ขอออกตัวก่อนว่าในฐานะศิษย์เก่าซึ่งก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไร เราตั้งกระทู้ขึ้นเพราะแค่อยากเห็นโรงเรียนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่อยากให้ใครต้องมามองว่าสารสาสน์เป็นโรงเรียนที่ไม่ดี ซึ่งโพสต์นี้ไม่ได้มีเจตนาให้ร้ายใคร ทุกสิ่งที่เราเขียนมาจากประสบการณ์จริงที่เราและเพื่อนพบเจอมา เราแค่อยากให้เสียงของเราส่งไปถึงคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารที่อาจจะกำลังเป็นน้ำเต็มแก้วอยู่ ได้ฉุกคิดและนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรับปรุง เพราะเราเชื่อว่าปัญหาส่วนใหญ่มันเกิดมาจากการบริหารที่ไม่เป็นระบบทั้งสิ้น เราไม่อยากเห็นโรงเรียนต้องปิดตัวลง เพราะแน่นอนว่ามันจะกระทบกับคนที่เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในปัญหาพวกนี้เลย และขอย้ำก่อนว่าครูที่ดีนั้นมีเยอะค่ะ ซึ่งเราก็อยากเป็นกำลังใจให้ครูดีๆอดทนสู้ต่อไปให้ถึงวันที่ระบบนี่มันได้รับการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่ามันจะต้องมีวันนั้นค่ะ
เข้าเรื่องทีละประเด็นเลยละกัน... (ถ้ายาวไปขี้เกียจอ่าน อ่านเฉพาะพ้อยท์หัวข้อก็ยังดีนะ) (ประเด็นเหล่านี้ เราเชื่อว่าเกิดขึ้นกับแทบทุกสาขา)
-
โรงเรียนไม่มีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนที่คงที่ถาวร
จากข่าวที่ออกมาทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่สาขาที่เราเรียนที่เดียว เราว่ามันเป็นปัญหาเบื้องต้นที่สุดแล้ว เพราะตลอดเวลาที่เราเรียนที่นี่ 3 ปี มีการเปลี่ยนผอ. มาถึง3-4ครั้ง และบางครั้งก็มีช่วงที่ตำแหน่งว่างด้วย ซึ่งเรามองว่าการทำแบบนี้ มันทำให้ระบบต่างๆในโรงเรียนต้องแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เพราะผอ. แต่ละท่านที่เข้ามาก็มีวิสัยทัศน์ไม่เหมือนกัน ซึ่งมันส่งผลเป็นวงกว้างกับทุกส่วนในโรงเรียน
-
กองอำนวยการที่แค่เข้ามาเดินตรวจ แต่ไม่คิดที่จะเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตจริงๆในโรงเรียนเลย
กองอำนวยการ คือ กลุ่มคนที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากประธานให้มาตรวจสอบโรงเรียน ซึ่งก็จะมาประมาณเดือนละ2-3ครั้ง ครูและนักเรียนก็จะมีการนัดแนะกันว่าวันนี้กองจะมานะ ทำตัวให้ดีๆ ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงแค่วันนั้นวันเดียวที่บรรยากาศของโรงเรียนดูเรียบร้อย แต่เราก็เข้าใจเหตุผลในสิ่งที่ครูทุกคนทำนะ เพราะถ้าสภาพโรงเรียนไม่เป็นไปตามที่กองต้องการ มันก็จะมีเรื่องการตัดเงินเดือนเข้ามาด้วย
ซึ่งการประเมินด้วยระยะเวลาอันสั้นแบบนี้มันไม่ได้ทำให้เห็นปัญหาที่แท้จริงหรอก ถ้าหากคุณไม่คิดจะยอมรับฟังปัญหาของครูและเด็ก เรามองว่าการพยายามจะแก้ปัญหาของโรงเรียนด้วยการเดินตรวจมันเป็นวิธีที่ดูล้าหลังมาก ไม่ต่างจากพวกสมศ. อะไรแบบนั้นเลยที่ประเมินแค่ภายนอกทำให้ไม่รู้ว่าปัญหาภายในมันมีมากแค่ไหน
