TENET กวาด 307.7 ล้านเหรียญทั่วโลก / Box Office จีนยิ่งใหญ่ My People, My Homeland และ Jiang Ziya เปิดตัวเกิน 150 ล้าน

ศัตรูของโรงภาพยนตร์คือโรคระบาดยังคงอาละวาดไม่หยุดทุกมุมโลก แต่ท่ามกลางวิกฤติการณ์ประเทศจีนก็แสดงให้เห็นว่าการร่วมมือร่วมใจเพื่อควบคุมโรค และความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภาพยในประเทศนั้น ช่วยให้ Box Office ฟื้นคืนชีพกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับก่อน COVID-19 ได้อย่างรวดเร็วเป็นที่เรียบร้อย

TENET ภาพยนตร์ Hollywood  ฟอร์มยักษ์เรื่องเดียวในตลาดโลก ณ เวลานี้ ยังเดินหน้ากวาดรายได้อย่างช้าๆไปเรื่อยๆ สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทำเงินทั่วโลกไปอีก 14.5 ล้านเหรียญจาก 58 ตลาด ทำให้รายได้รวมตอนนี้อยู่ที่ 307.7 ล้านเหรียญแล้ว ซึ่ง TENET ยังเหลือโปรแกรมฉายอีก 23 ตลาดคือประเทศส่วนใหญ่ในละตินอเมริกาและประเทศที่สถานการณ์ COVID ยังย่ำแย่ ซึ่งในจำนวนนั้นมีตลาดใหญ่อย่าง บราซิล, อินเดีย, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์รวมอยู่ด้วย

โดยรายได้ในหลายตลาดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาทรงตัวได้ดีมากทั้ง UK (-4%), Australia (-8%), Korea (-8%), Japan (-18%),  USA (-21%), Germany (-24%), France (-25%), Mexico (-26%) และ Italy (-39%) ซึ่งรายได้หลักของ TENET มาจากตลาดต่างๆเหล่านี้

จีน 65.5 ล้านเหรียญ
USA 45.1 ล้านเหรียญ
UK 20.9 ล้านเหรียญ
ฝรั่งเศส 20.0 ล้านเหรียญ
เยอรมัน 16.1 ล้านเหรียญ
ญี่ปุ่น 15.9 ล้านเหรียญ
เกาหลีใต้ 14.2 ล้านเหรียญ
ไต้หวัน  11.1 ล้านเหรียญ
รัสเซีย 10.5 ล้านเหรียญ
สเปน 8.2 ล้านเหรียญ
ออสเตรเลีย 7.8 ล้านเหรียญ
อิตาลี 7.6 ล้านเหรียญ
ฮอลแลนด์ 7.5 ล้านเหรียญ

สำหรับรายได้สุดท้ายของ TENET ในตลาดโลกคาดว่าจะผ่าน 350 ล้านเหรียญไปได้สบายๆ แต่จะไปใกล้เคียง 375 ล้านเหรียญแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์โรงหนังในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก TENET ก็มีสิทธิไปถึง 375-380 ล้านเหรียญได้อยู่

ในขณะที่ฝั่งตะวันตก box Office ดูเงียบเหงาแต่อีกซีกโลกนึงในประเทศจีน Box Office กลับคึกคักสุดๆเนื่องจากเป็นสัปดาห์วันชาติที่หยุดยาวกันทั้งอาทิตย์ ประชาชนจีนต่างแห่กันกลับบ้าน เดินทางท่องเที่ยว และออกไปทำกิจกรรมกันมืดฟ้ามัวดินและแน่นอนรวมทั้งไปดูหนังด้วย ซึ่งผลปรากฏว่ามีภาพยนตร์ถึง 2 เรื่องสามารถทำเงินเปิดตัวได้มากกว่า 150 ล้านเหรียญในสุดสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งแทบไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ นั่นก็คือ My People, My Homeland ภาคต่อของ My People, My Country ที่เข้าฉายช่วงวันชาติปีที่แล้วและกวาดเงินไป 3,170 ล้านหยวน ซึ่งทาง My People, My Homeland ก็ทำเงินเปิดตัวไปถึง 1,076 ล้านหยวนหรือ 158.1 ล้านเหรียญ คว้าแชมป์หนังทำเงินสุดสัปดาห์วันชาติไปครอง ในขณะที่ Jiang Ziya: Legend of Deification ภาพยนตร์อนิเมชั่นค่ายเดียวกับ Ne Zha หนังฮิตปีที่แล้วก็โกยเงินเปิดตัวไป 1,033 ล้านหยวนหรือ 152.3 ล้านเหรียญได้ตำแหน่งรองแชมป์ไป
 
