Date: 23/09/2020
Author: NALISA
สถานการณ์โควิด-19 กระทบไปทุกภาคส่วน
รวมทั้งอุตสาหกรรมบันเทิงเอง ทั้งโรงภาพยนตร์ กองถ่ายละคร ถ่ายหนังที่ไม่สามารถทำกิจกรรมในแบบเดิมได้
แม้ตอนนี้จะมีการผ่อนปรนต่าง ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างกลับมาได้บ้าง ผู้คนเริ่มกลับมาดูภาพยนตร์มากขึ้น จากที่ถูกอั้นมานาน
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทยปีนี้โดนกระทบหนักไม่น้อย
“ เพราะให้เทียบตัวเลขรายได้ 8 เดือนแรกของปีนี้ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในไทยทำรายได้ไปแค่ 580 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา มีรายได้ถึงกว่า 3,000 ล้านบาท
และในจำนวน 580 ล้านบาทนี้เป็นรายได้จากหนังไทย 120 ล้านบาท ซึ่งไม่มีหนังเรื่องไหนเลยที่มีรายได้ถึง 50 ล้านบาท ”
นี่คือคำพูดของ จินา โอสถศิลป์ หัวเรือใหญ่ของบริษัทจีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด หรือ จีดีเอช ที่พูดกับสื่อมวลชนในวันนี้
แล้วค่ายหนังอย่าง “GDH” มีทิศทางต่อจากนี้และแผนธุรกิจปีหน้าเป็นอย่างไร มาหาคำตอบ
จินาเล่าให้ฟังว่า ปกติจีดีเอชทำหนังปีละ 2-3 เรื่อง ปีที่ผ่านมาจีดีเอชมีหนังฉาย 3 เรื่อง
ส่วนปีนี้ตั้งใจทำหนัง 2 เรื่อง และละคร 1 เรื่อง แต่พอเจอสถานการณ์โควิด-19 ทำให้แผนที่วางไว้ต้องเปลี่ยนจากเดิม
ทำให้ปีนี้จีดีเอชจะฉายหนังเพียงเรื่องเดียวคือ “อ้าย…คนหล่อลวง”
ที่ได้ “ณเดชน์ คูกิมิยะ, ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก และ แบงค์ ธิติ” มารับบทเด่น เตรียมฉาย 3 ธ.ค. นี้
ส่วนละครอย่าง “ฉลาดเกมส์โกง” ที่เพิ่งจบไป โชคดีที่ถ่ายทำไว้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ทำให้สามารถฉายได้ตามที่เคยวางแผนไว้
“ฉลาดเกมส์โกง มาช่วยชีวิต และทำให้จีดีเอชผ่านพ้นสถานการณ์มาได้”
จินาบอกต่อว่า โชคดีที่มีละคร ‘ฉลาดเกมส์โกง’ มาช่วย เพราะในช่วงที่ผ่านมาไม่มีหนังฉาย ถ่ายทำไม่ได้
แต่ ยังคงมีรายจ่ายต่าง ๆ ไม่งั้นจีดีเอชคงเครียดกว่านี้
ฉลาดเกมส์โกง ทำให้จีดีเอชได้รายได้ จากการขายสิทธิ์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ถึง 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 60 ล้านบาท
ความคาดหวังในปีนี้ แน่นอนว่าคงไม่ได้เท่ากับปีที่แล้ว
แต่จินาระบุว่า จีดีเอชคาดหวังกับ “อ้าย…คนหล่อลวง” ไว้สูงเหมือนกัน ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 80 ล้านบาท
ภาพรวมตัวเลขปีนี้ไม่ขาดทุน โดยคาดว่าปีนี้จะมีรายได้ราว 330-340 ล้านบาท มีกำไร แม้จะไม่เท่าปีที่ผ่านมา
“ให้เทียบกับปีที่ผ่านมาเราฉายหนังไปสามเรื่อง กับรายได้อื่น ๆ เรามีรายได้รวมสี่ร้อยกว่าล้านบาท ปีนี้มีสถานการณ์โควิด-19
เรามีหนัง 1 เรื่อง ละคร 1 เรื่อง ทำได้สามร้อยกว่าล้าน ก็ถือว่าจีดีเอชโชคดีแล้ว”
ขณะที่บรรยากาศการดูหนังหลังโควิด-19 แม้จะยังมีความกลัว ความกังวลอยู่บ้าง มีการขยับการฉายหนังออกไปหมด
และเริ่มมีหนังเข้ามาฉายใหม่ตั้งแต่ช่วงเดือน ส.ค.
