เรื่องสั้น เอ็นวายกู NYKU: New York Kitchen University ตอนที่ 16: 'รู้งี้นะ...'



          ‘รู้งี้นะ’ เป็นประโยคที่แสดงออกถึงความเสียดาย มักจะถูกหยิบมาใช้เสมอ ๆ ในเวลาที่เราตัดสินใจผิดพลาด หรือเสียใจกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยมักจะมีส่วนขยายความตามมาว่า เพราะเหตุอะไร ทำไมถึงต้องรู้งี้ เช่น ‘รู้งี้นะ...จะไม่กินของมัน ๆ และออกกำลังกายมากกว่านี้’ คืออาจจะเป็นโรคอ้วน เลยมานั่งเสียใจ หรือจะเป็น ‘รู้งี้นะ...ไม่เลือกยิ้มเข้าสภาหรอก’ ที่อาจจะกล่าวถึงนักการเมืองบางประเทศที่โกงกินประเทศชาติจนได้เรือดำน้ำ (ดีกว่าเรือหายอ่ะนะ) หรือจะเป็น ‘รู้งี้นะ...ไม่มาอเมริกาหรอก’ คืออาจจะมารู้เอาทีหลังว่า อยู่เมืองไทยดีกว่า สบายกว่า ไม่น่ามาลำบากลำบนเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่เล๊ย อ้าว! กูเองนี่หว่า 555
 
          หลังจากที่ผมเข้าโรงเรียนภาษา ตั้งก๊วนกับหนุ่มญี่ปุ่น มีนามว่าริวได้ไม่นานนัก พวกผมก็มาได้หนุ่มอีกคนมาร่วมก๊วน เป็นหนุ่มเกาหลีชื่อ “เค” เคเป็นโอปป้าหนุ่มหล่อ สูง หุ่นดี ดีขนาดไหน ก็เอาเป็นว่าเป็นนักแสดงละครเวที ออกโทรทัศน์มาบ้างตอนอยู่เกาหลี น่าจะพอประกันได้ว่า หน้าตาเคต้องดูดีในระดับหนึ่ง เคมานิวยอร์กเพราะว่า อยากมาศึกษาต่อยอดองค์ความรู้ด้านละครเวที และก็คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่านิวยอร์ก นครเมกกะแห่ง Broadway Show เรียกได้ว่า พอได้เจอทั้งริว ทั้งเค ผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ประชากรของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำไมพวกเอ็งมีจุดประสงค์ในชีวิตชัดเจน ซีเรียสกันจัง หันมามองตัวเองแพร๊พ ตอนกูอายุยี่สิบกว่า ๆ กูทำอะไรอยู่วะ เอิ่ม และอย่างแรกสุดที่เคต้องทำก็คือ การปรับระดับภาษา แม้ว่าภาษาอังกฤษของเคนั้นจัดได้ว่าโอเค คือ อ่านออกเขียนได้ระดับหนึ่ง แต่ปัญหาของเคคือ การออกเสียง ที่เรียกได้ว่า ห่วยขั้นเทพ! อย่างคำว่า “If” แมร่งออกเสียงเป็น “อีฟ-ฟุ” ตัลหลอด! ฟังมันพูดทีไรกูเหนื่อยทุกที 555
 
          โอปป้าเค นอกจากจะตัวสูง หุ่นดี หน้าตาดีตามประสานักแสดงแล้ว เคยังเป็นอีกหนึ่งคนที่คุยโคตรจะเก่ง คือ ถ้าริวคุยเก่งจนลิงหลับ เคก็คุยเก่งจนชะนีตื่นได้แล้วกัน ถ้าเคกับริวมาจับคู่กัน ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ใครได้คุยทั้งสิ้น แหม่ ๆ ๆ มันน่าจับไปคุยสภาเมืองไทยซะให้เข็ดนะ ไอ้พวกพูดมากเนี่ย และที่สำคัญที่สุดคือ เคทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้าน ‘บอน ชอน’ บาร์ขายไก่ทอดที่ดังที่สุดของเกาหลี ที่มีสาขาอยู่ที่ Korean Town ใน Manhattan เจ้าเดียวกับที่ตอนนี้ดังมากในเมืองไทยนั่นแหละครับ เพื่อน ๆ แวะไปหาเคที่ร้าน เคก็จะแจกของกิน ของดื่มเต็มที่ เรียกว่า On the House กระจาย กะเมาเอาให้ตายกันไปข้างนึง ด้วยเหตุนี้ในโรงเรียนเคจึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักอย่างกว้างขวางของคนเกาและคนเมา ซึ่งเจ้าเคนี่แหละที่แนะนำให้ผมรู้จักกับสาวเกาคนแรกในชีวิตผม เรื่องมันมีอยู่ว่า

