รายละเอียดของสินค้า และส่วนผสม ดูได้ที่เว็บนี้ครับ
https://deciem.com/brand/the-ordinary
ถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ลองเปิดด้วย Chrome มันจะมีที่แปลภาษาครับ
ส่วนใหญ่สินค้า the Ordinary จะเป็น vegan , no alcohol , no fragrance , no silicone (รายละเอียดต้องดูเป็นอัน ๆ ไป) ซึ่งตรงใจผมมาก
Silicone แม้จะปลอดภัย ไม่อุดตัน แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมจะเลี่ยง (silicone บางตัว บางเกรดก็ไม่อุดตัน แต่ผมขี้เกียจมานั่งดูมานั่งเช็คส่วนผสมครับ)
Fragrance อาจใส่เพื่อให้มีกลิ่นที่น่าอภิรมย์ หรือมาจาก essential oil ในส่วนผสม แต่สำหรับผม ส่วนใหญ่จะแพ้ หน้าขึ้นเป็น bump ๆ เพราะงั้นผมเลยเลี่ยงครับ
Alcohol อาจใส่เพื่อทำเนื้อสัมผัสของครีมดีขึ้น หรือบางทีแอลกอฮอล์จะดึงสารสกัดของวัตถุดิบนั้นออกมาได้ดีขึ้น แต่ผมจะเลี่ยงครับ หลายครั้งใช้แล้วไม่สบายหน้าเลย
เด็ดกว่านั้น essential oil บางตัว หรือ silicone บางตัว เวลาโดนแดด หรือเวลาเหงื่อออก ดันทำปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง อุดตันผิว ทำให้คัน ๆ สรุปวันต่อมา หน้าขึ้น bump แดง ๆ คัน ๆ
อันนี้เป็นราคานะครับ ต้องบวก tax เพิ่มไปด้วย (ภาษีจะแตกต่างกันไป ้เช่นที่นิวหยอค จะ 8.875% ส่วนที่ DC จะ 5% มั๊ง หรือ ที่ philly จะไม่มี tax ในสินค้าบางอย่าง )
อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 USD = 31.52 บาท นะครับ
1. Glycolic acid 7% Toning solution
ขนาด 240 ml ราคา 299 บาท
อันนี้เป็นโทนเนอร์ AHA ครับ เรียกว่าน้ำตบก็ได้นะ
AHA ช่วยเรื่องผลัดเซลส์ผิว ใช้ตอนเย็นหลังล้างหน้า ส่วนตอนกลางวันก็ทากันแดดให้ดีครับ
AHAs มีหลายตัวเลยครับ เช่น
Citric acid (จาก ผลไม้ตระกูล citrus เช่น มะกรูด มะนาว)
Glycolic acid (จากอ้อย)
Lactic acid (จากแลคโทส หรือ carb อื่น ๆ )
Tartaric acid ( จากองุ่น )
และ 9ล9 แต่ละอย่างก็มีจุดเด่นและข้อบ่งใช้แตกต่างกันไป
2. Niacinamide 10% + zinc 1 %
ขนาด 60 ml ราคา 364 บาท
หลาย papers บอกว่า Niacinamide 5% ก็ช่วยเรื่องสิวครับ ใครเป็นสิวเล็กน้อย ลองได้ครับ (หลังจากศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนนะครับ) ส่วนสิวปานกลางไปทางหนักหนาสาหัส ลองปรึกษาตจแพทย์ดูครับ
อันนี้ niacinamide 10% หลายเสียงบอกว่าอาจจะทำให้ระคายเคืองได้นะ แต่แค่อาจจะไง งานวิจัยที่บอกว่า 10% ทำให้ระคายเคือง ยังมีไม่มากพอ
Zinc 1% ก็ช่วยเรื่องสิว
ผมเคยใช้ไปแล้ว 2 หลอด สภาพผิวโดยรวมก็ใช้ได้นะครับ นี่เลยซื้อมาอีก 2 หลอด
** ถ้าผิวแพ้ง่ายมาก ๆ แต่อยากใช้ vit C + niacinamide ด้วยกัน แต่ก็กลัว niacin flush
ก็พยายามใช้vit C คนละเวลากับ niacinamide นะครับ เช่น ใช้ vit C กลางวัน ส่วนกลางคืน ใช้ vit B3 (อันนี้แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ นะครับ)