-
การจ้างครูต่างชาติที่ไม่มีความเป็นครูทั้งวุฒิและจิตใจ
ครูต่างชาติที่เรากำลังจะกล่าวถึง คือ ครูที่เป็น native speaker ยากโซนยุโรป ซึ่งเป็นบุคลากรที่ได้รับเงินเดือนมากที่สุดในโรงเรียน แต่พฤติกรรมของเขาบางคนไม่คู่ควรกับรายได้เลย และพวกเขาอาจจะไม่ได้จบครูมาด้วยซ้ำ โดยเท่าที่เราทราบมาคือบางคนมีพฤติกรรมหยาบคาย หลอกด่าเด็กด้วยภาษาของตน เพราะคิดว่าเด็กโง่ฟังไม่รู้เรื่อง และมีการทำร้ายร่างกายเด็กด้วย สมควรที่จะโดนไล่ออกแต่ก็ไม่มีมาตรการเด็ดขาดใดๆเลย มาถึงตรงนี้เรามองว่าโรงเรียนกำลังให้คุณค่ากับคนที่ไม่ควรให้ค่าเลย เงินเดือนที่น้อยสำหรับครูไทยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครูดีๆไม่อยากอยู่และสมัครเข้ามาใหม่
-
การคัดเลือกครูไทยที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ถ้าลดความขี้เหนียวเรื่องเงินเดือนครูลง ปัญหานี้มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ที่เราจะเล่าต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างเป็นนประสบการณ์ตรงของเรา คือ ตอนม.4 ทางโรงเรียนได้รับครูสอนภาษาอังกฤษที่เพิ่งจบใหม่สดๆร้อนๆเข้ามาสอน สิ่งที่เรางงมากคือ ครูคนนี้ไม่รู้จักแม้กระทั่งวิธีการใช้ไวยากรณ์พื้นฐานระดับประถมอย่าง much many เลย สอนมั่วสลับไปหมด และยังอ่านภาษาผิดเยอะเราต้องนำเรื่องนี้ไปบอกครูท่านอื่น จึงถูกย้ายลงไปสอนประถม แต่ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆ ซึ่งมันตลกมาก เพราะบางทีเด็กประถมอาจจะมีความรู้มากกว่าด้วยซ้ำ และเราเชื่อว่าครูที่ไม่มีศักยภาพแบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะ แต่โรงเรียนกำลังหลับหูหลับตาอยู่ เพราะ ฟ้องมากก็ไม่ได้นะคะ เขาไม่อยากฟัง ส่วนเด็กที่คิดว่าครูที่มีศักยภาพแบบนี้สอนได้ดีแล้ว เพราะ ได้รับการปล่อยเกรดจนชินมาตลอด พวกคุณคงไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นในระดับช่วงชั้นเดียวกัน เนื้อหาเขาไปไกลถึงไหนกันแล้ว เนื้อหาที่คุณคิดว่ายากสำหรับคุณ มันอาจจะเป็นเรื่องกล้วยๆของเด็กภายนอกก็ได้นะ
-
โรงเรียนใหญ่ที่ไม่มีประชุมผู้ปกครอง ไม่มีห้องปกครอง ปัญหาหลายๆอย่างจึงไม่มีคนกลางตัดสิน
พอไม่มีศูนย์กลางในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นคนที่คอยไกล่เกลี่ยปัญหาก็จะเป็นกลุ่มครูประจำชั้น แต่ถึงอย่างไรนั้นครูก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเด็กตามค่าเทอม มันเหมือนมีความเป็นทุนนิยมขนาดย่อมกลายๆ (ระดับประเทศยังเหลื่อมล้ำไม่พอหรอ? ถึงได้ทำสังคมขนาดเล็กที่ควรจะปลอดภัยกับเด็กอย่างโรงเรียนเป็นไปด้วยอะ?) มีการเลือกปฏิบัติจากค่าเทอม อย่างตอนช่วงเรานะ มันจะมีเด็กบางกลุ่มที่ได้รับการละเว้นไม่ว่าจะทำพฤติกรรมต่ำทรามจนถึงขั้นคำว่าตลาดล่างกับอีกบางกลุ่มเพียงใด