จินาบอกว่า แม้รายได้หนังต่างประเทศที่เข้าใหม่ ยกตัวอย่าง อย่าง peninsula จะดีใช้ได้ แต่ก็ยังไม่พอสำหรับอุตสาหกรรมรวมในไทยที่ถือว่าอาการหนัก
จบปีนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมหนังไทยน่าจะมีรายได้เกินกว่า 1,000 ล้านบาท
“ปีที่แล้วรายได้ 8 เดือนแรกอยู่ที่กว่า 3,000 ล้านบาท แต่ปีนี้เหลืออยู่ที่ 580 ล้านบาท เป็นหนังไทย 15 เรื่อง ทำเงินแค่ 120 ล้านบาท
ไม่มีหนังไทยเรื่องไหนทำรายได้ถึง 50 ล้านบาทเลย ตัวเลขหายไปมหาศาล”
“ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมหนังในไทยมีรายได้อยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท”
ขณะเดียวกัน เมื่อผู้คนดูหนังน้อยลงด้วยปัจจัยต่าง ๆ จินาบอกว่า สิ่งที่ต้องทำคือ การคอนเทนต์ให้ดี
เพราะการดูหนังที่โรงหนังมันมีเสน่ห์ในตัว เต็มไปด้วยอรรถรสภาพและเสียง โรงหนังยังเป็นที่ที่คนมาแล้วยังมีความสุข
และถ้าเราทำคอนเทนต์ไม่แตกต่างกับคอนเทนต์ที่ดูฟรี ก็จะไม่มีใครมาโรงหนัง
นี่จึงเป็นข้อท้าทายของคนทำหนัง ที่ต้องแปลกใหม่ ไม่เหมือนเดิม
สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2564 จีดีเอชมีโปรเจกต์ด้วยกัน 4 เรื่อง ไล่เรียงมาตั้งแต่
– “โกสต์แล็บ…ฉีกกฎทดลองผี” จากผู้กำกับกอล์ฟ ปวีณ ที่ตามจริงแล้วต้องถ่ายทำและฉายในปีนี้
ได้ ต่อ ธนภพ, ไอซ์ พาริส มารับบทนำ
– “ร่างทรง” หนังสยองขวัญของ ’โต้ง บรรจง’ ที่ร่วมทุนกับค่ายหนังเกาหลี ‘Showbox Crop’
ได้ผู้กำกับชื่อดังอย่างนา ฮงจิน มาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ด้วย
– “W” หนังที่ร่วมทุนกับ ‘นาดาว บางกอก’ บริษัทในเครือ ซึ่งนับเป็นหนังเรื่องแรกของนาดาว บางกอก
โดยมีปิง เกรียงไกร เป็นผู้กำกับ และ ย้ง ทรงยศ เป็นโปรดิวเซอร์
– และสุดท้ายโปรเจกต์ใหญ่ปลายปี ที่ร่วมทุนกับบรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น กับ “บุพเพสันนิวาส 2”
ได้ปิง อดิสรณ์ ผู้กำกับเดียวกับรถไฟฟ้ามาหานะเธอ มากำกับให้ พร้อมนักแสดงนำอย่าง โป๊ป และเบลล่า
“สำหรับบุพเพสันนิวาส 2 เราใช้งบลงทุนถึง 80 ล้านบาท ซึ่งเรานำมาต่อยอด เล่าเรื่องไปข้างหน้า ไม่ได้เล่าในแบบเดิม