3. Buffet
ขนาด 60 มล ราคา 964 บาท
อันนี้เอา peptides หลาย ๆ ตัวมารวมกันครับ
ตัวนี้ราคาแพงนะครับ ใน line ของ The ordinary
4. Natural Moisturizing factors + HA
ขนาด 100 ml ราคา 264 บาท
อันนี้เป็น มอยเจอร์ไรเซอร์ ให้ความชุ่มชื่นครับ เป็น NMF (Natural Moisturizing factors) มีพวก amino acids, alpha/beta/gamma fatty acids , triglycerides, urea, ceramides, phospholipids, sterols, glycerin, saccharine, sodium PCA + hyaluronic
ส่วนตัวผม มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดี ต้องให้ความชุ่มชื่น และช่วยเรื่องเกราะกำบังผิว
มีอัตราส่วนผสม cholesterol , ceramides และ essential /non essential free fatty acids ที่ 3:1:1:1 เพื่อที่จะช่วยเรื่อง skin barrier (ถ้าผสมมาในอัตราอื่น หรือไม่ใส่บางอย่าง แทนที่จะช่วย อาจได้ผลอีกแบบ)
และเราจะรู้ได้อย่างไรละว่าครีมที่เราซื้อมาผสมมาในอัตรานี้รึเปล่า? คำตอบคือ ต้องรู้จัก R&D ของผลิตภัณฑ์นั้น และก็หวังว่าเค้าจะใส่มาตามนั้นนะ หรือ บางทีผู้ผลิตก็จะแจ้งมา ผมจำยี่ห้อไม่ได้แล้ว ว่าอันไหนที่เค้าแจ้งไว้เลยว่า 3:1:1:1
นอกจากนั้น ผิวของเราเป็นแบบไหน ก็ไปดูเรื่อง humectant , emollient และ occlusive ครับ จะได้รู้ว่าอันไหนเหมาะกับเรา
ผมลองใช้อันนี้แล้ว โอเคเลยครับ หน้าไม่ขึ้นผื่น bump ๆ แดง ๆ ตอนแรกก็กลัวนะ เพราะมันเป็น hydrators + oils ทาแล้วมันเคลือบหน้า เหมือนมันไม่ลงไป แต่พอใช้แล้วรอด หน้าก็ชุ่มชื่นดี แม้จะดูเหมือนว่าครีมมันไม่ลงไปในหน้า และที่เคลือบ ๆ บนผิวหน้า ก็ไม่ทำให้คันยิบ ๆ บนหน้า หลังจากล้างออกแล้ว วันต่อมา ไม่เกิด ผื่น ๆ bump ๆ บนหน้า (ตอนซื้อไม่กล้ายืนอ่านส่วนผสม เพราะเป็นร้านครีม พนักงานก็มีแต่ผู้หญิง และตอนนั้นผมก็เป็นลูกค้าคนเดียว)
เหตุผลที่ผมไปซื้อ The ordinary คือ
1. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีมาก ๆ สำหรับผมหมดครับ และทริปที่จะไปอังกฤษโดนยกเลิก
Simple regeneration age resisting day cream SPF 15 และตัว night cream ขนาด 50 ml
รายละเอียดสินค้า + ส่วนผสม ดูได้ที่นี่ครับ
https://www.simple.co.uk/products/face-moisturisers-and-creams.html
ส่วนผสมก็ดีมี pro vit B5, vit E, Oat-beta glucan, เห็ด ชาเขียวและ prebiotic และอื่น ๆ (ถ้าจำไม่ผิด ใส่สารสกัดชาเขียว 5% ครับ)
ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม ไม่มี mineral oils ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์
ส่วนเรื่องราคานะเหรอ 5.99 £ แต่ส่วนใหญ่ ซื้อ 1 แถม 1 เพราะฉะนั้น เหลือหลอดละ 122 บาท ( 1£ = 40.7 บาท) ถ้าช่วงไหนไม่ลด ผมก็ไม่ซื้อ
คือมียึ่ห้อไหน ถูกและดี แบบนี้อีกครับ?
