แนะนำทุนการศึกษาปโท และแชร์ประสบการณ์/การเตรียมตัวสมัครทุน จนกระทั่งได้มาเป็นนักศึกษาไทยตัวน้อยๆในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย

เฮลโหลลทุกคนน ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อน ชื่อหมิวนะคะ ตอนนี้เป็นนักศึกษาป.โทอยู่ที่ Chalmers University of Technology ประเทศสวีเดน สาขา Biotechnology เหตุผลที่มาเขียนโพสต์ในวันนี้คืออยากแชร์ และบอกเล่าประสบการณ์การเขียนสมัครขอทุนการศึกษาเพื่อมาเรียนต่างประเทศ รวมถึงการเตรียมตัวต่าง ๆ และจะสอดแทรกบรรยากาศเล็ก ๆ น้อย ๆของการมาเรียนที่ประเทศสวีเดน อีกทั้งอยากมาให้กำลังใจสำหรับคนที่คิดว่าการมาเรียนต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม หมิวก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน จนปีที่แล้วโชคชะตาก็พาให้มาอยู่สวีเดนโดยไม่คาดฝันมาก่อน ไม่รู้ว่าโพสต์นี้จะมีประโยชน์กับเพื่อนๆ พี่ๆ น้อง ๆ ขนาดไหน ถ้าโพสต์นี้ไปได้ไกล ก็จะมีภาคต่อแน่นอนค่ะ  😊 

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาทุนการศึกษาที่หมิวได้รับคือ The Sievert Larsson Scholarship เป็นทุนของมหาลัย Chalmers โดยแหล่งทุนการศึกษามาจากคุณ Sievert Larsson ที่เขามอบให้แก่นักเรียนไทยที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีผลการเรียนดี ที่มีความมุ่งมั่นอยากมาเรียนป.โทที่ต่างประเทศแต่ไม่มีโอกาสค่ะ 
ทุนมี 2 ประเภทคือ 1. ทุนเฉพาะค่าเทอม และ 2. ทุนค่าเทอมและค่าครองชีพ 
ทุนทั้ง 2 ประเภทจะครอบคลุมระยะเวลาของการเรียนคือ 2 ปี ทุนนั้นไม่จำกัดสาขาค่ะ คืออยากสมัครคณะไหนที่มหาลัย Chalmers ก็ได้ โดยหมิวได้ทั้งค่าเทอมและค่าครองชีพซึ่งครอบคลุมทุกอย่าง (แต่ค่าตั๋วเครื่องบินต้องออกเองนะคะ) ต้องเกริ่นก่อนว่าสำหรับหมิวแล้วการมาเรียนต่อต่างประเทศนั้นเป็นสิ่งที่ไกลตัวมาก ๆ และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรียนเก่งอะไร และทางบ้านก็ไม่ได้มีฐานะที่สามารถส่งให้เราเรียนต่อได้ แต่เพราะความพยายามและมุ่งมั่น อีกทั้งอยากท้าทายตัวเอง และพาตัวเองออกมาสู่สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ จึงทำให้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะสมัครทุนการศึกษานี้  ไปดูเงื่อนไขของการสมัครทุนกันดีกว่า มีดังนี้
1. เป็นผู้สมัครเข้าเรียนป.โทที่มหาวิทยาลัย Chalmers
2. มีสัญชาติไทย 
3. มี GPA สะสม ไม่ต่ำกว่า 3 จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย
โดยระบบการสมัครมหาลัยในสวีเดนจะคล้ายๆกับ Admission บ้านเราคือจะมีระบบกลางที่เราจะต้องเลือกมหาวิทยาลัย 1-4 อันดับ โดยเรียงอันดับจากมหาลัยที่เราอยากเข้าที่สุด และSubmit เอกสารในระบบนี้ไปตามมหาลัยที่เราเลือก ถ้าเราจะสมัครทุนนี้เราควรเลือก Chalmers ไว้เป็นอันดับแรกค่ะ จากนั้นก็สมัครทุนนี้ควบคู่กันไป และรอไปสักระยะนึงเขาจะคัดเลือกคนที่คุณสมบัติเข้าเกณฑ์เพื่อให้เราส่งเอกสารเพิ่มเติมซึ่งก็คือ
1. Personal letter ที่เราอธิบายถึงสถานการณ์ทางการเงินในครอบครัว และทำไมเราถึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมสำหรับทุนนี้
2. Written appraisal form จาก 1 ในผู้ที่เขียนจดหมายแนะนำตัวให้เรา หมิวคิดว่าจดหมายนี้ก็คล้ายๆกับจดหมายที่อวยเรา แต่เป็นในมุมมองของผู้อื่น ฮ่าาา แบบลึกไปกว่าจดหมายแนะนำตัว อาทิเช่นสถานะทางครอบครัวของเรา ความสามารถต่าง ๆของเรา ทำไมเราถึงเหมาะที่จะได้ทุนนี้ บลาๆ เรียกได้ว่าจดหมาย 2 ข้อหลังนี้เป็นส่วนสำคัญที่เขาจะคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมในการรับทุนเลยก็ว่าได้ จำนวนผู้รับทุนจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละปี โดยเขาไม่ได้ระบุในเว็บไซต์นะคะ อย่างปีหมิว (2019) มีคนได้รับทุนเฉพาะค่าเทอม 1 คน และทุนเต็มจำนวน 2 คน
ในขณะที่ปีก่อนหน้า (2018) มีคนได้เฉพาะค่าเทอม 2 คนและ ทุนเต็ม 2 คน ค่ะ ส่วนของปีนี้ (2020) หมิวยังไม่ได้อัพเดตค่ะ เรียกได้ว่าโอกาสในการได้ทุนนั้นไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน โดยมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี ดังนั้นขอแนะนำให้เตรียมตัวแน่เนิ่น ๆ เพราะเอกสารของ Chalmers ค่อนข้าง Require หลายอย่างค่ะ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่าง ๆได้ในเว็บไซต์นะคะ จะแปะลิงค์รวมไว้ด้านล่าง
 