          หน้าตึก C ซึ่งเป็นตึกเรียนของนักเรียนชาวต่างชาติ ตอนเลิกเรียนเวลาบ่ายสองก็จะเซ็งแซ่ไปด้วยหมู่นักเรียนที่มายืนรอเจอเพื่อนคนนี้คนนู้น นัดกันว่าจะไปไหนเที่ยวไหนต่อกันดี และแน่นอนตรงมุมตึกนี้นี่เอง ที่เป็นที่รวมกลุ่มของสามหนุ่มสามประเทศที่หน้าตาดี ญี่ปุ่น, เกาหลี, ไทย ถุ๊ย! (เล่าได้ไม่อายตัวเอง 555) เคก็ไปคุยกับเพื่อนเกาหลีตามประสา ผมกับริวก็ยืนคุยกันกับเพื่อนร่วมชั้น ก็นัดกันจะไปแฮ๊งค์เอ๊าท์ซักทีแหละนะคืนนี้ สักพักเคก็เดินกลับมาหาผม
          “อ็อตโต้ เพื่อนชั้นถามว่านายเป็นใครน่ะ เขาอยากรู้จัก” เคบอกกับผมเสียงธรรมดา ๆ แต่พอผมได้ยิน ใจผมนี่เรียกว่า เต้นไม่เป็นสำ่ ก็สาวเกาแต่ละคนที่เคมันไปขลุกอยู่เนี่ย น่ารักทั้งนั้น ผมนี่แทบจะเก็กขรีมเอาไว้ไม่อยู่
          “ใครเหรอที่ถาม” ผมถาม พยายามนิ่งให้มากที่สุด ก่อนที่เคจะบุ้ยใบ้ให้ผมเห็นว่า เป็นสาวเกาหลีใส่แว่น ผมยาว ขาว สวย หมวย แต่ไม่อึ๋มนางหนึ่ง
          “เชี่ย เยปุ๊กเน้” ผมอุทานในใจเป็นภาษาเกาหลีแปลได้ว่า ‘น่ารัก’
          “โอ้ มายด์ ก็อต โซคิ้ว! แต่สงสัยสายตาไม่ดี นี่ขนาดใส่แว่นนะ” ริวเผือกขึ้นมาแบบว่าอยากมีส่วนร่วมเต็มที่ ผมแอบมองค้อน
          “เขาบอกว่านายน่ารักดี นายอยากรู้จักหรือเปล่าล่ะ” เคบอก สาบานได้ว่า เคมันพูดแบบนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้โม้
          “อืม เอาซิ" ผมพยายามตอบแบบปรกติที่สุด แต่ใจนี่แบบว่าลอยไปดาวอังคารแล้ว 555 มีเพื่อนชงให้แบบนี้ เค เพื่อนเลิฟ ซารังเฮ! ถึงเวลาปักธงชาติไทย ประกาศอธิปไตยแล้วว๊อยยย! ขณะที่ผมกำลังจิ้นไปไกลอยู่นั้น เคก็ล็อคคอพาผมเดินไปหาสาวแดนกิมจิทันทีเลย เฮ้ย! เดี๋ยว กูยังไม่ทันหยิบธงชาติออกจากกระเป๋าเลย
          “จีฮุน นี่เพื่อนชั้นนะ ชื่ออ็อตโต้” เคแนะนำให้ นางชื่อเหมือน ‘จวน จีฮุน’ นางเอกยัยตัวร้ายใน My Sassy Girl ที่ดังมากในตอนนั้น แอร๊ยยย สาบานว่า ณ ตอนนั้นอยากเป็นนายเจี๋ยมเจี๊ยมเหลือเกิน เคชนให้แล้ว ถ้าผมไม่เคลมก็เสียสุนัข ว่าแล้วผมก็ลุยทันที
          “อันยองฮาเซโย” ผมทักทายเป็นภาษาเกาหลี แหม่ ดูซีรี่ย์เกามากี่เรื่องแล้ว ทักทายเป็นภาษาเกาหลีแค่นี้ ง่ายนิ๊ดเดียว ว่าแล้วผมก็ท่องประโยคที่ เพื่อนเคสอนมาให้ก่อนหน้านี้
          “อีลดูมี มัวยาโย๋” ผมถามเป็นภาษาเกาหลีว่า เธอชื่ออะไร ได้ผลครับ คือ จีฮุนทำหน้างง ๆ หันไปคุยภาษาเกาหลีกับเค น่าจะประมาณว่า อีตานี่มันพูดเกาหลีได้ด้วยเหรอ เคก็แกล้งขำ ๆ ให้ หารู้ไม่ว่า นั่นแหละทั้งหมดที่ผมพูดได้ 555
          “มายเนมอีส อ็อตโต้ เคคลาสเมท ไนซ์ทูมีทยู” เมื่อหมดมุข ผมก็แนะนำตัวต่อด้วยภาษาอังกฤษ
          “แอมจีฮุน ยูแคนคอลมีจีน่า อีสเวรี่พลีสทูมีทยู” จีฮุนตอบกลับมา เสียงน่ารักแต่เร็วโคตร และที่สำคัญคือ สำเนียงนางนี่ ถ้าหลับตาฟังนึกว่าฟังฝรั่งที่ไหนทักทายมา เล่นเอาผมก็ถึงกับติดสตั๊นท์ อึ้ง-ไป 2 วินาที
          “ว็อทสยัวร์เลเวล?” จีฮุนถามแบบสนธิ เชื่อมคำว่า What กับ is เป็น What’s เรียบร้อย
          “เลเวลโฟร์ แอนด์ยู๊” ผมตอบอังกฤษสำเนียงไทยกลับไปว่า เลเวลสี่เอง ยังโนวิทอยู่เลย
          “แอมเลเวล ‘เซว’ เว่น” จีฮุนตอบกลับมาแบบชัด ๆ อ่านปากจะเห็นได้ว่า ลิ้นดุนตรงฟันบนคู่หน้าเพื่อออกเสียงเน้นที่ตัว ‘เซว’ ซึ่งไม่ใช่ ‘เซ’ นะ ถ้าไม่ระวัง น้ำลายกระเด็นออกมากระแทกหน้าได้เลย มันเป็นการเชื่อมการออกเสียงเพื่อให้ไหลลื่นอย่างเนทีฟ สปี๊คเกอร์ ไม่ใช่ ‘เซ-เว่น’ แบบบ้านเรา จำไว้นะครับนักเรียน พอผมได้ยินว่านางอยู่เลเวลเจ็ด ผมก็ขนลุกซู่ มิน่าล่ะสำเนียงนางนี่ชัดเปรี๊ยะ เพราะเลเวลเจ็ดก็เรียกได้ว่าเกือบสูงสุดของโรงเรียนภาษาแล้ว สามารถย้ายไปเข้าเรียนต่อในยูนิเวอร์ซิตี้ได้แล้ว ส่วนผมเลเวลสี่ จะเขียนคำว่า ‘ยูนิเวอร์ซิตี้’ กูยังสะกดไม่ถูกเลย!
 