****มอยเจอร์ไรเซอร์ของ the ordinary 100 ml = 264 บาท ส่วนของ simple 50 ml = 122 บาท เพราะฉะนั้น The ordinary แพงกว่า Simple มล. ละ 20 สตางค์ครับ !
จากที่ใช้ทั้ง 2 อัน ผมชอบ simple มากกว่า เนื้อสัมผัสดีกว่า เวลาจะทาครีมก็แค่บีบครีมจากหลอดมาทาบนหน้าเลย แป๊ปเดียวครีมก็ซึมเข้าผิว ผลลัพธ์ก็ดีด้วย สภาพผิวหน้าดูมีน้ำมีนวล
ส่วน the ordinary เนื้อครีมข้นกว่า
เวลาทาแล้วมันเหมือนเคลือบผิวมากกว่าจะซึมลงไป แอบกังวลว่าเม็ด bump ๆ คัน ๆ จะขึ้นบนหน้า เพราะฉะนั้นตอนทา ผมต้องเอามาถู ๆ บนมือก่อน และค่อยโปะบนหน้า ซึ่งสำหรับผม เสียเวลา
2. ระหว่างนั้นก็ไปเอา ว่านหางจระเข้ หรือ โลชั่นของ vanicream มาทาหน้า แต่มันก็ยังไม่ใช่อะจอร์จ ว่านหางก็ไม่ชุ่มชื่นมากพอ ส่วน vanicream คงไม่เหมาะกับหน้าผม ขึ้นเป็น bump ๆ เลยจ้า
และไป grocery เอเชียมา มี snail white cream 50 ml ตั้งอยู่ ราคาประมาณ 130 บาท เลยหยิบมา ไม่ได้อ่านส่วนผสมอะไรทั้งสิ้น พอควักครีมมา โห น้ำหอมฉุนกึก เนื้อครีมก็ไม่โดนใจ เลยลองเสี่ยงทาดู สรุปวันรุ่งขึ้น หน้าขึ้น bump ๆ 3-4 อันเลยจ้า เดี๋ยวจะเอามาทาตัวทาตูดจะได้หมด ๆ ไป
3. ถึงนิวหยอค เลยเข้า CVS เห็น Moisturizer ของ differin ( คือใช้ adapalene gel 0.1 % ของยี่ห้อ differin อยู่ ) คิดว่ามันต้องดีสิ differin gel ใช้เพื่อคนเป็นสิว เพราะฉะนั้นตัว Moisturizer ก็น่าจะดี
เลยซื้อมา ราคาน่าจะประมาณ 15-16 USD + tax แต่พอมาถึงที่พัก เห็นส่วนผสม ไม่กล้าใช้ มีทั้ง hydrogenated polyisoprene กับ avocado oil และ dimethicone (ตะกี้ลองใช้ละ เนื้อสัมผัสดีกว่า the ordinary อาจจะด้วย ซิลิโคน )
4. หลังจากซื้อ differin Moisturizer แต่ยังไม่กล้าใช้ เลยลังเลว่าจะเข้าไปซื้อ Moisturizer ตัวอื่นที่ sephora ดีไหม แต่อีกใจก็ไม่กล้าเข้าคนเดียว เพราะมันเป็นร้านเครื่องสำอาง
แต่พอดีใกล้ ๆ มีร้านของ DECIEM เลยเข้าไปหยิบ Moisturizer มา 2 กล่อง และอะไรดลใจก็ไม่รู้ ไปหยิบ niacinamide 10% กับ glycolic 7% มาอีกอย่างละ 2 กล่อง
สรุปตอนไปจ่ายเงิน เค้าไม่มีเงินทอน ผมเลยต้องไปหยิบ buffet มาอีกอัน เค้าจะได้มีเงินทอน (ผมไม่ได้เอาบัตรไป + ผมมีแบงค์ 100)
5. เคยใช้ The ordinary นานมาแล้ว
5.1 squalane cleanser
ก็คิดว่าเป็นครีมล้างหน้าปกติ แต่อันนี้มันคือ cleansing balm/cream เป็นเนื้อครีมที่ตัองเอามาถู ๆ ที่มือก่อน แล้วค่อยไปถูกับหน้า และมันจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน จากนั้นวักน้ำอุ่นเพื่อล้างน้ำมันออก และก็ล้างด้วยครีมล้างหน้าอื่นอีกที ( double cleansing )