ก็ยังคงลอยนวลอยู่ได้ในโรงเรียน ทั้งๆที่ถ้าเป็นโรงเรียนอื่นคงได้ติดลิสจากห้องปกครอง โดนทำทัณฑ์บนเป็นพรือจนโดนเชิญออกไปแล้ว โรงเรียนปล่อยให้คนแบบนี้ลอยนวลทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ให้ท้ายคนทำผิด โดยไม่รับรู้ว่าสังคมของเด็กมันเน่าเฟะเพียงใด แต่อย่างว่าอะเนอะ คำว่าเงินมันค้ำคอแหละ ซึ่งเราไม่เคยโดนผลกระทบอย่างจริงจังแต่เห็นได้จากเพื่อน (มีตั้งแต่ใช้วาจาเสียดสีดูหมิ่น ใช้เท้ากระทืบ ยันหน้า ทำร้ายร่างกาย) เรารับไม่ได้อะพูดเลย ส่วนใครที่ไม่เคยเป็นเหยื่อจากการกระทำ เราอยากให้คุณลองเปิดใจรับฟังและคิดตามว่าถ้าวันหนึ่งคุณกลายเป็นผู้กระทำบ้าง คุณจะทนได้หรือไม่ การที่เราออกมาพูด เพราะ เราไม่อยากให้เรื่องแบบมันไปเกิดขึ้นกับใครอีก และอีกอย่างคือมันตลกร้ายตรงที่โรงเรียนกลับสร้างห้องเกียรติยศขึ้นมาโดยไม่คำนึงว่าห้องปกครองคือห้องพื้นฐานที่ทุกโรงเรียนควรมี เราไม่อยากให้โรงเรียนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงความสำเร็จจนลืมคำว่าศีลธรรมจริยธรมไปนะ
-
นโยบายจากกองกลางที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กคิดและทำในสิ่งที่ต้องการ บีบบังคับให้เด็กอยู่แต่ในกรอบ เซตระบบให้เด็กเหมือนเป็นหุ่นยนต์
โลกการศึกษาเขาพัฒนาไปกันถึงไหนแล้ว แต่สารสาสน์ยังย่ำอยู่กับที่ ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ... เราว่าเราพูดไม่ผิดนะ เพราะ โรงเรียนนี้จะกำหนดรูปแบบการเรียนให้เด็กแบบไม่เอื้อต่อการเรียนรู้เลย มีตั้งแต่กำหนดวิธีจดงานให้เด็ก ที่จะต้องจดตามคำสั่งครูแม้จะอยู่ม.ปลายแล้วก็ตาม ต้องแบ่งหน้าหนึ่งไว้จดปกติ และอีกหน้าทำมายแมปปิ้ง ซึ่งมันลำบากมากกับคนที่จดตัวใหญ่ๆแล้วเกินหน้า และเราก็เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกกับการทำมายแมป วิธีในการเรียนของแต่ละคนเขาไม่เหมือนกันนะ โรงเรียนนี้ยังให้ความสำคัญกับระเบียบที่ไม่เป็นเรื่องอย่างการต่อแถวขึ้น-ลงห้องและต้องถอดรองเท้ามาถือ การเดินมาชชิ่งที่ไร้สาระ ที่อาจมีประโยชน์กับเด็กเล็กแต่ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นกับเด็กโต เวลาที่จะได้ใช้เป็นเวลาติวของม.ปลาย มีน้อยกว่าเวลาที่โรงเรียนให้ทำเรื่องไร้สาระเสียอีก เพราะ โรงเรียนนี้ยังให้ความสำคัญกับดนตรีมาก มากเสียจนกระทั่งเปลี่ยนคาบแนะแนว บังคับให้เด็กไปเล่นดนตรี ทั้งๆที่ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะชอบ ทุกคนก็มีกิจกรรมที่ชอบทำไม่เหมือนกัน เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบเล่นดนตรีเพราะเราเล่นไม่เก่ง และพยายามจะแสดงออกในสิ่งที่เราคิดด้วยการปฏิเสธที่จะไม่เล่น แต่ก็โดนตำหนิด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเรากลับมา จนเราต้องอับอาย #สิ่งที่ผู้บริหารคิดว่าดีมันเป็นดาบสองคมอยู่นะคะ
