แชร์ประสบการณ์ฝึกงานที่โดนดูถูกเพียงเพราะไม่ได้เรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง จนสามารถลบคำสบประมาท ได้รับการยอมรับในที่สุด

หัวข้อเรื่องอาจจะดูอลังการไปหน่อย แต่เราก็ตั้งใจจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตสักครั้งนึง
     อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ นี่คือประสบการณ์ที่ดีที่สุดของเราจริงๆ เนื้อหาอาจจะยาวไปนิด ขอเริ่มเล่าตั้งแต่การสัมภาษณ์และแบคกราว์ดรวมถึงการฝึกงานตั้งแต่วันแรกจนจบ เป็น Part เลยนะคะ  เริ่มเลยละกันเนอะ!

Part 1 แบคกราว์ดและการสัมภาษณ์

     เมื่อปี 2018 ขณะที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 4 ตามหลักสูตรที่เรียนก็คือทุกคนจะต้องฝึกงานในเทอมสุดท้าย และทางมหาวิทยาลัยก็จะมี List สถานประกอบการที่เราจะสามารถยื่นเรื่องขอไปฝึกงาน เราสามารถเลือกได้ 3 ที่ เป็นลำดับ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไปได้ทุกที่ที่เลือก เพราะเราจะต้องสัมภาษณ์กับอาจารย์ก่อน ว่าเรามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปที่นั่นไหม อีกทั้งถ้าเพื่อนๆเลือกที่เดียวกัน แต่โควต้ามีสำหรับนักศึกษา 1 ที่ เราก็จะต้องมาเเข่งขันกัน อารมณ์เหมือนสัมภาษณ์งานจริงๆนั้นแหละค่ะ

     ตอนแรกเราตั้งใจจะฝึกงานทางภาคใต้ เนื่องจากใกล้บ้าน เเละพ่อแม่ไม่อยากให้ไปไหนไกล แต่บังเอิญก่อนวันสัมภาษณ์กับทางอาจารย์ของหลักสูตร ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งโทรมาถามเป็นการส่วนตัวว่า "เราเลือกที่ไหนไปบ้าง"  เราเลยตอบตามนั้น
อาจารย์พูดต่อ ว่า "จริงๆแล้ว อาจารย์อยากแนะนำให้เราไปอีกที่หนึ่งนะ อยู่ทางภาคตะวันออก เป็นองค์กรฝรั่ง เป็นองค์กรใหญ่ที่พูดถึงแล้วคงไม่มีใครที่จะไม่รู้จัก เป็นอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ค่ายหนึ่ง (ขออนุญาตไม่เปิดเผยนะคะ) อาจารย์คิดว่าถ้าเราได้ไปเรียนรู้งานที่นี่ อนาคตจะไปได้ไกลกว่านี้แน่นอน"

     แต่ความรู้สึกตอนนั้นคือ เราไม่มั่นใจ เพราะถึงแม้ว่าจะสัมภาษณ์กับอาจารย์ผ่าน แต่เราก็ต้องสัมภาษณ์กับทางบริษัทด้วย อีกอย่างทั้งการสัมภาษณ์และการทำงานที่นั่นก็ต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และนี่คือจุดอ่อนที่สุดของเรา สื่อสารไม่ได้เลย ฟังก็ไม่เข้าใจ แต่อาจารย์กลับพูดว่า "อาจารย์เชื่อว่าเราทำได้" เราจึงตัดสินใจทำตามที่อาจารย์แนะนำ เพราะลึกๆแล้วเราก็แอบคิดว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ฝึกงานที่นี่ ความสามารถของเราก็คงจะพัฒนาแบบก้าวโดดแน่นอน แต่....ถ้าไม่ได้ ก็คงต้องเสียโอกาสอีกที่หนึ่งที่เราตั้งใจจะไปตั้งเเต่เเรก เพราะมีเพื่อนอีกหลายคนเลือกที่นี่ไว้เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เราเป็นคนประเภทกล้าได้กล้าเสียอยู่เเล้ว ลองดูสักครั้ง จะได้ไม่ต้องมารู้สึกเสียดายทีหลัง

