สวัสดีค่ะ เราชื่อจีน่านะ ตอนนี้อยู่ ปี1
คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น วันนี้เราอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตม.ปลายของเรา ที่เขาพูดกันว่า เป็นช่วงชีวิตที่สนุกและมีความสุขที่สุด ว่ามันจริงอย่างที่เขาว่ากันไหม
เราเป็นเด็กวิทย์ เราเลือกมาเรียนสายนี้ด้วยความสมัครใจ พ่อแม่ไม่ได้บังคับ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราเรียนวิทย์มาทำไมไปต่อบริหาร ความจริงเพราะเราตั้งใจจะหนีวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเราเชื่อว่าจะมีหลายคนที่คิดเหมือนเราและสำหรับใครที่จะเลือกมาเรียนวิทย์เพราะความคิดนี้ เราขอบอกเลยว่าคุณคิดผิดอย่างมหันต์ ยังไงเราจะมาเล่าให้ทุกคนได้รู้ถึงชีวิตของเราที่เกือบเอาตัวไม่รอด!
3 ปีกับชีวิตม.ปลายสุดหดหู่
ช่วงตอนขึ้นม.4เป็นช่วงที่ทุกคนต้องมีการปรับตัว เพราะการเรียนและการแข่งขันที่หนักขึ้น โดยเฉพาะเด็กวิทย์อย่างเราที่ต้องมาเรียนวิทย์ถึง 3 ตัว
คณิตทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติม โครงงานก็ต้องทำ งานก็เยอะขึ้น ยิ่งเรียนเราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราเริ่มไม่อยากจะไปเรียน ไม่อยากจะเจอเพื่อนในห้อง บางวันไปรร.แต่เราก็ไม่เข้าเรียน โดดเรียนไปเล่นวอลเลย์บอลทั้งวัน เวลามีกิจกรรมอะไรที่ไม่ต้องเรียนเราจะเสนอตัวไปทำตลอดเลย ตอนนั้นชีวิต
ล่องลอยมาก ติด0,ร.เกือบทุกวิชา
พอขึ้นม.5 ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเรียนหนักขึ้น เราพยายามที่จะเริ่มต้นใหม่แต่ปรากฏว่าเนื้อหาที่เรื่องมันต่อเนื่องมาจากต่อมาจาก
ตอนม.4 เราจะร้องไห้ คืออย่างสูตรฟิสิกส์ไม่ใช่แค่ v=s/t นะแต่มันแตกหน่อออกมายิ่งกว่าไฮดราอีก การที่ตื่นมาแล้วลากตัวเองเข้าไปเรียนในแต่ละคาบ
มันยากมาก เราถูกมองว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน เคยพยายามที่จะตั้งใจลองปรับตัวให้มากขึ้น สุดท้ายเราก็เข้ากับมันไม่ได้จริงๆ เหนื่อยและท้อมาก เหตุการณ์ที่พีคสุดคือ วันที่เรานั่งเรียนเคมีอยู่ เห็นเพื่อนทำแบบฝึกหัดกันแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ คำที่ว่าชีวิตม.ปลายเป็นชีวิตที่สนุก
มีความสุขที่สุดของเรามันไม่ใช่เลย เรารู้สึกว่าเราต้องมาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ตัวเอง ต้องฝืนเรียนในสิ่งที่เราไม่ชอบ เรียนไปก็ไม่ได้เอาไปใช้จริงๆ เราเริ่มค้นพบตัวตนของตัวเอง ว่าจริงๆแล้วเราอยากเรียนภาษาก็ช่วงนี้แหละ ตอนเลือกมาเรียนสายนี้เราต้องสอบเข้าใหม่เพราะตามจริงเกรดวิทย์ไม่ถึง แล้วไม่ต้อง
ถามถึงภาษาอังกฤษเกรดต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ก่อนหน้านี้เรามีความฝันอยากที่จะเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นมากเลย แต่เรากลัวที่จะทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด กลัวว่าเราจะสอบภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยเลือกที่จะอยู่ใน safe zone
จุดเปลี่ยนของชีวิตเด็กไม่เอาไหน สู่การเป็นนักศึกษาทุน
วันหนึ่งที่เราเริ่มรู้สึกว่า เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดแค่นี้มาทำลายชีวิตของเราหรอ? เราจะไม่ทนคำดูถูกจากคนรอบข้างอีกแล้ว เราลองเสิร์ชข้อมูล เราไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นคืออะไร เราเลยลองใส่คีย์เวิร์ด ที่เป็นตัวเราลงไปในกูเกิลทุกคนลองดูนะเราว่าวิธีนี้ช่วยได้เยอะเลยสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นอะ มันมีคำเรียกว่าอะไร เราลองพยายามค้นหาคำตอบที่ใช่สำหรับเรา แล้วก็ไปสะดุดที่
สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เพราะชื่อม.มีความ ไทย...ญี่ปุ่น ในหัวคือมันจะต้องมีซัมติงเกี่ยวกับญี่ปุ่น พอหาข้อมูลไปเรื่อยๆ คือ ที่นี่เขาเรียนแบบ 3 ภาษา ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยว่าจะเรียน
ที่นี่ แล้ว...เราจะไปเรียนคณะอะไรดี? แล้วก็เราไปเจอคลิปนี้ของรุ่นพี่จาก
สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) เป็นคลิปการทำธุรกิจของรุ่นพี่
ซึ่งมันเป็นการทำธุรกิจจริง ๆ อะแก เราไม่คิดว่าการที่เราเป็นนักศึกษายังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำก็สามารถทำธุรกิจได้ มันเปลี่ยนทัศนคติของเราไปเลย เหมือนเราได้เจอที่ที่เป็นตัวเรา เราไม่ใช่เด็กไม่เอาไหนที่เรียนไม่เก่ง เราแค่ไปอยู่ผิดที่ผิดทางแค่นั้นเอง เรารู้แล้วว่าเราอยากจะทำอะไร เราก็ตัดสินใจ
เปิดรับสิ่งใหม่ๆมากขึ้น เราไปค่ายของที่นี้เกือบทุกค่าย ทั้ง Sakura Camp,IBJ Camp,Home Stay, Detective Camp ที่นี่เขามีค่ายให้เด็กม.ปลายได้ลองไปค้นหาตนเองเยอะมากก
ที่สำคัญมีทุนให้หลายทุนเลย พอเราได้มาสัมผัสกับที่นี่ เราเริ่มมี passion ในการเรียน พยายามที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆอย่างภาษาอังกฤษที่เราหนีมาทั้งชีวิต เราก็เปิดใจที่จะเรียนเพราะถ้าเอาแต่วิ่งหนีก็ไม่มีวันชนะหรอก โอกาสดีๆมันมีเข้ามาเสมอ เราไม่อยากจะพลาดเหมือนกับครั้งที่แล้ว ดังนั้นเราจึงพัฒนา เราไม่นั่งดูถูกตัวเองว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน ไม่สนใจคำพูดสบประมาทจากคนอื่น เพราะเรามีทางของตัวเอง แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับมัน จากเด็กที่ทุกคนมองว่าไม่เอาไหนในวัน วันนี้เราได้พิสูจน์ตัวเอง เราได้ทุนมาเรียนในคณะสาขาที่เราอยากเรียนจริงๆ
จุดเปลี่ยนของชีวิตเด็กไม่เอาไหน สู่การเป็นนักศึกษาทุน TNI
เราเป็นเด็กวิทย์ เราเลือกมาเรียนสายนี้ด้วยความสมัครใจ พ่อแม่ไม่ได้บังคับ หลายคนอาจจะสงสัยว่าเราเรียนวิทย์มาทำไมไปต่อบริหาร ความจริงเพราะเราตั้งใจจะหนีวิชาภาษาอังกฤษซึ่งเราเชื่อว่าจะมีหลายคนที่คิดเหมือนเราและสำหรับใครที่จะเลือกมาเรียนวิทย์เพราะความคิดนี้ เราขอบอกเลยว่าคุณคิดผิดอย่างมหันต์ ยังไงเราจะมาเล่าให้ทุกคนได้รู้ถึงชีวิตของเราที่เกือบเอาตัวไม่รอด!
3 ปีกับชีวิตม.ปลายสุดหดหู่
ช่วงตอนขึ้นม.4เป็นช่วงที่ทุกคนต้องมีการปรับตัว เพราะการเรียนและการแข่งขันที่หนักขึ้น โดยเฉพาะเด็กวิทย์อย่างเราที่ต้องมาเรียนวิทย์ถึง 3 ตัว
คณิตทั้งพื้นฐานและเพิ่มเติม โครงงานก็ต้องทำ งานก็เยอะขึ้น ยิ่งเรียนเราก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เราเริ่มไม่อยากจะไปเรียน ไม่อยากจะเจอเพื่อนในห้อง บางวันไปรร.แต่เราก็ไม่เข้าเรียน โดดเรียนไปเล่นวอลเลย์บอลทั้งวัน เวลามีกิจกรรมอะไรที่ไม่ต้องเรียนเราจะเสนอตัวไปทำตลอดเลย ตอนนั้นชีวิต
ล่องลอยมาก ติด0,ร.เกือบทุกวิชา
พอขึ้นม.5 ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเรียนหนักขึ้น เราพยายามที่จะเริ่มต้นใหม่แต่ปรากฏว่าเนื้อหาที่เรื่องมันต่อเนื่องมาจากต่อมาจาก
