก้าวขึ้นสังเวียนครั้งแรกด้วยค่าตัว 70 บาท ก่อนจะสั่งสมกระดูกมวยและขยับไปแข่งขันในเวทีใหญ่ ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์กว่า 350 ไฟต์ จนคว้าแชมป์มวยไทยจากสนามมวยเวทีลุมพินีมาครองถึง 3 รุ่น ก่อนจะตัดสินใจอำลาวงการมวยไทย ทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงในฐานะตำนาน
อำลาเพื่อเริ่มต้น
หลังรีไทร์จากอาชีพนักมวย เดชดำรงค์ ในวัย 36 ปี ก็ผันตัวไปเป็นเทรนเนอร์ที่ Evolve MMA ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมนักกีฬาการต่อสู้ระดับแชมป์โลกมากมายซึ่งปักหลักเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่นั่น มันไม่ใช่จุดจบของอาชีพนักสู้ แต่กลับเป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางสายใหม่เมื่อเขาได้รู้จักกีฬาศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน
แรกเริ่ม เดชดำรงค์ ไม่สนใจกีฬาชนิดนี้เลย เพราะมีอคติว่าเป็นการต่อสู้ที่ล้มแล้วซ้ำได้ ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยที่ล้มแล้วห้ามซ้ำ แต่เมื่อได้คลุกคลีกับกีฬานี้อย่างจริงจังจึงเข้าใจว่ามันเป็นกีฬาที่มีความใกล้เคียงกับการต่อสู้ในชีวิตจริง อีกทั้งยังมีกฎกติกาซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมีความแพร่หลายในต่างประเทศมานานแล้ว
ในที่สุด เดชดำรงค์ ก็เปิดใจเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้แขนงนี้ โดยใช้พื้นฐานมวยไทยเป็นแกนหลักในการต่อสู้ด้วยท่ายืน และเสริมวิชาบราซิลเลียนยิวยิตสูเข้าไปเพื่อใช้ในเกมนอนสู้
เก็บแต้ม 6 ไฟต์ไร้พ่าย
ครั้งแรกของ เดชดำรงค์ ในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน
https://www.youtube.com/watch?time_continue=9&v=Pi_zsOe41Ns&feature=emb_logo
หลังฝึกซ้อมอยู่ราว 4-5 เดือน เดชดำรงค์ ก็เริ่มมีความชำนาญในการต่อสู้แบบผสมผสาน และตัดสินใจขึ้นสังเวียนชิมลางไฟต์แรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2557 พร้อมกับสร้างผลงานสุดประทับใจ หลังคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่ง “โจมานซ์ โอมานซ์” ด้วยการน็อกเอาต์ในยกแรก
จากนั้น เดชดำรงค์ ก็เดินหน้าแข่งขันอย่างต่อเนื่องทุกสองเดือน จนสามารถเก็บชัยชนะแบบไม่ครบยกติดต่อกันถึง 4 ไฟต์ในปี 2557 และในปีต่อมาก็เก็บสถิติชนะคะแนนอีก 2 ไฟต์ พ่วงตำแหน่งแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวต
นั่งบัลลังก์แชมป์โลก
ศึกประวัติศาสตร์การชิงแชมป์โลก เดชดำรงค์ vs รอย โดลิเกวซ
https://www.youtube.com/watch?v=dAiNpRP1vPw&feature=emb_logo
ศึกประวัติศาสตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ เดชดำรงค์ มากที่สุดในฐานะนักกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน คือการชิงแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวต เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม2558 ซึ่งนับเป็นไฟต์ที่ 5 ของการต่อสู้บนสังเวียนระดับโลก
แม้ เดชดำรงค์ จะเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ค่าย Evolve MMA ประเทศสิงคโปร์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นสังเวียนในบ้านหลังที่สองแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านี้ 4 ไฟต์ที่ผ่านมาเขาเดินทางไปแข่งขันหลายประเทศทั้ง อินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์
เดชดำรงค์ ยอมรับว่าแม้เขาจะเคยผ่านการชิงแชมป์มาหลายครั้งในชีวิต แต่ครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะเป็นกีฬาใหม่และมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เป็นนักกีฬาชนิดนี้ เขาเผชิญหน้ากับคู่ชิงแชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์ “รอย โดลิเกวซ” ซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์โลก WBO รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ปี 2003 และผันตัวมาแข่งขันในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสานเช่นเดียวกัน