ส่วนข้างล่างนี้เป็นปัญหาเล็กๆน้อยที่อยากเพิ่ม เป็นปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นกับทุกโรงเรียนนอกเหนือจากเครือสารสาสน์ด้วย
-การใช้คำพูดเสียดสี/คำสบถกับเด็ก ซึ่งบางทีอาจจะคิดว่ามันไม่รุนแรง แต่คนที่ได้ฟังเขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กหรอก ขีดจำกัดของคนเรามันไม่เท่ากัน อยากให้มีนโยบายปลูกฝังเรื่องคุณธรรมกับครูให้ดีก่อนที่จะมาปลูกกับเด็กอะค่ะ
-การรังแกเด็กบางคนที่มีปัญหาทางด้านสมอง/ด้านการเรียนรู้ด้วยวิธีทางอ้อมโดยการทำให้เขากลายเป็นตัวตลก หยุดเถอะนะขอร้อง เขาเป็นแบบนั้นก็น่าสงสารมากแล้วนะ
-การละลาบละล้วง ละเมิดสิทธิเด็กเกินเลยหน้าที่ อย่างเช่นการตรวจโต๊ะและกระเป๋าเด็กด้วยการคุ้ย และโยนสิ่งของของเด็กออกมาจนเสียหาย
-การลงโทษเด็ก มองว่าเด็กผิดตลอดโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุว่าสภาพสังคมที่คุณมีส่วนร่วมสร้าง มันตึงเครียด จนทำให้เขาต้องแสดงพฤติกรรมที่มันไม่ถูกใจคุณ
-ห้องเรียนที่คับแคบเกินไปสำหรับเด็กเล็ก ทั้งๆที่เหลือห้องว่างให้ขยายเยอะมาก เข้าใจแหละว่าต้องการประหยัดบุคลากร แต่มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าจำกัดเด็กต่อห้องเพียง20คน เพื่อจะได้เอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก เพื่อให้ครูดูแลได้อย่างทั่วถึงจะได้ไม่เกินความเครียดแบบที่เป็นข่าว เพราะจากที่เราเห็นมาคือ ห้องเรียนของเด็กประถมแออัดมาก จนแทบไม่มีที่เดิน
สุดท้ายนี้ถ้าหากผู้บริหารยังจะมองโรงเรียนเครือนี้ของท่านว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ก็ขอให้ท่านช่วยทำความเข้าใจธุรกิจของท่านอย่างลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าจะขยายสาขาเพิ่มเพื่อกำไรอย่างเดียวในขณะที่สาขาปัจจุบันหลายๆแห่งท่านยังบริหารดูแลได้ไม่ดีเลย ส่วนท่านประธานใหญ่ เราว่าไม่ควรปล่อยให้ท่านออกมาพูดอีกนะ ด้วยอายุขนาดนั้นแล้ว บริบทสังคมตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ท่านอาจจะหลงๆบ้างแล้วด้วย เราเข้าใจท่านนะ
“(ธุรกิจ)โรงเรียนที่บริหารได้แย่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา” #สารสาสน์
เข้าเรื่องทีละประเด็นเลยละกัน... (ถ้ายาวไปขี้เกียจอ่าน อ่านเฉพาะพ้อยท์หัวข้อก็ยังดีนะ) (ประเด็นเหล่านี้ เราเชื่อว่าเกิดขึ้นกับแทบทุกสาขา)
-โรงเรียนไม่มีตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนที่คงที่ถาวร
จากข่าวที่ออกมาทำให้รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่สาขาที่เราเรียนที่เดียว เราว่ามันเป็นปัญหาเบื้องต้นที่สุดแล้ว เพราะตลอดเวลาที่เราเรียนที่นี่ 3 ปี มีการเปลี่ยนผอ. มาถึง3-4ครั้ง และบางครั้งก็มีช่วงที่ตำแหน่งว่างด้วย ซึ่งเรามองว่าการทำแบบนี้ มันทำให้ระบบต่างๆในโรงเรียนต้องแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา เพราะผอ. แต่ละท่านที่เข้ามาก็มีวิสัยทัศน์ไม่เหมือนกัน ซึ่งมันส่งผลเป็นวงกว้างกับทุกส่วนในโรงเรียน