ตอนซื้อก็ไม่รู้ไง ก็ใช้เหมือนใช้ครีมล้างหน้าทั่วไป (ถูหน้า และล้างออก)
ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น หน้าขึ้นเป็น bump ๆ 3-4 เม็ดเลยจ้า
5.2 100% cold-pressed virgin marula oil
อันนี้ตอนที่ DE ออก marula oil มาใหม่ ๆ Ordinary ก็ออก marula oil เห็นคนพูดว่า marula oil ดีอย่างนู้นอย่างนี้ หูผมก็บล็อคสิ (ไม่สนเลยว่าผิวผม here มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเพราะ oil) ไปหา marula oil มาใช้เลย (ผมก็ซื้อแบบประหยัดเนอะ เลยเลือก Ordinary)
สรุปวันรุ่งขึ้น หน้าเนียนเด้งเลย แต่พอวันที่ 2 bumps เริ่มมา 3-4 เม็ด
คือปัญหาอาจจะเป็นที่ผมนี่แหละ เรื่องการใช้ oil ไม่ว่าจะทาตัว หรือทาหน้า มันจะเหนอะ และคัน ๆ และตอนล้างผมก็ใช้ครีมล้างหน้าธรรมดาล้างออก (ไม่ได้ double cleansing โดยใช้ oil cleanser หรือ micellar water cleanser ก่อน )
สรุป แม้ว่าทั้ง squalane cleanser และ marula oil ของ Ordinary ที่เคยซื้อ จะทำให้หน้าผมเป็น bump ๆ แต่ก็ยังไม่เข็ด ไปซื้อสินค้าอื่นของ Ordinary มาอีก
อันนี้คือ oil ที่เคยเอามาทาหน้า เท่าที่หาขวดเจอนะ
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่มีตัวไหนที่ผมใช้แล้วหน้าดีขึ้นเลย ทุกตัวทำให้หน้าผมขึ้นเป็น bump ๆ หมด
มาคุยเล่นถึงพวก actives กันดีกว่านะครับ
ในอดีต บริษัทอาจจะไม่บอกความเข้มข้นของสารที่ใส่ใน skincare แต่พอเวลาผ่านไป ผู้คนเข้าถึงองค์ความรู้มากขึ้น หลายบริษัทเริ่มบอกส่วนผสมแล้วว่าใส่สารโน่น นั่น นี่ เท่าไหร่ ส่วนผสมอะไรบ้าง
หลายที่เริ่มทำผลิตภัณฑ์ actives แบบแยกมาขาย เช่น retinoids , vit c , acids, antioxidants, molecules สำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ ไป
สินค้าพวกนี้มีหลายระดับราคา ตัวอย่างเช่น DECIEM ก็มีทั้ง NIOD ,HYALAMIDE และอื่น ๆ ส่วนตัวที่ราคาถูกก็จะเป็น The ordinary
คนพูดถึง the ordinary เยอะ มีอีกหลายบริษัทเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดตรงนี้ เช่น The inkey list หรือ boots ก็ออก boots ingredients แต่สินค้าของ boots ingredients ยังไม่หลากหลายเท่า ordinary หรือ inkey และตอนนี้รู้สึกว่า olay ก็ออกสินค้าประมาณนี้ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ )
** Inkey ผมไม่เคยใช้ ส่วน olay ที่เป็นตัว ingredients ผมก็ไม่เคยเห็น เพียงแค่ได้ยินผ่าน ๆ เฉย ๆ ครับ
[CR] นึกว่าจะได้ของถูก สุดท้ายก็ต้องจ่ายเพิ่ม
รายละเอียดของสินค้า และส่วนผสม ดูได้ที่เว็บนี้ครับ
https://deciem.com/brand/the-ordinary
ถ้าไม่ถนัดภาษาอังกฤษ ลองเปิดด้วย Chrome มันจะมีที่แปลภาษาครับ