การแข่งขันดำเนินไปถึงยกที่ 5 ซึ่งเป็นยกสุดท้าย แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องยุติลงก่อนหมดเวลา กรรมการจึงรวบรวมคะแนนจากยกที่ผ่านมา และชูมือให้ เดชดำรงค์ ชนะไปด้วยคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ คว้าเข็มขัดแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวตมาครองเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของรายการ
น้ำตาลูกผู้ชาย
เดชดำรงค์ เสียแชมป์ที่บ้านเกิด
https://www.youtube.com/watch?v=fXzBsnK4VZw&feature=emb_logo
การได้แชมป์ว่ายากแล้วแต่การป้องกันแชมป์นั้นยากกว่า หลังจากนอนกอดเข็มขัดอยู่กว่าหนึ่งปี เดชดำรงค์ ก็ต้องทำหน้าในการป้องกันแชมป์โลกกับผู้ท้าชิงสุดเก๋าจากญี่ปุ่น “โยชิตากะ นาอิโตะ” ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับมาขึ้นสังเวียนในบ้านเกิด
ครอบครัว เพื่อนฝูง ฯลฯ ขนกันมาทั้งหมู่บ้าน เพื่อมาเชียร์และให้กำลังใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าสังเวียนในบ้านเกิดกลับกลายเป็นดินแดนอาถรรพณ์ทำให้ เดชดำรงค์ ต้องพบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกโดยถูกซับมิชชัน และเป็นความพ่ายแพ้ต่อหน้าพี่น้องประชาชนชาวไทย เข็มขัดแชมป์โลก ONE กระเด็นออกจากเอวไปต่อหน้าต่อตา
น้ำตาลูกผู้ชายร่วงบนเวที ความเสียใจที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่เท่ากับที่ทำให้กองเชียร์ชาวไทยในสนามอิมแพ็ค อารีน่า ต้องผิดหวัง
จากวันแรกถึงวันนี้ เส้นทางของอดีตแชมป์โลก ONE ชาวไทย คนแรกและคนเดียวในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน ผ่านมาแล้วกว่า 6 ปี กับ 16 ไฟต์ที่คลุกคลีอยู่กับกีฬาประเภทนี้ จนอายุเข้าใกล้วัย 42 ปี ในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึง หลายคนมองว่าหรือมันจะถึงเวลาที่ เดชดำรงค์ ควรปลดระวางและหันไปยึดอาชีพเทรนเนอร์เพียงอย่างเดียว
แต่ใครจะรู้จัก เดชดำรงค์ ได้ดีเท่ากับตัวเขาเอง หัวใจที่ยังกระหายชัยชนะ และผลงานที่ประจักษ์บนสังเวียนจะเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง
สูงสุดสู่สามัญ! เส้นทางสังเวียน “เดชดำรงค์” อดีตแชมป์โลกชาวไทยในกีฬา MMA
“ครูรงค์” เดชดำรงค์ ส.อำนวยศิริโชค อดีตนักมวยไทยระดับเจ้าตำนานผู้คลุกคลีบนเส้นทางนักสู้มากว่า 30 ปี จุดเริ่มต้นของเขามาจากพ่อที่ชอบดูมวย จึงหัดซ้อมมวยให้เขาเพื่อความสนุกสนาน แต่ชีวิตก็พลิกผันให้ก้าวขึ้นสังเวียนครั้งแรกด้วยค่าตัว 70 บาท ก่อนจะสั่งสมกระดูกมวยและขยับไปแข่งขันในเวทีใหญ่ ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์กว่า 350 ไฟต์ จนคว้าแชมป์มวยไทยจากสนามมวยเวทีลุมพินีมาครองถึง 3 รุ่น ก่อนจะตัดสินใจอำลาวงการมวยไทย ทิ้งไว้เพียงชื่อเสียงในฐานะตำนาน
แรกเริ่ม เดชดำรงค์ ไม่สนใจกีฬาชนิดนี้เลย เพราะมีอคติว่าเป็นการต่อสู้ที่ล้มแล้วซ้ำได้ ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยที่ล้มแล้วห้ามซ้ำ แต่เมื่อได้คลุกคลีกับกีฬานี้อย่างจริงจังจึงเข้าใจว่ามันเป็นกีฬาที่มีความใกล้เคียงกับการต่อสู้ในชีวิตจริง อีกทั้งยังมีกฎกติกาซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยมีความแพร่หลายในต่างประเทศมานานแล้ว
ในที่สุด เดชดำรงค์ ก็เปิดใจเรียนรู้ศาสตร์การต่อสู้แขนงนี้ โดยใช้พื้นฐานมวยไทยเป็นแกนหลักในการต่อสู้ด้วยท่ายืน และเสริมวิชาบราซิลเลียนยิวยิตสูเข้าไปเพื่อใช้ในเกมนอนสู้
ครั้งแรกของ เดชดำรงค์ ในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน
https://www.youtube.com/watch?time_continue=9&v=Pi_zsOe41Ns&feature=emb_logo
