#ความชุ่มชื้นรากฐานของผิวสวย
คำพูดที่ดูเหมือนจะเชยๆ แต่คือเรื่องจริงสุดคลาสสิกที่ไม่มีวันตาย
เพราะโครงสร้างของผิวชั้นหนังกำพร้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คนเกิดมาสุขภาพแข็งแรง
ต้องมีองค์ประกอบและโครงส้รางผิวเหมือนๆกัน และทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้น คงสมดุลให้ผิวหนังยังทำงานได้ปกติเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ผิวหนังของทุกคนไม่สามารถขาดความชุ่มชื้นได้อย่างเด็ดขาด !!!
แล้วถ้าขาดไปจะเกิดอะไรขึ้น?
เรามาดูกันว่า ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นได้ยังไง
โดยปกติแล้วหนังกำพร้า จะผลัดเซลล์ของผิวตลอดเวลาเมื่อมีความชื้น และการผลัดออกจะเกิดขึ้น 26-42 วัน (เฉลี่ย 28 วันในผิวปกติ)
วิธีการผลัดเซลล์ผิวคือ เคอราตินที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหนังกำพร้าชั้นล่างสุดถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆแล้วดันเบียดๆจากล่างขึ้นมาชั้นบน
จนถึงชั้นขี้ไคลหรือคอร์นีโอไซต์ แล้วก็ลอกออกไป ซึ่งการผลัดเซลล์ของผิว (desquamation) เป็นกระบวนการที่
เกิดขึ้นตลอดเวลา
แต่ถ้าวันใดมีความชื้นน้อยในชั้น stratum corneum (หนังกำพร้าชั้นบนสุด) เอนไซม์บางชนิดในผิวก็จะไม่สามารถทำงานได้
ทำให้ coreneodesmosome (คอ-นี-โอ-เดส-โม-โซม) ที่เปรียบเสมือน
สะพานคอยยึดซลล์คอร์นีโอไซต์ไว้ด้วยกันก็จะ
สลายตัวไป
ทำให้เซลล์แยกออกกัน เหมือนอะไรที่ขึงตึงกันไว้มันหลุด มันก็เด้งออก เกิดเป็นการสะสมของเซลล์คอร์นีโอไซต์บนผิว
จึงทำให้ผิวมีลักษณะแห้งและลอกออกเป็นขุย
ขอบอกว่าความจริงมันไม่ได้จบแค่นี้ step ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผิวที่เริ่มจากแค่ #ขาดความชุ่มชื้น
1. ผิวเป็นแห้งขุย
2. ผิวจะหยาบกร้าน
3. ผิวดูหมองๆ เพราเซลล์คอร์นีโอไซต์จากที่เต่งๆบวมน้ำ ก็เหี่ยวแฟบ ะการสะท้อนของแสงจากผิวมันกระจัดกระจายไปหมด ผิวจึงดูไม่กระจ่างใส
4. เริ่มหนักขึ้นมากหน่อยผิวกลายเป็นรูขุมขนกว้าง เพราะผิวหิวน้ำ หาทางรับน้ำเพิ่มขึ้น
5. หนักขึ้นมาอีก step ร่างกายเพิ่มน้ำเข้ามาไม่ได้ ก็สร้างไขมันมาปกคลุมผิว เพื่อไม่ให้น้ำระเหยออก
กลายเป็นผิวมันแต่ขาดน้ำ แล้วอาจจะพัฒนากลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
6. หนักสุดก็อาจจะเกิดเป็นริ้วรอย หรือผิวแพ้ง่ายไปเลย