          ด้วยความที่หมดมุขคุย เพราะเค มันก็สอนภาษาเกาหลีให้ผมแค่สองสามประโยคเท่านั้น ใช้หมดปุ๊ป ผมก็ไม่รู้จะไปต่อทางไหน บรรยากาศก็เริ่มอึมครึมไปหมด นกเอี้ยงบินมาเกาะบนเขาผมหนึ่งตัว สองตัว ผมก็อึกอัก ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี การคุยก็กระท่อนกระแท่นมาก คือ ความรู้อังกฤษผมมันเท่าหางอึ่ง ไม่สามารถสื่อสารกันได้ ถ้าผมคุยภาษาเกาหลีได้อย่างเค (ทำไมเมิงไม่สอนกรูมากกว่านี้ฟ่ะ ไอ้เค) หรือถ้าผมหล่ออย่างพี่ติ๊ก พี่โดม มันก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่บังเอิญหนังหน้าผมมันประมาณหมาโดนรถสามล้อทับ สุดท้ายมันก็เลยไม่คลิ๊ก ผมกับจีฮุนก็ได้ไปออกเดทกินข้าวด้วยกันครั้งเดียว จากนั้นก็จอ...บอ...

          ธงชาติไทยที่ผมแบกมาจากสุวรรณภูมิ เตรียมเต็มที่จะปักลงตรงแดนกิมจิ สุดท้ายยังไม่ทันจะได้ชักธงขึ้นสู่ยอดเสาเลย ก็ถูกลมมรสุมของการสื่อสารพังลงตรงคาบสมุทรเกาหลี เรียกว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างถวายหัวเลยเอ้า! นอกจากนั้นผมก็จะเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ยันเยอรมันเพิ่มอีกต่างหาก สาบาน!

          รู้งี้นะ...จะตั้งใจเรียนภาษามากกว่านี้ ผมพึมพำกับตัวเองอย่างคนวิกลจริต เพราะผมรู้แล้วว่า การพูดได้หลายภาษา มันช่วยเพิ่มโอกาสในการจีบสาว เฮ๊ย ไม่ใช่ ๆ ๆ เพราะว่าการพูดได้หลายภาษามันดี มีประโยชน์มาก ยิ่งในอนาคต โลกเราถูกเชื่อมไว้ในแค่ปลายมือถือ ความสามารถในการพูดได้หลายภาษานี่แหละที่จะเป็นตัวสร้างโอกาสที่ดีในชีวิตมาก ๆ เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าวันไหนเพื่อนเกาหลี เพื่อนญี่ปุ่นจะมาแนะนำสาว ๆ ให้กับคุณ จะได้ไม่ต้องมาบ่นแบบผมว่า ‘รู้อะไรไม่สู้...รู้งี้’ ฮ่าฮ่าฮ่า


ติดตามเอ็นวายกู NYKU ได้ที่
Facebook - https://www.facebook.com/ny.kitchen.university
Instagram - https://www.instagram.com/ny.kitchen.university/
Dek-d.com - https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=2084075
Readawrite - https://www.readawrite.com/a/f8adf9586032bbb6987dad2152702cdd
Blockdit - https://www.blockdit.com/pages/5f662eb2b376190cc8f1520b

#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity

ลิ๊งค์ตอนเก่า ๆ ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่