ซึ่งเหมือนกับเรื่องพี่มากพระโขนง ขึ้นอยู่กับว่าคนทำหนังจะเห็นอะไร เรื่องนี้มีความคาดหวังสูง แต่คงไม่สูงเท่าเรื่องพี่มากฯ
ตั้งเป้ารายได้ 200 ล้านบาท แต่ถ้าน้อยกว่านี้ก็ไม่โอเคเพราะต้นทุนเรามีขนาดนี้”
จากหนังใหม่ทั้ง 4 เรื่องนี้ ทำให้จีดีเอชคาดหวังรายได้ปีหน้า จะมีรายได้เกินกว่า 500 ล้านบาท
เพราะนอกจากการทำหนังฉายในโรงหนังแล้ว ยังมีรายได้จากการไปเป็นพาร์ตเนอร์ร่วมกับแพลตฟอร์ม OTT เจ้าต่าง ๆ
เพราะจะมีรายได้จากการเอาหนังเข้าไปอยู่ใน OTT เจ้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Netflix, WeTv, LINE TV, AIS Play, etc.
การที่เอาหนังเข้าไปอยู่บน OTT เจ้าต่าง ๆ คือการปูทางที่หนังของจีดีเอชจะออกสู่สายตาชาวต่างชาติมากขึ้น
ซึ่งเป็นทิศทางของจีดีเอชที่ต้องการโกอินเตอร์
“คีย์ซัคเซส คือ การไม่อยู่กับที่ ต้องก้าวไปข้างหน้า เพราะฉะนั้นการได้ร่วมทำกับเกาหลี จีดีเอชได้เรื่องของการต่อยอด ไม่หยุดนิ่ง
และถ้าเราทำแบบเดิม ๆ คนดูจะน้อยลง ต้องทำในวิถีทางใหม่ กล้าลอง กล้าทำ
จีดีเอชจะทำมากกว่าที่เป็นอยู่ ต้องไปให้ใกล้กับอินเตอร์ให้มากขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นเลยคือหนังเรื่อง parasite ใครจะคิดว่าวันหนึ่งหนังเกาหลีจะทำเงิน และเป็นออสการ์ของคนทั่วโลก
เราค่อย ๆ เดินตาม เราจะไม่หยุดแค่นี้”
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คือทิศทางของจีดีเอช ที่เชื่อว่าปีหน้าอุตสาหกรรมหนังในไทยจะกลับมาคึกคักแน่นอน และจะมีหนังไทยไม่ต่ำกว่า 45-50 เรื่อง
ส่วนหนังของจีดีเอชทั้ง 4 เรื่องจะทำได้อย่างที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ต้องตามลุ้นกัน
4 ปีที่ผ่านมา หนังของจีดีเอชทำรายได้เท่าไร
น้องพี่ที่รัก 149 ล้านบาท
ตุ๊ดซี่ส์ & เดอะเฟค 141 ล้านบาท
Friend Zone ระวัง…สิ้นสุดทางเพื่อน 134 ล้านบาท
ฉลาดเกมส์โกง 113 ล้านบาท
แฟนเดย์ แฟนกันแค่วันเดียว 111 ล้านบาท
Home Stay 68 ล้านบาท
ฮาวทูทิ้ง 57 ล้านบาท
พรจากฟ้า 43 ล้านบาท
เพื่อนที่ระลึก 35 ล้านบาท
หมายเหตุ : รายได้กรุงเทพฯ ปริมณฑล และเชียงใหม่
ที่มา: GDH
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
🔎 GDH แม้เจอโควิด-19 แต่ปีนี้ไม่ขาดทุน กางแผนปีหน้าส่ง 4 โปรเจกต์หนังโกยรายได้