เห็นมั้ยว่าแค่ขาดคำเดียว คำว่า
ความชุ่มชื้น
ทำให้ผิวหนังเรามีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตมาก
แล้วถ้าเปลี่ยนใหม่หละ? ความชุ่มชื้นมีเพียงพอจะเป็นยังไง
ผิวเราก็จะสุขภาพดีและปกป้องสิ่งต่างๆได้ดี หรือที่เค้าฮิตๆเรียกกันว่า skin barrier ยังไงหละ
เพราะฉะนั้น Skin barrier ก็คือชื่อเล่นของผิวหนังชั้นบนสุดหรือชั้นขี้ไคลนั่นเอง ที่คอยปกป้องคุ้มครองผิวเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอๆ
ซึ่งถ้า Skin barrier สุขภาพดี ผิวก็จะเป็นแบบนี้
1. ผิวนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งลอกเป็นขุย
2. ผิวดูสว่างกระจ่างใส เพราะพอผิวเรียบ ตึงน้ำก็จะสะท้อนแสงได้ดี
3. รูขุมขนกระชับปิดสนิท ไม่ต้องมาแต่งหน้าปกปิดอะไรเยอะ
4. สิวอุดตันไม่มี เพราะผิวสุขภาพดี สมดุลที่ดี เชื้อ P.acne ก็ไม่รังควาน การระคายเคืองก็ไม่เกิด สิวจึงไม่มี
5. ริ้วรอยร่องลึกดูจางลง เพราะแค่ผิวบวมน้ำ ร่องก็ดูตื้นขึ้น
6. ผิวจากแพ้ง่ายเป็นผิวสุขภาพดีเพราะสมดุลบนผิวหน้าปกติ ผิวแข็งแรงก็สามารถสนุกสนานกับ Skin care, Make up กิจกรรมต่างๆโดยไม่ต้องกลัวแพ้
เห็นข้อดีของ #SkinBarrier ที่ดี
มาดูกลไกของ #Moisturizer กันเลยดีกว่า
มอยส์เจอร์ไรเซอร์(Moisturizer) คือ สาร-ทา-ภายนอก-ที่เพิ่ม-ความชุ่มชื้น-ให้ผิวหนังได้
มีหลายรูปไม่ว่าจะ ครีม เจล เซรั่ม เอสเซนท์ ขี้ผึ้ง แต่กลไกจะมีแค่ 3 อย่างหลักๆ คือ
1. OCCLUSIVE (อ๊อก-คลู-ซีฟ) จำว่าคลูๆๆๆๆ เคลือบๆๆๆๆ
#เคลือบผิวไว้ไม่ให้น้ำระเหยออกมา #ป้องกันผิวไม่ให้ระคายเคือง
ตัวอย่างกลุ่มนี้ พวก Oil wax ทั้งหลายที่เคลือบผิวได้แบบจริงจัง แต่ขอเสริมในฐานะว่าทำสูตรมา จริงๆ polymer ของสารก่อเจลต่างๆก็สามารถทำหน้าที่ occlusive ได้เหมือนกันน้า หรือ Biopolymer ที่ถูกออกแบบให้ปกป้องผิวด้วยปลอยความชุ่มชื้นในตัวเดียวกันก็มี เดี๋ยวนี้ Active ไฮโซ
ไม่จำเป็นต้อง occlusive ให้เหนียวหน้าแล้วค่า
2. HUMECTANT (ฮิว-เม๊ก-แท้น) จำว่าหิวๆต้องดูดน้ำ
#ดูดน้ำเข้ามาในผิว #ดูดแล้วเก็บน้ำไว้ไม่ให้ออก
ตัวอย่างกลุ่มนี้ Glycerin, Propylene glycol, Urea, Panthenol, Sorbitol,Hyaluronic acid ตัวที่พูดถึงมานี้ต้องบอกว่าสารคลาสสิก ใช้มาตั้งแต่โบราณยันปัจจุบันแต่ก็ยังได้ผลดี ถ้ายกสารใหม่ๆก็มีสารสกัดน้ำตาลจากพืชต่างๆตามทะเลยทราย ที่ฝนตกตูมเดียวแค่ 1 ครั้งในรอบปี ต้นไม้ก็สามารถอยู่ได้ยาวๆไปอีกปี เรียกว่าความสามารถดูดน้ำโหดขั้นเทพนักวิจัยก็สกัดเอาน้ำตาลนี้มาเป็น Humectant เอาไว้ดูดน้ำให้อยู่ในผิวนานๆ