หลังฝึกซ้อมอยู่ราว 4-5 เดือน เดชดำรงค์ ก็เริ่มมีความชำนาญในการต่อสู้แบบผสมผสาน และตัดสินใจขึ้นสังเวียนชิมลางไฟต์แรกเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2557 พร้อมกับสร้างผลงานสุดประทับใจ หลังคว้าชัยชนะเหนือคู่แข่ง “โจมานซ์ โอมานซ์” ด้วยการน็อกเอาต์ในยกแรก
จากนั้น เดชดำรงค์ ก็เดินหน้าแข่งขันอย่างต่อเนื่องทุกสองเดือน จนสามารถเก็บชัยชนะแบบไม่ครบยกติดต่อกันถึง 4 ไฟต์ในปี 2557 และในปีต่อมาก็เก็บสถิติชนะคะแนนอีก 2 ไฟต์ พ่วงตำแหน่งแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวต
ศึกประวัติศาสตร์การชิงแชมป์โลก เดชดำรงค์ vs รอย โดลิเกวซ
ศึกประวัติศาสตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ เดชดำรงค์ มากที่สุดในฐานะนักกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน คือการชิงแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวต เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม2558 ซึ่งนับเป็นไฟต์ที่ 5 ของการต่อสู้บนสังเวียนระดับโลก
แม้ เดชดำรงค์ จะเป็นเทรนเนอร์อยู่ที่ค่าย Evolve MMA ประเทศสิงคโปร์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นสังเวียนในบ้านหลังที่สองแห่งนี้ เพราะก่อนหน้านี้ 4 ไฟต์ที่ผ่านมาเขาเดินทางไปแข่งขันหลายประเทศทั้ง อินโดนีเซีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, มาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์
เดชดำรงค์ ยอมรับว่าแม้เขาจะเคยผ่านการชิงแชมป์มาหลายครั้งในชีวิต แต่ครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะเป็นกีฬาใหม่และมีคนไทยเพียงไม่กี่คนที่เป็นนักกีฬาชนิดนี้ เขาเผชิญหน้ากับคู่ชิงแชมป์โลกชาวฟิลิปปินส์ “รอย โดลิเกวซ” ซึ่งมีดีกรีเป็นแชมป์โลก WBO รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต ปี 2003 และผันตัวมาแข่งขันในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสานเช่นเดียวกัน
การแข่งขันดำเนินไปถึงยกที่ 5 ซึ่งเป็นยกสุดท้าย แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องยุติลงก่อนหมดเวลา กรรมการจึงรวบรวมคะแนนจากยกที่ผ่านมา และชูมือให้ เดชดำรงค์ ชนะไปด้วยคะแนนอย่างเป็นเอกฉันท์ คว้าเข็มขัดแชมป์โลก ONE รุ่นสตรอว์เวตมาครองเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของรายการ
เดชดำรงค์ เสียแชมป์ที่บ้านเกิด
การได้แชมป์ว่ายากแล้วแต่การป้องกันแชมป์นั้นยากกว่า หลังจากนอนกอดเข็มขัดอยู่กว่าหนึ่งปี เดชดำรงค์ ก็ต้องทำหน้าในการป้องกันแชมป์โลกกับผู้ท้าชิงสุดเก๋าจากญี่ปุ่น “โยชิตากะ นาอิโตะ” ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นที่ประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับมาขึ้นสังเวียนในบ้านเกิด
ครอบครัว เพื่อนฝูง ฯลฯ ขนกันมาทั้งหมู่บ้าน เพื่อมาเชียร์และให้กำลังใจ ไม่มีใครคาดคิดว่าสังเวียนในบ้านเกิดกลับกลายเป็นดินแดนอาถรรพณ์ทำให้ เดชดำรงค์ ต้องพบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกโดยถูกซับมิชชัน และเป็นความพ่ายแพ้ต่อหน้าพี่น้องประชาชนชาวไทย เข็มขัดแชมป์โลก ONE กระเด็นออกจากเอวไปต่อหน้าต่อตา
น้ำตาลูกผู้ชายร่วงบนเวที ความเสียใจที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่เท่ากับที่ทำให้กองเชียร์ชาวไทยในสนามอิมแพ็ค อารีน่า ต้องผิดหวัง
จากวันแรกถึงวันนี้ เส้นทางของอดีตแชมป์โลก ONE ชาวไทย คนแรกและคนเดียวในกีฬาการต่อสู้แบบผสมผสาน ผ่านมาแล้วกว่า 6 ปี กับ 16 ไฟต์ที่คลุกคลีอยู่กับกีฬาประเภทนี้ จนอายุเข้าใกล้วัย 42 ปี ในวันที่ 7 พฤศจิกายนที่จะถึง หลายคนมองว่าหรือมันจะถึงเวลาที่ เดชดำรงค์ ควรปลดระวางและหันไปยึดอาชีพเทรนเนอร์เพียงอย่างเดียว
แต่ใครจะรู้จัก เดชดำรงค์ ได้ดีเท่ากับตัวเขาเอง หัวใจที่ยังกระหายชัยชนะ และผลงานที่ประจักษ์บนสังเวียนจะเป็นคำตอบสำหรับทุกอย่าง