หนังเก่าเล่าใหม่
164: Kramer vs. Kramer (Robert Benton, 1979)
ประเด็นความน่าใจของ Kramer vs. Kramer คงหนีไม่พ้นปัญหาความไม่เข้าใจกันขอคู่สามีภรรยา เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว ในมุมหนึ่งหนังแสดงให้เราเห็นว่าครอบครัวเครเมอร์ คือครอบครัวปกติทั่วไป ที่ไม่ได้มีปัญหาจากสามีหรือภรรยา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเจ้าชู้มีคนอื่น หรือสามีทำร้ายร่างกายภรรยา สามีไม่ทำมาหากิน ภรรยาไม่ดูแลเอาใจใส่งานบ้าน ซึ่งตัวละหลักในเรื่องอยู่ฝั่งตรงข้ามในพฤติกรรมเหล่านี้ที่มักจะทำให้คนเลิกกัน ความธรรมดาสามัญในเรื่อง จึงถูกขยายภาพให้ชัดผ่านไดอะล็อกต่าง ๆ ที่ซาบซึ้งและแยบยลในวิธีการนำเสนอ มวลรวมทั้งหมดของหนังจึงทำให้เราเชื่อและเห็นใจตัวละครทั้งมุมของฝ่ายชายและมุมของฝ่ายหญิง แม้ว่า หนังจะแสดงภาพของฝ่ายชายในแบบที่น่าสงสารมากกว่าฝ่ายหญิงอยู่ก็ตาม แต่จุดเริ่มต้นความไม่เข้าใจก็มาจากฝ่ายชาย
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่มีลูกด้วยกัน มีห่วงที่ยังรั้งทั้งสองคนอยู่ คือ ลูกชายวัยเด็ก ซึ่งหนังแสดงภาพชัดเจนให้เราเห็นถึงความรักที่ตัวละครมีให้กับลูก หลายฉากในหนังทำให้เราซาบซึ้งกินใจ ในขณะเดียวกันก็เศร้าใจกับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดย ดัสติน ฮอฟแมน ในบทบาทของ เท็ด แสดงสีหน้าแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึง เมอรีล สตรีป ในบท โจแอนนา ที่เล่นน้อยแต่ได้เยอะ ผสานอารมณ์ระหว่างตัวละครสองตัวขณะที่เข้าฉากร่วมกันได้สะเทือนอารมณ์น้ำตาซึม หลายฉากจึงเต็มไปด้วยอารมณ์และพลังการแสดงที่ยอดเยี่ยม
ปัญหาความสัมพันธ์ของครอบครัวเครเมอร์ คือการไม่พูดคุยกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ โดยเฉพาะฝ่ายชาย เท็ด ที่บ้างานทำแต่งาน ซึ่งลึก ๆ เนื้อแท้ก็คือทำเพื่อครอบครัว ไม่ได้สนใจว่า โจแอนนา คิดอะไรอยู่ และไม่ได้ใส่ใจว่าภรรยาตัวเองต้องการอะไร นำพามาสู่การถูกทิ้ง ในช่วงเริ่มเรื่อง โจแอนนา อาจดูเหมือนตัวร้ายที่ทิ้งลูกไว้ให้เท็ดเลี้ยงดูคนเดียวร่วมปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการงานของเท็ดอย่างแน่นอน เพราะต้องทำงานและเลี้ยงดูลูกด้วย รวมถึงการปรับตัวกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว และเมื่อโจแอนนา ไปค้นหาตัวตนและค้นเจอว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเธอจึงกลับมาฟ้องเรียกร้องสิทธิการเลี้ยงดูลูกจากเท็ด ซึ่งกระบวนการความยุติธรรมและความชอบธรรมได้สร้างรอยแผลในใจให้คนทั้งสองคน
ความน่าสะเทือนใจคือคำถามของลูกชายที่คอยถามเท็ดว่า 'แม่ไปไหน' หรือ 'เมื่อไหร่แม่จะกลับมา' เพราะ 'ผมใช่ไหมที่ทำให้แม่หนีไป' ประโยคเหล่านี้แสดงภาพชัดเจนให้เราเห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากปัญหาของผู้ใหญ่สองคน ส่งผลต่อเด็กคนหนึ่ง บทเรียนชีวิตของหนังเรื่องนี้จึงทำให้เราตั้งตัวและไม่กระทำสิ่งที่ตัวละครกระทำต่อกัน ระมัดระวังไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น รวมถึงความเจ็บปวดที่คนสองคนฟ้องร้องเพื่อขอดูแลสิทธิลูกนั้นน่าเศร้าใจยิ่งนัก ท้ายสุด Kramer vs. Kramer เป็นผลงานที่สะท้อนสถานบันครอบครัวได้อย่างซาบซึ้งสะเทือนใจ บทภาพยนต์ดีงามเรียงง่าย ให้แง่คิดและข้อคิดของการใช้ชีวิตคู่ เป็นภาพยนตร์ที่ฉายภาพเรื่องราวครอบครัวได้ดีงามที่สุดเรื่องหนึ่ง...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์
ตัวอย่าง
หนังเก่าเล่าใหม่ 164: Kramer vs. Kramer (Robert Benton, 1979) รีวิวโดย MDC