3. EMOLLIENT (อี-โม-เลี้ยน) ) จำว่าเลี้ยนๆ เรียบๆเนียนๆ
#ช่วยให้ผิวนุ่ม #เรียบเนียน
ตัวอย่างกลุ่มนี้ Squalane, Cholesterol, Fatty acid ต่างๆ แต่ถ้าจะยกสารใหม่ๆต้องบอกว่ากลุ่มนี้ก็กว้างเหมือนมหาสมุทร
แต่โดยมากมักจะเป็นพวก สารที่ให้ผล occlusive ด้วย หรือ Humectant ด้วย แต่ที่แน่ๆใช้แล้วต้องนุ่มๆเนียนๆ
ก่อนจะจบวันนี้ก็ขอให้วิธีเลือก #Moisturizer ดีๆกันหน่อย
ต้องเลือกที่ #ลดการเสียน้ำจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ #ทำให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนขึ้น #ดูดซึมเร็ว #ออกฤทธิ์ทันที #อยู่ได้นาน #ไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง #ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง และ #ไม่แพง
จากทั้งหมดทั้งมวล
เมื่อรู้ถึงความสำคัญของความชุ่มชื้นแล้ว เห็นข้อดีของการมี Skin barrier ที่ดีแล้ว
กลไกการให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็รู้แล้ว ก็อย่าลืมหา Moisturizer ดีๆมาบำรุงผิว
เสริมสร้าง Skin Barrier ให้แข็งแรง ผิวจะได้สวยสุขภาพดีครบทุกมิติ
ทั้ง #ชุ่มชื้น #กระจ่างใส #ไร้ริ้วรอย
เสริมเสน่ห์ผิวสวยสุขภาพดีแบบที่ใต้องการนะคะ
#เภสัชกรรัก
🥰 ความชุ่มชื้นรากฐานของผิวสวยใส 🥰
คำพูดที่ดูเหมือนจะเชยๆ แต่คือเรื่องจริงสุดคลาสสิกที่ไม่มีวันตาย
เพราะโครงสร้างของผิวชั้นหนังกำพร้า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง คนเกิดมาสุขภาพแข็งแรง
ต้องมีองค์ประกอบและโครงส้รางผิวเหมือนๆกัน และทำหน้าที่กักเก็บความชุ่มชื้น คงสมดุลให้ผิวหนังยังทำงานได้ปกติเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ผิวหนังของทุกคนไม่สามารถขาดความชุ่มชื้นได้อย่างเด็ดขาด !!!
แล้วถ้าขาดไปจะเกิดอะไรขึ้น?
เรามาดูกันว่า ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นได้ยังไง
โดยปกติแล้วหนังกำพร้า จะผลัดเซลล์ของผิวตลอดเวลาเมื่อมีความชื้น และการผลัดออกจะเกิดขึ้น 26-42 วัน (เฉลี่ย 28 วันในผิวปกติ)
วิธีการผลัดเซลล์ผิวคือ เคอราตินที่ถูกสร้างขึ้นมาจากหนังกำพร้าชั้นล่างสุดถูกสร้างขึ้นมาเรื่อยๆแล้วดันเบียดๆจากล่างขึ้นมาชั้นบน
จนถึงชั้นขี้ไคลหรือคอร์นีโอไซต์ แล้วก็ลอกออกไป ซึ่งการผลัดเซลล์ของผิว (desquamation) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