ส่วนต่อไปหมิวจะมาแชร์การเขียนจดหมายต่าง ๆ และการเตรียมตัวค่ะ หมิวใช้เวลาเตรียมตัวทั้งหมดประมาณ 2 ปี โดยใช้เวลาในการเตรียมตัวเรื่องภาษาจนได้ผล IELTS ที่ต้องการ 1 ปี (คะแนน IELTS หมิวไม่ได้สูงมาก แต่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่มหาลัยกำหนด) และสมัครมหาลัยต่าง ๆอีก 1 ปี โดยหมิวจะมีสมุดปฏิทินเล่มเล็ก ๆที่วางแผนในแต่ละเดือนว่าเราจะต้องทำอะไรบ้างจนถึงวันที่จะสอบ IELTS/Deadline ที่มหาลัยปิดรับสมัคร ในระหว่างนั้นหมิวก็ทำงานไปด้วย เลยจะมีเวลาว่างแค่ตอนเย็นๆ ดึกๆ และช่วงวันหยุด จึงทำให้การวางแผนนั้นสำคัญมาก อีกทั้งยังต้องเผื่อเวลาว่าถ้าเราพลาดจุดนี้ไป เรายังพอมีเวลาแก้ไขให้เสร็จตามกำหนดอย่างเช่นการสอบภาษา เพราะใช่ว่าเราสอบครั้งแรกแล้วจะได้คะแนนตามที่ต้องการ 
ส่วนเรื่องการเขียนจดหมายแนะนำตัว/essay การขอทุน และการสมัครเข้ามหาวิทยาลัยหมิวขอรวบไว้ด้วยกันเลยนะคะ คิดว่าน่าจะสามารถประยุกต์ใช้ด้วยกันได้