     วันถัดไปเป็นวันที่สัมภาษณ์กับอาจารย์หลายๆท่านในหลักสูตร ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี รู้สึกชิวมาก เพราะเราไม่มีคู่แข่ง อาจเป็นเพราะ ไม่มีใครกล้าขอไปฝึกงานที่นี่ เพราะรู้ว่าต้องสัมภาษณ์อีกรอบกับทางบริษัท และอาจจะมีโอกาสที่จะไม่ได้ เพราะมีคู่แข่งเป็นเพื่อนๆจากมหาวิทยาลัยอื่น 
     เรามีเวลาเตรียมสัมภาษณ์กับทางบริษัทเพียง 2 วัน ตอนนั้นให้มาฝึกเรียนภาษาอังกฤษก็คงจะไม่ทัน เราเลยเขียนสคริปแนะนำตัวเอง พร้อมกับเตรียมคำตอบโดยการเดาว่าเขาน่าจะถามอะไรบ้าง จากนั้น ท่องจำเลยค่ะ

     และแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทาง HR ของบริษัทโทรมาสัมภาษณ์เบื้องต้น ให้เราแนะนำตัว แล้วถามคำถามอื่นไปอีกประมาณ 8-9 ข้อ แต่โชคดีที่พอเราตอบไม่ค่อยได้ เขาก็เปิดโอกาสให้ตอบเป็นภาษาไทย (ขอเรียกแทน HR ว่าคุณวายนะคะ) คุยกันเกือบ 1 ชั่วโมง คุณวายก็ถามว่า ถ้าผ่านรอบนี้ เขาจะส่งต่อให้ทาง Manager และคนที่จะเป็น Mentor อีกสองท่าน คิดว่าเราจะตอบคำถามและสื่อสารกับเขาได้ไหม? 
     เจอคำถามนี้ ถึงจะไม่ได้ก็ต้องตอบว่าได้แหละค่ะ หลังจากตอบเสร็จ เราเลยถามว่า "ครั้งนี้ไม่ใช่การสัมภาษณ์หรอคะ" คำตอบคือ "นี่คือการสัมภาษณ์ค่ะ และถ้าผ่านครั้งนี้ ก็จะต้องไปสัมภาษณ์อีกรอบกับทางแผนกที่เราจะเข้าไปฝึกงานด้วย"

และการสัมภาษณ์ครั้งที่สอง เราจะสัมภาษณ์ผ่าน Video conference ทางคุณวายก็ส่ง mail มาเรียบร้อย พร้อมทั้งนัดสัมภาษณ์อีก 3 วันข้างหน้า 
     ความรู้สึกตอนนั้นก็ งงๆ ค่ะ เพราะนี่เราเพิ่งสัมภาษณ์ผ่านรอบแรก เราควรดีใจ แต่ก็กังวลที่รู้ว่า สิ่งที่ตัดสินคือการสัมภาษณ์รอบที่ 2 
     และแล้ววันที่สัมภาษณ์ก็มาถึง เราเตรียมตัวและรออยู่หน้าจอก่อนเวลาสัมภาษณ์ครึ่งชั่วโมง ตื่นเต้นและเครียดมาก เราไม่ได้กังวลเรื่องการตอบคำถามเลยนะคะ แต่เรากลัวการใช้ภาษาอังกฤษมากๆ 

