ช่วงนี้หนังที่ถูกเลื่อนฉายเริ่มมีทยอยกลับมาเข้าโรงฉายกันเรื่อยๆ แล้วครับ กับเรื่องนี้ที่บอกว่าเราจะโดนความหลอนหักหลังอีกครั้งหลังจากที่เราโดนมาแล้วสองครั้งจาก Get Out และ Us ซึ่งคราวนี้หนังก็มาแนวคล้ายๆ กันในด้านของการหลอกคนดูตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วค่อยมาหักหลังให้อึ้งกันไป แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้ว พอเจอหลอกแบบเดิมเรื่อยๆ เราจะเริ่มระแวงและเริ่มจับทางของหนังละ ซึ่งถ้าจับไม่ได้ก็จะเหวอไป แต่จับได้เมื่อไหร่ก็จะเฉยๆ
พาผู้ชมติดตามชีวิตที่คาดไม่ถึงของ เวโรนิก้า เฮนลีย์ นักเขียนและนักเคลื่อนไหวสิทธิคนสีผิวที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและครอบครัว แต่ชีวิตของเธอกลับตาลปัตร เมื่อเธอต้องรับหน้าที่เป็น “ความหวัง” ของชุมชนทาสที่เสมือนตกนรกอยู่ในนิคมของทหารยุคสงครามกลางเมือง เกิดอะไรขึ้นกับเวโรนิก้า? ทำไมต้องเป็นเธอ? ตามติดชีวิตของเธอแบบห้ามกะพริบตา ตามค้นหาความจริงไปจนนาทีสุดท้าย
หนังเริ่มหลอกเราตั้งแต่ต้นเรื่องให้เราคิดว่า นี่คือหนังย้อนเวลาหรือหนังระลึกชาติอะไรแบบนั้นรึเปล่า แล้วหนังมันก็ตัดไปตัดมาระหว่างโลเคชั่นของทุ่งกว้างที่มีระบบทาสผิวสี กับยุคปัจจุบันของ เวโรนิก้า ให้คนดูงงไปงงมา แล้วจึงค่อยๆ เผยจุดเชื่อมต่อให้คนดูมานั่งประติดประต่อเรื่องเอาจนถึงช่วงเฉลยที่พอเริ่มเปิดโปงเนื้อเรื่องจริงๆ ก็ทำให้คนดูเหวอกันในระดับนึงเลยทีเดียว
แต่อย่างที่บอก หนังของทีมงานนี้มาแนวนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้ว สำหรับผมมันเริ่มรู้สึกช้ำและรู้แกวแล้วว่าหนังมันกำลังหลอกเราอยู่ตลอด ผมเลยพยายามจะจับจุดต่างๆ เพื่อเดาเรื่องราว เลยทำให้มันไม่ได้เหวออะไรเท่ากับสองเรื่องที่ผ่านมา และเรื่องนี้ก็ไม่ได้หักหลังคนดูหนักหน่วงอะไรมากมาย แต่หักหลังแบบมีความเป็นไปได้ที่คนปกติจะเจออะไรแบบนี้ได้อยู่ มันก็เลยไม่ถึงขั้นกับอึ้งทึ่งช็อคอะไรจนเกินงาม
นอกจากความหลอนและเหวอของหนังแล้ว จุดแข็งอีกจุดคืองานภาพที่สวยงามเหมือนภาพวาดที่ลงคู่สีที่ตัดกันได้อย่างสวยงาม เหมือนผู้ชมกำลังได้ชมผลงานภาพศิลปะที่มีชีวิต ทั้งฉากในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งภาพมันสวยก็จริง แต่สีสันอันฉูดฉาดเมื่อมาตัดกับเนื้อเรื่องที่หลอนลึกลับ มันก็ทำให้น่าขนลุกได้เหมือนกัน หนังมันจะอึนๆ มึนๆ ในความจี๊ดจ๊าดของสีสันของคอสตูม
จุดอ่อนของหนังที่ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบคือ หนังใส่ตัวละครที่เหมือนจะเป็นประเด็นหลักของหนังเข้ามาหลายตัว แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า แล้วก็ตัดออกทีละตัวๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือมันคือการหักหลังคนดูอีกครั้งของผู้เขียนบท เพราะเหมือนบทหนังกำลังหัวเราะเยาะคนดูอยู่ว่า อ๋อ...เดากันนักใช่มั๊ย ไม่มีทางเดาถูกหรอก เดาไปเถอะ 555
ตั้งแต่ตอนที่หนังเริ่มเฉลยปมจนถึงจบ เป็นช่วงที่หนังเดินไปตามเรื่องราวของมันละ เลยทำให้ความเข้มข้นของหนังมันลดลง เพราะคนดูไม่ต้องคอยคาดเดาอะไรอีกแล้ว เพราะรู้หมดแล้ว ไม่เหมือนช่วงแรกที่อยากจะบอกว่า ยิ่งไม่รู้มากเท่าไหร่ หนังจะยิ่งสนุกมากเท่านั้น แต่ถ้าเริ่มเดาได้ถูกมันจะยิ่งทำให้เราเฉยๆ กับหนังมากขึ้นเช่นกัน
ถ้าชอบบทความ ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>>
https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