ตอนม.4 เราจะร้องไห้ คืออย่างสูตรฟิสิกส์ไม่ใช่แค่ v=s/t นะแต่มันแตกหน่อออกมายิ่งกว่าไฮดราอีก การที่ตื่นมาแล้วลากตัวเองเข้าไปเรียนในแต่ละคาบ
มันยากมาก เราถูกมองว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน เคยพยายามที่จะตั้งใจลองปรับตัวให้มากขึ้น สุดท้ายเราก็เข้ากับมันไม่ได้จริงๆ เหนื่อยและท้อมาก เหตุการณ์ที่พีคสุดคือ วันที่เรานั่งเรียนเคมีอยู่ เห็นเพื่อนทำแบบฝึกหัดกันแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ คำที่ว่าชีวิตม.ปลายเป็นชีวิตที่สนุก
มีความสุขที่สุดของเรามันไม่ใช่เลย เรารู้สึกว่าเราต้องมาอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ตัวเอง ต้องฝืนเรียนในสิ่งที่เราไม่ชอบ เรียนไปก็ไม่ได้เอาไปใช้จริงๆ เราเริ่มค้นพบตัวตนของตัวเอง ว่าจริงๆแล้วเราอยากเรียนภาษาก็ช่วงนี้แหละ ตอนเลือกมาเรียนสายนี้เราต้องสอบเข้าใหม่เพราะตามจริงเกรดวิทย์ไม่ถึง แล้วไม่ต้อง
ถามถึงภาษาอังกฤษเกรดต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ก่อนหน้านี้เรามีความฝันอยากที่จะเรียนศิลป์-ญี่ปุ่นมากเลย แต่เรากลัวที่จะทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด กลัวว่าเราจะสอบภาษาอังกฤษไม่ได้ เราเลยเลือกที่จะอยู่ใน safe zone
วันหนึ่งที่เราเริ่มรู้สึกว่า เราจะปล่อยให้ความผิดพลาดแค่นี้มาทำลายชีวิตของเราหรอ? เราจะไม่ทนคำดูถูกจากคนรอบข้างอีกแล้ว เราลองเสิร์ชข้อมูล เราไม่รู้นะว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นคืออะไร เราเลยลองใส่คีย์เวิร์ด ที่เป็นตัวเราลงไปในกูเกิลทุกคนลองดูนะเราว่าวิธีนี้ช่วยได้เยอะเลยสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เราอยากจะเป็นอะ มันมีคำเรียกว่าอะไร เราลองพยายามค้นหาคำตอบที่ใช่สำหรับเรา แล้วก็ไปสะดุดที่ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เพราะชื่อม.มีความ ไทย...ญี่ปุ่น ในหัวคือมันจะต้องมีซัมติงเกี่ยวกับญี่ปุ่น พอหาข้อมูลไปเรื่อยๆ คือ ที่นี่เขาเรียนแบบ 3 ภาษา ตอนนั้นคิดอย่างเดียวเลยว่าจะเรียน
ที่นี่ แล้ว...เราจะไปเรียนคณะอะไรดี? แล้วก็เราไปเจอคลิปนี้ของรุ่นพี่จากสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ (IB) เป็นคลิปการทำธุรกิจของรุ่นพี่
ซึ่งมันเป็นการทำธุรกิจจริง ๆ อะแก เราไม่คิดว่าการที่เราเป็นนักศึกษายังเรียนไม่จบเลยด้วยซ้ำก็สามารถทำธุรกิจได้ มันเปลี่ยนทัศนคติของเราไปเลย เหมือนเราได้เจอที่ที่เป็นตัวเรา เราไม่ใช่เด็กไม่เอาไหนที่เรียนไม่เก่ง เราแค่ไปอยู่ผิดที่ผิดทางแค่นั้นเอง เรารู้แล้วว่าเราอยากจะทำอะไร เราก็ตัดสินใจ
เปิดรับสิ่งใหม่ๆมากขึ้น เราไปค่ายของที่นี้เกือบทุกค่าย ทั้ง Sakura Camp,IBJ Camp,Home Stay, Detective Camp ที่นี่เขามีค่ายให้เด็กม.ปลายได้ลองไปค้นหาตนเองเยอะมากก
ที่สำคัญมีทุนให้หลายทุนเลย พอเราได้มาสัมผัสกับที่นี่ เราเริ่มมี passion ในการเรียน พยายามที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆอย่างภาษาอังกฤษที่เราหนีมาทั้งชีวิต เราก็เปิดใจที่จะเรียนเพราะถ้าเอาแต่วิ่งหนีก็ไม่มีวันชนะหรอก โอกาสดีๆมันมีเข้ามาเสมอ เราไม่อยากจะพลาดเหมือนกับครั้งที่แล้ว ดังนั้นเราจึงพัฒนา เราไม่นั่งดูถูกตัวเองว่าเป็นเด็กไม่เอาไหน ไม่สนใจคำพูดสบประมาทจากคนอื่น เพราะเรามีทางของตัวเอง แล้วเราก็ทุ่มเทให้กับมัน จากเด็กที่ทุกคนมองว่าไม่เอาไหนในวัน วันนี้เราได้พิสูจน์ตัวเอง เราได้ทุนมาเรียนในคณะสาขาที่เราอยากเรียนจริงๆ