-กองอำนวยการที่แค่เข้ามาเดินตรวจ แต่ไม่คิดที่จะเข้ามาสัมผัสวิถีชีวิตจริงๆในโรงเรียนเลย
กองอำนวยการ คือ กลุ่มคนที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากประธานให้มาตรวจสอบโรงเรียน ซึ่งก็จะมาประมาณเดือนละ2-3ครั้ง ครูและนักเรียนก็จะมีการนัดแนะกันว่าวันนี้กองจะมานะ ทำตัวให้ดีๆ ซึ่งมันก็จะเป็นเพียงแค่วันนั้นวันเดียวที่บรรยากาศของโรงเรียนดูเรียบร้อย แต่เราก็เข้าใจเหตุผลในสิ่งที่ครูทุกคนทำนะ เพราะถ้าสภาพโรงเรียนไม่เป็นไปตามที่กองต้องการ มันก็จะมีเรื่องการตัดเงินเดือนเข้ามาด้วย
ซึ่งการประเมินด้วยระยะเวลาอันสั้นแบบนี้มันไม่ได้ทำให้เห็นปัญหาที่แท้จริงหรอก ถ้าหากคุณไม่คิดจะยอมรับฟังปัญหาของครูและเด็ก เรามองว่าการพยายามจะแก้ปัญหาของโรงเรียนด้วยการเดินตรวจมันเป็นวิธีที่ดูล้าหลังมาก ไม่ต่างจากพวกสมศ. อะไรแบบนั้นเลยที่ประเมินแค่ภายนอกทำให้ไม่รู้ว่าปัญหาภายในมันมีมากแค่ไหน
-การจ้างครูต่างชาติที่ไม่มีความเป็นครูทั้งวุฒิและจิตใจ
ครูต่างชาติที่เรากำลังจะกล่าวถึง คือ ครูที่เป็น native speaker ยากโซนยุโรป ซึ่งเป็นบุคลากรที่ได้รับเงินเดือนมากที่สุดในโรงเรียน แต่พฤติกรรมของเขาบางคนไม่คู่ควรกับรายได้เลย และพวกเขาอาจจะไม่ได้จบครูมาด้วยซ้ำ โดยเท่าที่เราทราบมาคือบางคนมีพฤติกรรมหยาบคาย หลอกด่าเด็กด้วยภาษาของตน เพราะคิดว่าเด็กโง่ฟังไม่รู้เรื่อง และมีการทำร้ายร่างกายเด็กด้วย สมควรที่จะโดนไล่ออกแต่ก็ไม่มีมาตรการเด็ดขาดใดๆเลย มาถึงตรงนี้เรามองว่าโรงเรียนกำลังให้คุณค่ากับคนที่ไม่ควรให้ค่าเลย เงินเดือนที่น้อยสำหรับครูไทยเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ครูดีๆไม่อยากอยู่และสมัครเข้ามาใหม่
-การคัดเลือกครูไทยที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ถ้าลดความขี้เหนียวเรื่องเงินเดือนครูลง ปัญหานี้มันจะไม่เกิดขึ้นแน่นอน ที่เราจะเล่าต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างเป็นนประสบการณ์ตรงของเรา คือ ตอนม.4 ทางโรงเรียนได้รับครูสอนภาษาอังกฤษที่เพิ่งจบใหม่สดๆร้อนๆเข้ามาสอน สิ่งที่เรางงมากคือ ครูคนนี้ไม่รู้จักแม้กระทั่งวิธีการใช้ไวยากรณ์พื้นฐานระดับประถมอย่าง much many เลย สอนมั่วสลับไปหมด และยังอ่านภาษาผิดเยอะเราต้องนำเรื่องนี้ไปบอกครูท่านอื่น จึงถูกย้ายลงไปสอนประถม แต่ก็ไม่ได้รับการตรวจสอบใดๆ ซึ่งมันตลกมาก เพราะบางทีเด็กประถมอาจจะมีความรู้มากกว่าด้วยซ้ำ และเราเชื่อว่าครูที่ไม่มีศักยภาพแบบนี้ก็ยังมีอีกเยอะ แต่โรงเรียนกำลังหลับหูหลับตาอยู่ เพราะ ฟ้องมากก็ไม่ได้นะคะ เขาไม่อยากฟัง ส่วนเด็กที่คิดว่าครูที่มีศักยภาพแบบนี้สอนได้ดีแล้ว เพราะ ได้รับการปล่อยเกรดจนชินมาตลอด พวกคุณคงไม่รู้ว่าโรงเรียนอื่นในระดับช่วงชั้นเดียวกัน เนื้อหาเขาไปไกลถึงไหนกันแล้ว เนื้อหาที่คุณคิดว่ายากสำหรับคุณ มันอาจจะเป็นเรื่องกล้วยๆของเด็กภายนอกก็ได้นะ