ส่วนใหญ่สินค้า the Ordinary จะเป็น vegan , no alcohol , no fragrance , no silicone (รายละเอียดต้องดูเป็นอัน ๆ ไป) ซึ่งตรงใจผมมาก
Silicone แม้จะปลอดภัย ไม่อุดตัน แต่ถ้าเลี่ยงได้ผมจะเลี่ยง (silicone บางตัว บางเกรดก็ไม่อุดตัน แต่ผมขี้เกียจมานั่งดูมานั่งเช็คส่วนผสมครับ)
Fragrance อาจใส่เพื่อให้มีกลิ่นที่น่าอภิรมย์ หรือมาจาก essential oil ในส่วนผสม แต่สำหรับผม ส่วนใหญ่จะแพ้ หน้าขึ้นเป็น bump ๆ เพราะงั้นผมเลยเลี่ยงครับ
Alcohol อาจใส่เพื่อทำเนื้อสัมผัสของครีมดีขึ้น หรือบางทีแอลกอฮอล์จะดึงสารสกัดของวัตถุดิบนั้นออกมาได้ดีขึ้น แต่ผมจะเลี่ยงครับ หลายครั้งใช้แล้วไม่สบายหน้าเลย
เด็ดกว่านั้น essential oil บางตัว หรือ silicone บางตัว เวลาโดนแดด หรือเวลาเหงื่อออก ดันทำปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง อุดตันผิว ทำให้คัน ๆ สรุปวันต่อมา หน้าขึ้น bump แดง ๆ คัน ๆ
อันนี้เป็นราคานะครับ ต้องบวก tax เพิ่มไปด้วย (ภาษีจะแตกต่างกันไป ้เช่นที่นิวหยอค จะ 8.875% ส่วนที่ DC จะ 5% มั๊ง หรือ ที่ philly จะไม่มี tax ในสินค้าบางอย่าง )
อัตราแลกเปลี่ยนเงิน 1 USD = 31.52 บาท นะครับ
1. Glycolic acid 7% Toning solution
ขนาด 240 ml ราคา 299 บาท
อันนี้เป็นโทนเนอร์ AHA ครับ เรียกว่าน้ำตบก็ได้นะ
AHA ช่วยเรื่องผลัดเซลส์ผิว ใช้ตอนเย็นหลังล้างหน้า ส่วนตอนกลางวันก็ทากันแดดให้ดีครับ
AHAs มีหลายตัวเลยครับ เช่น
Citric acid (จาก ผลไม้ตระกูล citrus เช่น มะกรูด มะนาว)
Glycolic acid (จากอ้อย)
Lactic acid (จากแลคโทส หรือ carb อื่น ๆ )
Tartaric acid ( จากองุ่น )
และ 9ล9 แต่ละอย่างก็มีจุดเด่นและข้อบ่งใช้แตกต่างกันไป
2. Niacinamide 10% + zinc 1 %
ขนาด 60 ml ราคา 364 บาท
หลาย papers บอกว่า Niacinamide 5% ก็ช่วยเรื่องสิวครับ ใครเป็นสิวเล็กน้อย ลองได้ครับ (หลังจากศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนนะครับ) ส่วนสิวปานกลางไปทางหนักหนาสาหัส ลองปรึกษาตจแพทย์ดูครับ
อันนี้ niacinamide 10% หลายเสียงบอกว่าอาจจะทำให้ระคายเคืองได้นะ แต่แค่อาจจะไง งานวิจัยที่บอกว่า 10% ทำให้ระคายเคือง ยังมีไม่มากพอ
Zinc 1% ก็ช่วยเรื่องสิว
ผมเคยใช้ไปแล้ว 2 หลอด สภาพผิวโดยรวมก็ใช้ได้นะครับ นี่เลยซื้อมาอีก 2 หลอด
** ถ้าผิวแพ้ง่ายมาก ๆ แต่อยากใช้ vit C + niacinamide ด้วยกัน แต่ก็กลัว niacin flush
ก็พยายามใช้vit C คนละเวลากับ niacinamide นะครับ เช่น ใช้ vit C กลางวัน ส่วนกลางคืน ใช้ vit B3 (อันนี้แค่ยกตัวอย่างเฉย ๆ นะครับ)
3. Buffet
ขนาด 60 มล ราคา 964 บาท