แต่ถ้าวันใดมีความชื้นน้อยในชั้น stratum corneum (หนังกำพร้าชั้นบนสุด) เอนไซม์บางชนิดในผิวก็จะไม่สามารถทำงานได้
ทำให้ coreneodesmosome (คอ-นี-โอ-เดส-โม-โซม) ที่เปรียบเสมือนสะพานคอยยึดซลล์คอร์นีโอไซต์ไว้ด้วยกันก็จะสลายตัวไป
ทำให้เซลล์แยกออกกัน เหมือนอะไรที่ขึงตึงกันไว้มันหลุด มันก็เด้งออก เกิดเป็นการสะสมของเซลล์คอร์นีโอไซต์บนผิว
จึงทำให้ผิวมีลักษณะแห้งและลอกออกเป็นขุย
ขอบอกว่าความจริงมันไม่ได้จบแค่นี้ step ที่อาจจะเกิดขึ้นกับผิวที่เริ่มจากแค่ #ขาดความชุ่มชื้น
1. ผิวเป็นแห้งขุย
2. ผิวจะหยาบกร้าน
3. ผิวดูหมองๆ เพราเซลล์คอร์นีโอไซต์จากที่เต่งๆบวมน้ำ ก็เหี่ยวแฟบ ะการสะท้อนของแสงจากผิวมันกระจัดกระจายไปหมด ผิวจึงดูไม่กระจ่างใส
4. เริ่มหนักขึ้นมากหน่อยผิวกลายเป็นรูขุมขนกว้าง เพราะผิวหิวน้ำ หาทางรับน้ำเพิ่มขึ้น
5. หนักขึ้นมาอีก step ร่างกายเพิ่มน้ำเข้ามาไม่ได้ ก็สร้างไขมันมาปกคลุมผิว เพื่อไม่ให้น้ำระเหยออก
กลายเป็นผิวมันแต่ขาดน้ำ แล้วอาจจะพัฒนากลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
6. หนักสุดก็อาจจะเกิดเป็นริ้วรอย หรือผิวแพ้ง่ายไปเลย
เห็นมั้ยว่าแค่ขาดคำเดียว คำว่า ความชุ่มชื้น
ทำให้ผิวหนังเรามีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตมาก
แล้วถ้าเปลี่ยนใหม่หละ? ความชุ่มชื้นมีเพียงพอจะเป็นยังไง
ผิวเราก็จะสุขภาพดีและปกป้องสิ่งต่างๆได้ดี หรือที่เค้าฮิตๆเรียกกันว่า skin barrier ยังไงหละ
เพราะฉะนั้น Skin barrier ก็คือชื่อเล่นของผิวหนังชั้นบนสุดหรือชั้นขี้ไคลนั่นเอง ที่คอยปกป้องคุ้มครองผิวเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอๆ
ซึ่งถ้า Skin barrier สุขภาพดี ผิวก็จะเป็นแบบนี้
1. ผิวนุ่มชุ่มชื้น ไม่แห้งลอกเป็นขุย
2. ผิวดูสว่างกระจ่างใส เพราะพอผิวเรียบ ตึงน้ำก็จะสะท้อนแสงได้ดี
3. รูขุมขนกระชับปิดสนิท ไม่ต้องมาแต่งหน้าปกปิดอะไรเยอะ
4. สิวอุดตันไม่มี เพราะผิวสุขภาพดี สมดุลที่ดี เชื้อ P.acne ก็ไม่รังควาน การระคายเคืองก็ไม่เกิด สิวจึงไม่มี
5. ริ้วรอยร่องลึกดูจางลง เพราะแค่ผิวบวมน้ำ ร่องก็ดูตื้นขึ้น
6. ผิวจากแพ้ง่ายเป็นผิวสุขภาพดีเพราะสมดุลบนผิวหน้าปกติ ผิวแข็งแรงก็สามารถสนุกสนานกับ Skin care, Make up กิจกรรมต่างๆโดยไม่ต้องกลัวแพ้
เห็นข้อดีของ #SkinBarrier ที่ดี