โดยก่อนที่หมิวจะเริ่มเขียน Essay หมิวจะพยายามตีโจทย์ให้แตกก่อนว่าเขาต้องการอะไร และพยายามร่าง แบบเป็นแผนผังคร่าวๆ ว่าเราจะเล่าเรื่องอะไร และแบบไหน (อารมณ์เด็กสายวิทย์ ทุกอย่างจะต้องเป็นลำดับขั้นตอนเสมอ ฮ่าาา) อาทิเช่น ถ้าเราเริ่มเรื่องจากตรงนี้ แล้วเราจะหาจุดจบได้รึเปล่า แต่ละเรื่องนั้นมีความเชื่อมโยงกันไหม และมี Impact รึเปล่า สำหรับหมิวแล้ว ก็มีแอบใส่เรื่องดราม่าลงไปบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คือความจริงที่เกิดขึ้น และไม่ได้ใส่เกินความจริงแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อหมิวใส่ไปแล้วค่อนข้างมั่นใจว่ามันจะ impact ต่อการขอทุนแน่นอน เพราะเรื่องราวเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้เป็นตัวเราในวันนี้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้น ถ้าเราจะแทรกเข้าไป ก็ต้องมีวัตถุประสงค์ อาทิเรื่องราวเหล่านั้นมันสอนให้เราโตขึ้น มีทัศนคติต่อเรื่องนี้แบบนี้ และที่สำคัญคือเราต้องหาจุดลงของเรื่องนั้น ๆให้ได้ ไม่ใช่เล่าจนยืดยาวไม่มีจุดพีค หาจุดลงไม่เจอ และต้องสามารถโยงกับเรื่องราวก่อนหน้าที่เราเขียนมาได้ เรียกได้ว่าแต่ละเรื่องที่หมิวใส่เข้าไปก็มีเหตุผลของมัน และสามารถตอบคำถามสิ่งที่กรรมการค้นหาได้ค่ะ อีกทั้งการเขียนจดหมายขอทุน เราควรจะระบุให้ชัดว่าเงินทุนเหล่านี้จะสามารถมาเติมเต็มการศึกษา หรือความต้องการของเราได้อย่างไร ดังนั้นหมิวจึงต้องร่างแผนคร่าวๆก่อนที่จะเริ่มเขียนจริง ๆ แล้วการเขียน Essay ก็จะไปได้ไวขึ้น 