อันนี้เอา peptides หลาย ๆ ตัวมารวมกันครับ
ตัวนี้ราคาแพงนะครับ ใน line ของ The ordinary
4. Natural Moisturizing factors + HA
ขนาด 100 ml ราคา 264 บาท
อันนี้เป็น มอยเจอร์ไรเซอร์ ให้ความชุ่มชื่นครับ เป็น NMF (Natural Moisturizing factors) มีพวก amino acids, alpha/beta/gamma fatty acids , triglycerides, urea, ceramides, phospholipids, sterols, glycerin, saccharine, sodium PCA + hyaluronic
ส่วนตัวผม มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดี ต้องให้ความชุ่มชื่น และช่วยเรื่องเกราะกำบังผิว
มีอัตราส่วนผสม cholesterol , ceramides และ essential /non essential free fatty acids ที่ 3:1:1:1 เพื่อที่จะช่วยเรื่อง skin barrier (ถ้าผสมมาในอัตราอื่น หรือไม่ใส่บางอย่าง แทนที่จะช่วย อาจได้ผลอีกแบบ)
และเราจะรู้ได้อย่างไรละว่าครีมที่เราซื้อมาผสมมาในอัตรานี้รึเปล่า? คำตอบคือ ต้องรู้จัก R&D ของผลิตภัณฑ์นั้น และก็หวังว่าเค้าจะใส่มาตามนั้นนะ หรือ บางทีผู้ผลิตก็จะแจ้งมา ผมจำยี่ห้อไม่ได้แล้ว ว่าอันไหนที่เค้าแจ้งไว้เลยว่า 3:1:1:1
นอกจากนั้น ผิวของเราเป็นแบบไหน ก็ไปดูเรื่อง humectant , emollient และ occlusive ครับ จะได้รู้ว่าอันไหนเหมาะกับเรา
ผมลองใช้อันนี้แล้ว โอเคเลยครับ หน้าไม่ขึ้นผื่น bump ๆ แดง ๆ ตอนแรกก็กลัวนะ เพราะมันเป็น hydrators + oils ทาแล้วมันเคลือบหน้า เหมือนมันไม่ลงไป แต่พอใช้แล้วรอด หน้าก็ชุ่มชื่นดี แม้จะดูเหมือนว่าครีมมันไม่ลงไปในหน้า และที่เคลือบ ๆ บนผิวหน้า ก็ไม่ทำให้คันยิบ ๆ บนหน้า หลังจากล้างออกแล้ว วันต่อมา ไม่เกิด ผื่น ๆ bump ๆ บนหน้า (ตอนซื้อไม่กล้ายืนอ่านส่วนผสม เพราะเป็นร้านครีม พนักงานก็มีแต่ผู้หญิง และตอนนั้นผมก็เป็นลูกค้าคนเดียว)
เหตุผลที่ผมไปซื้อ The ordinary คือ
1. มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ดีมาก ๆ สำหรับผมหมดครับ และทริปที่จะไปอังกฤษโดนยกเลิก
Simple regeneration age resisting day cream SPF 15 และตัว night cream ขนาด 50 ml
รายละเอียดสินค้า + ส่วนผสม ดูได้ที่นี่ครับ
https://www.simple.co.uk/products/face-moisturisers-and-creams.html
ส่วนผสมก็ดีมี pro vit B5, vit E, Oat-beta glucan, เห็ด ชาเขียวและ prebiotic และอื่น ๆ (ถ้าจำไม่ผิด ใส่สารสกัดชาเขียว 5% ครับ)
ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีน้ำหอม ไม่มี mineral oils ไม่มีส่วนผสมจากสัตว์
ส่วนเรื่องราคานะเหรอ 5.99 £ แต่ส่วนใหญ่ ซื้อ 1 แถม 1 เพราะฉะนั้น เหลือหลอดละ 122 บาท ( 1£ = 40.7 บาท) ถ้าช่วงไหนไม่ลด ผมก็ไม่ซื้อ
คือมียึ่ห้อไหน ถูกและดี แบบนี้อีกครับ?