-โรงเรียนใหญ่ที่ไม่มีประชุมผู้ปกครอง ไม่มีห้องปกครอง ปัญหาหลายๆอย่างจึงไม่มีคนกลางตัดสิน
พอไม่มีศูนย์กลางในการแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นคนที่คอยไกล่เกลี่ยปัญหาก็จะเป็นกลุ่มครูประจำชั้น แต่ถึงอย่างไรนั้นครูก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกเด็กตามค่าเทอม มันเหมือนมีความเป็นทุนนิยมขนาดย่อมกลายๆ (ระดับประเทศยังเหลื่อมล้ำไม่พอหรอ? ถึงได้ทำสังคมขนาดเล็กที่ควรจะปลอดภัยกับเด็กอย่างโรงเรียนเป็นไปด้วยอะ?) มีการเลือกปฏิบัติจากค่าเทอม อย่างตอนช่วงเรานะ มันจะมีเด็กบางกลุ่มที่ได้รับการละเว้นไม่ว่าจะทำพฤติกรรมต่ำทรามจนถึงขั้นคำว่าตลาดล่างกับอีกบางกลุ่มเพียงใด ก็ยังคงลอยนวลอยู่ได้ในโรงเรียน ทั้งๆที่ถ้าเป็นโรงเรียนอื่นคงได้ติดลิสจากห้องปกครอง โดนทำทัณฑ์บนเป็นพรือจนโดนเชิญออกไปแล้ว โรงเรียนปล่อยให้คนแบบนี้ลอยนวลทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลในโรงเรียน ให้ท้ายคนทำผิด โดยไม่รับรู้ว่าสังคมของเด็กมันเน่าเฟะเพียงใด แต่อย่างว่าอะเนอะ คำว่าเงินมันค้ำคอแหละ ซึ่งเราไม่เคยโดนผลกระทบอย่างจริงจังแต่เห็นได้จากเพื่อน (มีตั้งแต่ใช้วาจาเสียดสีดูหมิ่น ใช้เท้ากระทืบ ยันหน้า ทำร้ายร่างกาย) เรารับไม่ได้อะพูดเลย ส่วนใครที่ไม่เคยเป็นเหยื่อจากการกระทำ เราอยากให้คุณลองเปิดใจรับฟังและคิดตามว่าถ้าวันหนึ่งคุณกลายเป็นผู้กระทำบ้าง คุณจะทนได้หรือไม่ การที่เราออกมาพูด เพราะ เราไม่อยากให้เรื่องแบบมันไปเกิดขึ้นกับใครอีก และอีกอย่างคือมันตลกร้ายตรงที่โรงเรียนกลับสร้างห้องเกียรติยศขึ้นมาโดยไม่คำนึงว่าห้องปกครองคือห้องพื้นฐานที่ทุกโรงเรียนควรมี เราไม่อยากให้โรงเรียนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงความสำเร็จจนลืมคำว่าศีลธรรมจริยธรมไปนะ
-นโยบายจากกองกลางที่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กคิดและทำในสิ่งที่ต้องการ บีบบังคับให้เด็กอยู่แต่ในกรอบ เซตระบบให้เด็กเหมือนเป็นหุ่นยนต์
โลกการศึกษาเขาพัฒนาไปกันถึงไหนแล้ว แต่สารสาสน์ยังย่ำอยู่กับที่ ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ... เราว่าเราพูดไม่ผิดนะ เพราะ โรงเรียนนี้จะกำหนดรูปแบบการเรียนให้เด็กแบบไม่เอื้อต่อการเรียนรู้เลย มีตั้งแต่กำหนดวิธีจดงานให้เด็ก ที่จะต้องจดตามคำสั่งครูแม้จะอยู่ม.ปลายแล้วก็ตาม ต้องแบ่งหน้าหนึ่งไว้จดปกติ และอีกหน้าทำมายแมปปิ้ง ซึ่งมันลำบากมากกับคนที่จดตัวใหญ่ๆแล้วเกินหน้า และเราก็เชื่อว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนุกกับการทำมายแมป วิธีในการเรียนของแต่ละคนเขาไม่เหมือนกันนะ โรงเรียนนี้ยังให้ความสำคัญกับระเบียบที่ไม่เป็นเรื่องอย่างการต่อแถวขึ้น-ลงห้องและต้องถอดรองเท้ามาถือ การเดินมาชชิ่งที่ไร้สาระ ที่อาจมีประโยชน์กับเด็กเล็กแต่ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้นกับเด็กโต เวลาที่จะได้ใช้เป็นเวลาติวของม.