164: Kramer vs. Kramer (Robert Benton, 1979)
ประเด็นความน่าใจของ Kramer vs. Kramer คงหนีไม่พ้นปัญหาความไม่เข้าใจกันขอคู่สามีภรรยา เพราะต่างฝ่ายต่างคิดว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว ในมุมหนึ่งหนังแสดงให้เราเห็นว่าครอบครัวเครเมอร์ คือครอบครัวปกติทั่วไป ที่ไม่ได้มีปัญหาจากสามีหรือภรรยา ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเจ้าชู้มีคนอื่น หรือสามีทำร้ายร่างกายภรรยา สามีไม่ทำมาหากิน ภรรยาไม่ดูแลเอาใจใส่งานบ้าน ซึ่งตัวละหลักในเรื่องอยู่ฝั่งตรงข้ามในพฤติกรรมเหล่านี้ที่มักจะทำให้คนเลิกกัน ความธรรมดาสามัญในเรื่อง จึงถูกขยายภาพให้ชัดผ่านไดอะล็อกต่าง ๆ ที่ซาบซึ้งและแยบยลในวิธีการนำเสนอ มวลรวมทั้งหมดของหนังจึงทำให้เราเชื่อและเห็นใจตัวละครทั้งมุมของฝ่ายชายและมุมของฝ่ายหญิง แม้ว่า หนังจะแสดงภาพของฝ่ายชายในแบบที่น่าสงสารมากกว่าฝ่ายหญิงอยู่ก็ตาม แต่จุดเริ่มต้นความไม่เข้าใจก็มาจากฝ่ายชาย
ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่มีลูกด้วยกัน มีห่วงที่ยังรั้งทั้งสองคนอยู่ คือ ลูกชายวัยเด็ก ซึ่งหนังแสดงภาพชัดเจนให้เราเห็นถึงความรักที่ตัวละครมีให้กับลูก หลายฉากในหนังทำให้เราซาบซึ้งกินใจ ในขณะเดียวกันก็เศร้าใจกับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดย ดัสติน ฮอฟแมน ในบทบาทของ เท็ด แสดงสีหน้าแววตาได้อย่างยอดเยี่ยม รวมถึง เมอรีล สตรีป ในบท โจแอนนา ที่เล่นน้อยแต่ได้เยอะ ผสานอารมณ์ระหว่างตัวละครสองตัวขณะที่เข้าฉากร่วมกันได้สะเทือนอารมณ์น้ำตาซึม หลายฉากจึงเต็มไปด้วยอารมณ์และพลังการแสดงที่ยอดเยี่ยม
ปัญหาความสัมพันธ์ของครอบครัวเครเมอร์ คือการไม่พูดคุยกัน โดยที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจอยู่แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ โดยเฉพาะฝ่ายชาย เท็ด ที่บ้างานทำแต่งาน ซึ่งลึก ๆ เนื้อแท้ก็คือทำเพื่อครอบครัว ไม่ได้สนใจว่า โจแอนนา คิดอะไรอยู่ และไม่ได้ใส่ใจว่าภรรยาตัวเองต้องการอะไร นำพามาสู่การถูกทิ้ง ในช่วงเริ่มเรื่อง โจแอนนา อาจดูเหมือนตัวร้ายที่ทิ้งลูกไว้ให้เท็ดเลี้ยงดูคนเดียวร่วมปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อการงานของเท็ดอย่างแน่นอน เพราะต้องทำงานและเลี้ยงดูลูกด้วย รวมถึงการปรับตัวกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว และเมื่อโจแอนนา ไปค้นหาตัวตนและค้นเจอว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเธอจึงกลับมาฟ้องเรียกร้องสิทธิการเลี้ยงดูลูกจากเท็ด ซึ่งกระบวนการความยุติธรรมและความชอบธรรมได้สร้างรอยแผลในใจให้คนทั้งสองคน
ความน่าสะเทือนใจคือคำถามของลูกชายที่คอยถามเท็ดว่า 'แม่ไปไหน' หรือ 'เมื่อไหร่แม่จะกลับมา' เพราะ 'ผมใช่ไหมที่ทำให้แม่หนีไป' ประโยคเหล่านี้แสดงภาพชัดเจนให้เราเห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากปัญหาของผู้ใหญ่สองคน ส่งผลต่อเด็กคนหนึ่ง บทเรียนชีวิตของหนังเรื่องนี้จึงทำให้เราตั้งตัวและไม่กระทำสิ่งที่ตัวละครกระทำต่อกัน ระมัดระวังไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น รวมถึงความเจ็บปวดที่คนสองคนฟ้องร้องเพื่อขอดูแลสิทธิลูกนั้นน่าเศร้าใจยิ่งนัก ท้ายสุด Kramer vs. Kramer เป็นผลงานที่สะท้อนสถานบันครอบครัวได้อย่างซาบซึ้งสะเทือนใจ บทภาพยนต์ดีงามเรียงง่าย ให้แง่คิดและข้อคิดของการใช้ชีวิตคู่ เป็นภาพยนตร์ที่ฉายภาพเรื่องราวครอบครัวได้ดีงามที่สุดเรื่องหนึ่ง...
ขอให้มีความสุขกับการรับชมภาพยนตร์
ตัวอย่าง