****มอยเจอร์ไรเซอร์ของ the ordinary 100 ml = 264 บาท ส่วนของ simple 50 ml = 122 บาท เพราะฉะนั้น The ordinary แพงกว่า Simple มล. ละ 20 สตางค์ครับ !
จากที่ใช้ทั้ง 2 อัน ผมชอบ simple มากกว่า เนื้อสัมผัสดีกว่า เวลาจะทาครีมก็แค่บีบครีมจากหลอดมาทาบนหน้าเลย แป๊ปเดียวครีมก็ซึมเข้าผิว ผลลัพธ์ก็ดีด้วย สภาพผิวหน้าดูมีน้ำมีนวล
ส่วน the ordinary เนื้อครีมข้นกว่า เวลาทาแล้วมันเหมือนเคลือบผิวมากกว่าจะซึมลงไป แอบกังวลว่าเม็ด bump ๆ คัน ๆ จะขึ้นบนหน้า เพราะฉะนั้นตอนทา ผมต้องเอามาถู ๆ บนมือก่อน และค่อยโปะบนหน้า ซึ่งสำหรับผม เสียเวลา
2. ระหว่างนั้นก็ไปเอา ว่านหางจระเข้ หรือ โลชั่นของ vanicream มาทาหน้า แต่มันก็ยังไม่ใช่อะจอร์จ ว่านหางก็ไม่ชุ่มชื่นมากพอ ส่วน vanicream คงไม่เหมาะกับหน้าผม ขึ้นเป็น bump ๆ เลยจ้า
และไป grocery เอเชียมา มี snail white cream 50 ml ตั้งอยู่ ราคาประมาณ 130 บาท เลยหยิบมา ไม่ได้อ่านส่วนผสมอะไรทั้งสิ้น พอควักครีมมา โห น้ำหอมฉุนกึก เนื้อครีมก็ไม่โดนใจ เลยลองเสี่ยงทาดู สรุปวันรุ่งขึ้น หน้าขึ้น bump ๆ 3-4 อันเลยจ้า เดี๋ยวจะเอามาทาตัวทาตูดจะได้หมด ๆ ไป
3. ถึงนิวหยอค เลยเข้า CVS เห็น Moisturizer ของ differin ( คือใช้ adapalene gel 0.1 % ของยี่ห้อ differin อยู่ ) คิดว่ามันต้องดีสิ differin gel ใช้เพื่อคนเป็นสิว เพราะฉะนั้นตัว Moisturizer ก็น่าจะดี
เลยซื้อมา ราคาน่าจะประมาณ 15-16 USD + tax แต่พอมาถึงที่พัก เห็นส่วนผสม ไม่กล้าใช้ มีทั้ง hydrogenated polyisoprene กับ avocado oil และ dimethicone (ตะกี้ลองใช้ละ เนื้อสัมผัสดีกว่า the ordinary อาจจะด้วย ซิลิโคน )
4. หลังจากซื้อ differin Moisturizer แต่ยังไม่กล้าใช้ เลยลังเลว่าจะเข้าไปซื้อ Moisturizer ตัวอื่นที่ sephora ดีไหม แต่อีกใจก็ไม่กล้าเข้าคนเดียว เพราะมันเป็นร้านเครื่องสำอาง
แต่พอดีใกล้ ๆ มีร้านของ DECIEM เลยเข้าไปหยิบ Moisturizer มา 2 กล่อง และอะไรดลใจก็ไม่รู้ ไปหยิบ niacinamide 10% กับ glycolic 7% มาอีกอย่างละ 2 กล่อง
สรุปตอนไปจ่ายเงิน เค้าไม่มีเงินทอน ผมเลยต้องไปหยิบ buffet มาอีกอัน เค้าจะได้มีเงินทอน (ผมไม่ได้เอาบัตรไป + ผมมีแบงค์ 100)
5. เคยใช้ The ordinary นานมาแล้ว
5.1 squalane cleanser
ก็คิดว่าเป็นครีมล้างหน้าปกติ แต่อันนี้มันคือ cleansing balm/cream เป็นเนื้อครีมที่ตัองเอามาถู ๆ ที่มือก่อน แล้วค่อยไปถูกับหน้า และมันจะเปลี่ยนเป็นน้ำมัน จากนั้นวักน้ำอุ่นเพื่อล้างน้ำมันออก และก็ล้างด้วยครีมล้างหน้าอื่นอีกที ( double cleansing )