ปลาย มีน้อยกว่าเวลาที่โรงเรียนให้ทำเรื่องไร้สาระเสียอีก เพราะ โรงเรียนนี้ยังให้ความสำคัญกับดนตรีมาก มากเสียจนกระทั่งเปลี่ยนคาบแนะแนว บังคับให้เด็กไปเล่นดนตรี ทั้งๆที่ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะชอบ ทุกคนก็มีกิจกรรมที่ชอบทำไม่เหมือนกัน เราก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่ชอบเล่นดนตรีเพราะเราเล่นไม่เก่ง และพยายามจะแสดงออกในสิ่งที่เราคิดด้วยการปฏิเสธที่จะไม่เล่น แต่ก็โดนตำหนิด้วยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเรากลับมา จนเราต้องอับอาย #สิ่งที่ผู้บริหารคิดว่าดีมันเป็นดาบสองคมอยู่นะคะ
ส่วนข้างล่างนี้เป็นปัญหาเล็กๆน้อยที่อยากเพิ่ม เป็นปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นกับทุกโรงเรียนนอกเหนือจากเครือสารสาสน์ด้วย
-การใช้คำพูดเสียดสี/คำสบถกับเด็ก ซึ่งบางทีอาจจะคิดว่ามันไม่รุนแรง แต่คนที่ได้ฟังเขาไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กหรอก ขีดจำกัดของคนเรามันไม่เท่ากัน อยากให้มีนโยบายปลูกฝังเรื่องคุณธรรมกับครูให้ดีก่อนที่จะมาปลูกกับเด็กอะค่ะ
-การรังแกเด็กบางคนที่มีปัญหาทางด้านสมอง/ด้านการเรียนรู้ด้วยวิธีทางอ้อมโดยการทำให้เขากลายเป็นตัวตลก หยุดเถอะนะขอร้อง เขาเป็นแบบนั้นก็น่าสงสารมากแล้วนะ
-การละลาบละล้วง ละเมิดสิทธิเด็กเกินเลยหน้าที่ อย่างเช่นการตรวจโต๊ะและกระเป๋าเด็กด้วยการคุ้ย และโยนสิ่งของของเด็กออกมาจนเสียหาย
-การลงโทษเด็ก มองว่าเด็กผิดตลอดโดยไม่คำนึงถึงสาเหตุว่าสภาพสังคมที่คุณมีส่วนร่วมสร้าง มันตึงเครียด จนทำให้เขาต้องแสดงพฤติกรรมที่มันไม่ถูกใจคุณ
-ห้องเรียนที่คับแคบเกินไปสำหรับเด็กเล็ก ทั้งๆที่เหลือห้องว่างให้ขยายเยอะมาก เข้าใจแหละว่าต้องการประหยัดบุคลากร แต่มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าจำกัดเด็กต่อห้องเพียง20คน เพื่อจะได้เอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก เพื่อให้ครูดูแลได้อย่างทั่วถึงจะได้ไม่เกินความเครียดแบบที่เป็นข่าว เพราะจากที่เราเห็นมาคือ ห้องเรียนของเด็กประถมแออัดมาก จนแทบไม่มีที่เดิน
สุดท้ายนี้ถ้าหากผู้บริหารยังจะมองโรงเรียนเครือนี้ของท่านว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง ก็ขอให้ท่านช่วยทำความเข้าใจธุรกิจของท่านอย่างลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าจะขยายสาขาเพิ่มเพื่อกำไรอย่างเดียวในขณะที่สาขาปัจจุบันหลายๆแห่งท่านยังบริหารดูแลได้ไม่ดีเลย ส่วนท่านประธานใหญ่ เราว่าไม่ควรปล่อยให้ท่านออกมาพูดอีกนะ ด้วยอายุขนาดนั้นแล้ว บริบทสังคมตอนนั้นกับตอนนี้มันไม่เหมือนกัน ท่านอาจจะหลงๆบ้างแล้วด้วย เราเข้าใจท่านนะ