มาดูกลไกของ #Moisturizer กันเลยดีกว่า
มอยส์เจอร์ไรเซอร์(Moisturizer) คือ สาร-ทา-ภายนอก-ที่เพิ่ม-ความชุ่มชื้น-ให้ผิวหนังได้
มีหลายรูปไม่ว่าจะ ครีม เจล เซรั่ม เอสเซนท์ ขี้ผึ้ง แต่กลไกจะมีแค่ 3 อย่างหลักๆ คือ
1. OCCLUSIVE (อ๊อก-คลู-ซีฟ) จำว่าคลูๆๆๆๆ เคลือบๆๆๆๆ
#เคลือบผิวไว้ไม่ให้น้ำระเหยออกมา #ป้องกันผิวไม่ให้ระคายเคือง
ตัวอย่างกลุ่มนี้ พวก Oil wax ทั้งหลายที่เคลือบผิวได้แบบจริงจัง แต่ขอเสริมในฐานะว่าทำสูตรมา จริงๆ polymer ของสารก่อเจลต่างๆก็สามารถทำหน้าที่ occlusive ได้เหมือนกันน้า หรือ Biopolymer ที่ถูกออกแบบให้ปกป้องผิวด้วยปลอยความชุ่มชื้นในตัวเดียวกันก็มี เดี๋ยวนี้ Active ไฮโซ
ไม่จำเป็นต้อง occlusive ให้เหนียวหน้าแล้วค่า
2. HUMECTANT (ฮิว-เม๊ก-แท้น) จำว่าหิวๆต้องดูดน้ำ
#ดูดน้ำเข้ามาในผิว #ดูดแล้วเก็บน้ำไว้ไม่ให้ออก
ตัวอย่างกลุ่มนี้ Glycerin, Propylene glycol, Urea, Panthenol, Sorbitol,Hyaluronic acid ตัวที่พูดถึงมานี้ต้องบอกว่าสารคลาสสิก ใช้มาตั้งแต่โบราณยันปัจจุบันแต่ก็ยังได้ผลดี ถ้ายกสารใหม่ๆก็มีสารสกัดน้ำตาลจากพืชต่างๆตามทะเลยทราย ที่ฝนตกตูมเดียวแค่ 1 ครั้งในรอบปี ต้นไม้ก็สามารถอยู่ได้ยาวๆไปอีกปี เรียกว่าความสามารถดูดน้ำโหดขั้นเทพนักวิจัยก็สกัดเอาน้ำตาลนี้มาเป็น Humectant เอาไว้ดูดน้ำให้อยู่ในผิวนานๆ
3. EMOLLIENT (อี-โม-เลี้ยน) ) จำว่าเลี้ยนๆ เรียบๆเนียนๆ
#ช่วยให้ผิวนุ่ม #เรียบเนียน
ตัวอย่างกลุ่มนี้ Squalane, Cholesterol, Fatty acid ต่างๆ แต่ถ้าจะยกสารใหม่ๆต้องบอกว่ากลุ่มนี้ก็กว้างเหมือนมหาสมุทร
แต่โดยมากมักจะเป็นพวก สารที่ให้ผล occlusive ด้วย หรือ Humectant ด้วย แต่ที่แน่ๆใช้แล้วต้องนุ่มๆเนียนๆ
ก่อนจะจบวันนี้ก็ขอให้วิธีเลือก #Moisturizer ดีๆกันหน่อย
ต้องเลือกที่ #ลดการเสียน้ำจากผิวอย่างมีประสิทธิภาพ #ทำให้ผิวชุ่มชื้นเรียบเนียนขึ้น #ดูดซึมเร็ว #ออกฤทธิ์ทันที #อยู่ได้นาน #ไม่ต้องทาซ้ำหลายครั้ง #ไม่ก่อให้เกิดการแพ้หรือระคายเคือง และ #ไม่แพง
จากทั้งหมดทั้งมวล
เมื่อรู้ถึงความสำคัญของความชุ่มชื้นแล้ว เห็นข้อดีของการมี Skin barrier ที่ดีแล้ว
กลไกการให้ความชุ่มชื้นกับผิวก็รู้แล้ว ก็อย่าลืมหา Moisturizer ดีๆมาบำรุงผิว
เสริมสร้าง Skin Barrier ให้แข็งแรง ผิวจะได้สวยสุขภาพดีครบทุกมิติ
ทั้ง #ชุ่มชื้น #กระจ่างใส #ไร้ริ้วรอย
เสริมเสน่ห์ผิวสวยสุขภาพดีแบบที่ใต้องการนะคะ
#เภสัชกรรัก