ตอนซื้อก็ไม่รู้ไง ก็ใช้เหมือนใช้ครีมล้างหน้าทั่วไป (ถูหน้า และล้างออก)
ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น หน้าขึ้นเป็น bump ๆ 3-4 เม็ดเลยจ้า
5.2 100% cold-pressed virgin marula oil
อันนี้ตอนที่ DE ออก marula oil มาใหม่ ๆ Ordinary ก็ออก marula oil เห็นคนพูดว่า marula oil ดีอย่างนู้นอย่างนี้ หูผมก็บล็อคสิ (ไม่สนเลยว่าผิวผม here มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วเพราะ oil) ไปหา marula oil มาใช้เลย (ผมก็ซื้อแบบประหยัดเนอะ เลยเลือก Ordinary)
สรุปวันรุ่งขึ้น หน้าเนียนเด้งเลย แต่พอวันที่ 2 bumps เริ่มมา 3-4 เม็ด
คือปัญหาอาจจะเป็นที่ผมนี่แหละ เรื่องการใช้ oil ไม่ว่าจะทาตัว หรือทาหน้า มันจะเหนอะ และคัน ๆ และตอนล้างผมก็ใช้ครีมล้างหน้าธรรมดาล้างออก (ไม่ได้ double cleansing โดยใช้ oil cleanser หรือ micellar water cleanser ก่อน )
สรุป แม้ว่าทั้ง squalane cleanser และ marula oil ของ Ordinary ที่เคยซื้อ จะทำให้หน้าผมเป็น bump ๆ แต่ก็ยังไม่เข็ด ไปซื้อสินค้าอื่นของ Ordinary มาอีก
อันนี้คือ oil ที่เคยเอามาทาหน้า เท่าที่หาขวดเจอนะ
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่มีตัวไหนที่ผมใช้แล้วหน้าดีขึ้นเลย ทุกตัวทำให้หน้าผมขึ้นเป็น bump ๆ หมด
มาคุยเล่นถึงพวก actives กันดีกว่านะครับ
ในอดีต บริษัทอาจจะไม่บอกความเข้มข้นของสารที่ใส่ใน skincare แต่พอเวลาผ่านไป ผู้คนเข้าถึงองค์ความรู้มากขึ้น หลายบริษัทเริ่มบอกส่วนผสมแล้วว่าใส่สารโน่น นั่น นี่ เท่าไหร่ ส่วนผสมอะไรบ้าง
หลายที่เริ่มทำผลิตภัณฑ์ actives แบบแยกมาขาย เช่น retinoids , vit c , acids, antioxidants, molecules สำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาเป็นจุด ๆ ไป
สินค้าพวกนี้มีหลายระดับราคา ตัวอย่างเช่น DECIEM ก็มีทั้ง NIOD ,HYALAMIDE และอื่น ๆ ส่วนตัวที่ราคาถูกก็จะเป็น The ordinary
คนพูดถึง the ordinary เยอะ มีอีกหลายบริษัทเข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดตรงนี้ เช่น The inkey list หรือ boots ก็ออก boots ingredients แต่สินค้าของ boots ingredients ยังไม่หลากหลายเท่า ordinary หรือ inkey และตอนนี้รู้สึกว่า olay ก็ออกสินค้าประมาณนี้ (ถ้าผมจำไม่ผิดนะ )
** Inkey ผมไม่เคยใช้ ส่วน olay ที่เป็นตัว ingredients ผมก็ไม่เคยเห็น เพียงแค่ได้ยินผ่าน ๆ เฉย ๆ ครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้