ยังไม่หมดสุดสัปดาห์วันชาติยังมีหนังจีนออกมาโกยเงินกันไม่หยุดทั้ง Leap ภาพยนตร์เกี่ยวกับทีมวอลเลย์บอลหญิงของจีนที่ฉายมาเป็นสุดสัปดาห์ที่ 2 แล้ว Vanguard หนังเรื่องล่าสุดของเฉินหลงที่เลื่อนมาจากตรุษจีน และ Coffee or Tea? ที่เพิ่งจะเปิดตัวในวันอาทิตย์แต่ทำเงินติด Top 5 ได้สบายๆ โดยอันดับ Box Office จีนช่วงวันที่ 1-4 ตุลาคมเป็นดังนี้

1.My People, My Homeland = 158.1 ล้านเหรียญ รายได้รวม 158.1 ล้านเหรียญ
2.Jiang Ziya: Legend of Deification = 152.3 ล้านเหรียญ รายได้รวม 152.3 ล้านเหรียญ
3. Leap = 29.5 ล้านเหรียญ รายได้รวม 70.7 ล้านเหรียญ
4. Vanguard = 17.7 ล้านเหรียญ รายได้รวม 26.1 ล้านเหรียญ
5. Coffee or Tea? (เปิดตัววันที่ 4 ตุลาคม) = 4.2 ล้านเหรียญ รายได้รวม 4.2 ล้านเหรียญ
6.The Eight Hundred = 2.3 ล้านเหรียญ รายได้รวม 445.8 ล้านเหรียญ

สรุป 6 อันดับแรกในตาราง Box Office จีนทำเงิน 4 วันรวมกันถึง 364.1 ล้านเหรียญ เกือบเท่ารายได้ตลอดการฉายของหนังทุกเรื่องของ Hollywood รวมกันตั้งแต่หลัง COVID เป็นต้นมา และถ้าคิดเฉพาะตลาดจีนที่เพิ่งเปิดโรงหนังเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมนั้นใช้เวลาแค่ 2 เดือนครึ่งเท่านั้นทำเงินเกิน 1 พันล้านเหรียญไปได้อย่างไม่ยากเย็น โดยมีภาพยนตร์ Top 10 ที่ทำเงินสูงสุดตั้งแต่หลัง Re-opening โรงหนังดังนี้

1.The Eight Hundred 445.8 ล้านเหรียญ
2. My People, My Homeland 158.1 ล้านเหรียญ
3. Jiang Ziya: Legend of Deification 152.3 ล้านเหรียญ
4.Love You Forever 74.6 ล้านเหรียญ
5.Leap 70.7 ล้านเหรียญ
6.TENET 65.5 ล้านเหรียญ
7.Mulan 40.9 ล้านเหรียญ
8.Harry Potter and the Philosopher’s Stone (Re-run) 28.3 ล้านเหรียญ
9.Vanguard 26.1 ล้านเหรียญ
10.Dolittle 20.1 ล้านเหรียญ

สิ่งที่ทำให้ Box Office จีนฟื้นตัวได้รวดเร็วขนาดนี้แน่นอนว่าประการแรกคือความเข้มแข็งในการควบคุมโรคของรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่เริ่มการ Re-opening นั้น โรงได้ภาพยนตร์ได้รับอนุญาตให้ใช้ Occupancy เพียง 25% เท่านั้น ก่อนจะมาเพิ่มเป็น 50% ในวันที่ 14 สิงหาคมรับการเปิดตัวของ Harry Potter และ 1 สัปดาห์ก่อนการเปิดตัวของ The Eight Hundred ล่าสุดโรงหนังได้ใช้ Occupancy ที่ 75% แล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วรับการเปิดตัวของ Leap และ 1 สัปดาห์ก่อนการเปิดตัวของ M People, My Homeland และ Jiang Ziya คาดว่าจะใช้ความจุ 100% ได้ก่อนสิ้นปีนี้เพื่อเตรียมรับหนังปีใหม่และตรุษจีนที่กำลังจะมาถึง

นอกจากการทำงานอย่างเป้นขั้นเป็นตอนแล้วความแข้มแข็งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ภายในประเทศก็เป้นสิ่งสำคัญ จะเห็นได้ว่าจากอันดับ Top 10 หนังทำเงินหลัง COVID นั้นเป็นหนังจีนถึง 6 เรื่อง และที่สำคัญคือ Top 5 เป็นหนังจีนทั้งหมด ซึ่งหนัง Top 5 นั้นทำรายได้ไป 901.5 ล้านเหรียญจาก 1,082.4 ล้าน หรือ 83% เรียกว่าแข็งแกร่งสุดๆ

นี่คือทางรอดของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์ในแต่ละประเทศยุค New Normal นั่นคือควบคุมและจัดการโรค บริหารจัดการ Re-opening อย่างเป็นขั้นตอน และสุดท้ายต้องพึ่งพาหนังภายในประเทศตัวเองเป็นหลักเพราะ Hollywood ที่ยังแหลกเหลวเละเทะนั้นไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวกลับมาได้เมื่อไหร่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่