[CR] [#Review] Antebellum หลอนย้อนโลก - ความไม่รู้อะไรเลยจะทำให้หนังสนุกตอนโดนหักหลัง แต่ถ้าจับทางได้แล้วก็จะเฉยๆ ไปเลย
ช่วงนี้หนังที่ถูกเลื่อนฉายเริ่มมีทยอยกลับมาเข้าโรงฉายกันเรื่อยๆ แล้วครับ กับเรื่องนี้ที่บอกว่าเราจะโดนความหลอนหักหลังอีกครั้งหลังจากที่เราโดนมาแล้วสองครั้งจาก Get Out และ Us ซึ่งคราวนี้หนังก็มาแนวคล้ายๆ กันในด้านของการหลอกคนดูตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วค่อยมาหักหลังให้อึ้งกันไป แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้ว พอเจอหลอกแบบเดิมเรื่อยๆ เราจะเริ่มระแวงและเริ่มจับทางของหนังละ ซึ่งถ้าจับไม่ได้ก็จะเหวอไป แต่จับได้เมื่อไหร่ก็จะเฉยๆ
พาผู้ชมติดตามชีวิตที่คาดไม่ถึงของ เวโรนิก้า เฮนลีย์ นักเขียนและนักเคลื่อนไหวสิทธิคนสีผิวที่ประสบความสำเร็จทั้งเรื่องงานและครอบครัว แต่ชีวิตของเธอกลับตาลปัตร เมื่อเธอต้องรับหน้าที่เป็น “ความหวัง” ของชุมชนทาสที่เสมือนตกนรกอยู่ในนิคมของทหารยุคสงครามกลางเมือง เกิดอะไรขึ้นกับเวโรนิก้า? ทำไมต้องเป็นเธอ? ตามติดชีวิตของเธอแบบห้ามกะพริบตา ตามค้นหาความจริงไปจนนาทีสุดท้าย
หนังเริ่มหลอกเราตั้งแต่ต้นเรื่องให้เราคิดว่า นี่คือหนังย้อนเวลาหรือหนังระลึกชาติอะไรแบบนั้นรึเปล่า แล้วหนังมันก็ตัดไปตัดมาระหว่างโลเคชั่นของทุ่งกว้างที่มีระบบทาสผิวสี กับยุคปัจจุบันของ เวโรนิก้า ให้คนดูงงไปงงมา แล้วจึงค่อยๆ เผยจุดเชื่อมต่อให้คนดูมานั่งประติดประต่อเรื่องเอาจนถึงช่วงเฉลยที่พอเริ่มเปิดโปงเนื้อเรื่องจริงๆ ก็ทำให้คนดูเหวอกันในระดับนึงเลยทีเดียว
แต่อย่างที่บอก หนังของทีมงานนี้มาแนวนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามแล้ว สำหรับผมมันเริ่มรู้สึกช้ำและรู้แกวแล้วว่าหนังมันกำลังหลอกเราอยู่ตลอด ผมเลยพยายามจะจับจุดต่างๆ เพื่อเดาเรื่องราว เลยทำให้มันไม่ได้เหวออะไรเท่ากับสองเรื่องที่ผ่านมา และเรื่องนี้ก็ไม่ได้หักหลังคนดูหนักหน่วงอะไรมากมาย แต่หักหลังแบบมีความเป็นไปได้ที่คนปกติจะเจออะไรแบบนี้ได้อยู่ มันก็เลยไม่ถึงขั้นกับอึ้งทึ่งช็อคอะไรจนเกินงาม
นอกจากความหลอนและเหวอของหนังแล้ว จุดแข็งอีกจุดคืองานภาพที่สวยงามเหมือนภาพวาดที่ลงคู่สีที่ตัดกันได้อย่างสวยงาม เหมือนผู้ชมกำลังได้ชมผลงานภาพศิลปะที่มีชีวิต ทั้งฉากในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งภาพมันสวยก็จริง แต่สีสันอันฉูดฉาดเมื่อมาตัดกับเนื้อเรื่องที่หลอนลึกลับ มันก็ทำให้น่าขนลุกได้เหมือนกัน หนังมันจะอึนๆ มึนๆ ในความจี๊ดจ๊าดของสีสันของคอสตูม
จุดอ่อนของหนังที่ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยชอบคือ หนังใส่ตัวละครที่เหมือนจะเป็นประเด็นหลักของหนังเข้ามาหลายตัว แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า แล้วก็ตัดออกทีละตัวๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือมันคือการหักหลังคนดูอีกครั้งของผู้เขียนบท เพราะเหมือนบทหนังกำลังหัวเราะเยาะคนดูอยู่ว่า อ๋อ...เดากันนักใช่มั๊ย ไม่มีทางเดาถูกหรอก เดาไปเถอะ 555
ตั้งแต่ตอนที่หนังเริ่มเฉลยปมจนถึงจบ เป็นช่วงที่หนังเดินไปตามเรื่องราวของมันละ เลยทำให้ความเข้มข้นของหนังมันลดลง เพราะคนดูไม่ต้องคอยคาดเดาอะไรอีกแล้ว เพราะรู้หมดแล้ว ไม่เหมือนช่วงแรกที่อยากจะบอกว่า ยิ่งไม่รู้มากเท่าไหร่ หนังจะยิ่งสนุกมากเท่านั้น แต่ถ้าเริ่มเดาได้ถูกมันจะยิ่งทำให้เราเฉยๆ กับหนังมากขึ้นเช่นกัน
ถ้าชอบบทความ ฝากเพจหนังเล็กๆ ด้วยนะครับ >>> https://www.facebook.com/DooNangGunMai/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้