สำหรับหมิวแล้วเป็นเด็กทุนตั้งแต่ป.ตรีจนถึงป.โท มันทำให้รู้ว่าการขอทุนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และการเป็นนักเรียนทุนนั้นมันสอนให้หมิวคิดถึงผู้อื่นเสมอ เพราะเงินที่เราได้มาในการสานความฝันของเรานั้นมันเป็นส่วนที่บริจาคมาจากครอบครัว หรือองค์กรต่าง ๆ ซึ่งเราก็ควรมีส่วนช่วยเหลือในการตอบแทนสังคมกลับไป
ส่วนถ้าเป็นการเขียนจดหมายสมัครมหาลัยต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ทุน ก็จะมีลำดับการเล่าเรื่องประมาณนี้คือ ทำไมเราถึงอยากมาเรียนที่มหาลัยนี้ และสาขานี้ เรามีประสบการณ์อย่างไรในสายงานนี้ หรือถ้าไม่มีก็ต้องเขียนถึงแรงบันดาลใจหรือสิ่งที่เป็นจุดพลิกผันให้เราตัดสินใจมาสมัครด้านนี้ และมีการวางแผนหลังเรียนจบอย่างไร โดยหมิวคิดว่าหลายคนก็คงคาดหวังว่าหลังจากที่เราเรียนจบ เราจะได้งานทำในประเทศนั้น ๆ ซึ่งเราก็ควรที่จะค้นคว้าข้อมูลของสายงานเราในประเทศนั้น ๆ เขียนสิ่งที่มันเชื่อมโยงกับประเทศเขาว่าเราจะเอาความรู้ ความสามารถที่เราได้เรียนมาเอาไปเชื่อมโยงกับประเทศเขา หรือเหตุการณ์บนโลกนี้ได้อย่างไร เรียกได้ว่าต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนนี้ค่ะ (ถ้ามีแพลนกลับไทยก็เขียนแนวร่วมมือระหว่างสองประเทศประมาณนี้ค่ะ) โดยหมิวนั้นมีประสบการณ์การทำงานมา 2 ปี ซึ่งหมิวจบป.ตรีด้าน Biochemistry มา ซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์จ๋ามาก ๆ และก็ไม่ได้ทำงานตรงสายที่เรียนมาขนาดนั้น ถึงแม้จะทำงานด้าน R&D มาตลอด แต่ก็ได้ใช้แค่วิทย์พื้นฐานค่ะ ซึ่งหมิวก็เอาประสบการณ์การทำงานส่วนที่เป็น Soft skills ที่เราได้เรียนรู้จากงาน ส่วนที่น่าจะเป็นประโยชน์ใส่เข้าไปใน essay
ท้ายที่สุดนี้อยากจะบอกว่าการเขียน essay นั้นเป็นการเขียนเรื่องราวส่วนบุคคล แต่ละคนนั้นก็มีประสบการณ์หรือสิ่งที่เจอมาต่าง ๆ กันไป อยู่ที่ว่าใครจะสามารถดึงเรื่องราวในชีวิตนั้นมาเล่าเป็นเรื่องราวได้เป็นตัวเราที่สุด

กระทู้ต่อไปเป็นทิปในการเขียน Essay/จดหมายขอทุนต่าง ๆ ที่หมิวได้มาจากการหาข้อมูลในเว็บไซต์และ อ่านมาจากหนังสือเล่มนึงนะคะ ฝากติดตามกันด้วยน้า 😊 (จริงๆเขียนเสร็จแล้ว กะจะโพสต์ในกระทู้เดียวแต่รู้สึกว่ามันยาวไปนิสส ถือว่ากระทู้นี้เป็นพรีวิวละกันเนอะ)
 
สุดท้ายนี้ฝากติดตาม ไลค์เพจด้วยนะฮ้าบบ จะอัพเดตเร็วๆนี้ค่ะ โดยจะเป็นเรื่องราวการใช้ชีวิตของหมิวในสวีเดน อีกทั้งเป็นเพจให้แรงบันดาลใจไปในตัวด้วย 😊 

ลิงค์เพจ https://www.facebook.com/My-story-in-Sweden-111389177380707

ลิงค์รายละเอียดการสมัครเรียนที่ Chalmers https://www.chalmers.se/en/education/application-admission/how_to_apply/Pages/how-to-apply.aspx

ลิงค์ทุนการศึกษา Sievert Larsson scholarship https://www.chalmers.se/en/education/fees-finance/Pages/The-Sievert-Larsson-Scholarship.aspx
 
ปล. ใครมีคำถามเพิ่มเติมสามารถส่งมาหลังไมค์ได้เลยนะคะ ไม่ว่าจะปรึกษาการขอสมัครทุน/สอบภาษา/หรือเรื่องอื่นๆ ยินดีตอบม้ากมากจ้า
ปล 2 ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะฮ้าบบบ 😊 //ไหว้งามๆสามที


หนึ่งในแคมปัสของมหาลัย Chalmers

บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงในมหาลัยเพี้ยนยิ้ม


แซนวิชไซส์ยักษ์ที่ได้ฟรีมาจาก Lunch lecture


บรรยากาศสวนสาธารณะในฤดูใบไม้ร่วง


บรรยากาศบนเกาะ Vrångö ในช่วงซัมเมอร์
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่