     เมื่อถึงเวลานัด ผู้สัมภาษณ์ก็มา วันนี้มีคนสัมภาษณ์  3 ท่านค่ะ คุณวาย ฝ่ายHR และพี่ที่จะเป็น Mentor อีก 2 ท่าน (ขอเรียกคุณวีกับคุณเอ็ม แล้วกันนะคะ) วันนั้นโชคดีที่ Manager ไม่ว่างเข้าสัมภาษณ์พอดี 
     สิ่งแรกเมื่อเจอหน้า คุณวีกับคุณเอ็มก็ให้เราแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ อันนี้เราก็จัดเต็มเลยค่ะ เพราะท่องสคิปมาเป็นย่างดีแล้ว (พูดทุกงานที่เคยทำ และทุกกิจกรรมที่เคยผ่านมาทั้งหมด เพราะคิดว่า เราคงคิดคำตอบเองตอนเขาถามไม่ได้แน่ๆ ก็เลยเตรียมมาพูดในช่วงแนะนำตัวให้หมด)
     จากนั้นก็เจอคำถามเชิงวิชาการเกี่ยวกับสายวิชาชีพที่เราเรียนมาประมาณ 5-6 ข้อ อ้ำๆอึ้งๆอยู่สักพัก ตอบได้เป็นคำๆ จนพี่ๆบอกว่า งั้นตอบเป็นภาษาไทยมาก็ได้  เฮ้ออออออ...ความรู้สึกเหมือนกลั้นหายใจมา 5 นาที แล้วเพิ่งได้สูดอากาศเข้าปอดเลยค่ะ โล่งมาก เพราะถ้าใช้ภาษาอังกฤษตลอดการสัมภาษณ์ เราคงตกรอบแน่ๆ

     จบคำถามวิชาการแล้วก็มาเจอคำถามเชิงจิตวิทยา สำหรับคนที่ไม่เคยสัมภาษณ์งานมากก่อน ก็ถือว่าเป็นโจทย์ยากใช้ได้เลยค่ะ

     คำถามเเรก "ภาษาอังกฤษเราไม่แข็งแรงขนาดนี้ คิดว่ามาที่นี่แล้วจะไหวหรอ เพราะทุกอย่างที่นี่ ทั้ง report, presentation ใช้แต่ภาษาอังกฤษทั้งนั้น แล้วเราจะจัดการยังไงกับปัญหานี้"
     เราตอบว่า "ตอนนี้ยอมรับค่ะว่าตัวเองมีปัญหาด้านภาษามากๆ และถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาดที่ละเลยเรื่องนี้มาโดยตลอด แต่หนูยังมีเวลาอีก 3 เดือนก่อนจะไปฝึกงาน ดังนั้น ถ้าหนูได้รับโอกาสในครั้งนี้ อีก 3 เดือนคุณวีกับคุณเอ็มจะได้เห็นพัฒนาการของหนูอย่างแน่นอนค่ะ"

     คำถามที่ 2 "ทุกคนที่มาฝึกงานที่นี่ เราจะไม่นับว่าเป็นเด็กฝึกงานนะ แต่เราจะถือว่าคุณเป็นพนักงานคนหนึ่งของเรา คุณต้องเรียนรู้และทำทุกอย่างให้ได้เหมือนกับพนักงานคนอื่นๆ รวมถึงรับแรงกดดันจากงาน คุณจะรับไหวไหม?
     เราตอบว่า “ไหวค่ะ เพราะเจตนาในการฝึกงานของหนูคือ เรียนรู้ทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เพื่อความพร้อมก่อนที่จะจบแล้วออกไปทำงานจริง และนี่ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากๆ หากทุกคนจะปฏิบัติกับหนูเหมือนกับเป็นพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่า ที่นี่ไม่ใช่สนามซ้อม แต่หนูต้องลงสนามจริง หนูมั่นใจว่าที่นี่จะให้ประสบการณ์ในการเรียนรู้และการทำงาน รวมถึงความรับผิดชอบที่มากมาย ซึ่งแตกต่างจากการอยู่ในห้องเรียน”

     คำถามที่ 3 “หากคุณวี คุณเอ็ม หรือ Manager มอบหมายงานให้คุณทำ แล้วเมื่อคุณทำงานมาส่ง เขาตอบคุณว่า งานนี้ใช้ไม่ได้พร้อมฉีกงานทิ้งลงถังขยะ คุณจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้”
      เราตอบว่า “หนูจะถามค่ะว่างานนี้ผิดพลาดหรือต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง แล้วทำมาส่งใหม่”
     คุณเอ็มถามต่อว่า “แล้วถ้ามาส่งใหม่แล้วโดนเหมือนเดิมอีกล่ะ”
     เราตอบว่า “หนูก็จะแก้ไขและนำมาส่งใหม่จนกว่ามันจะถูกต้องและสมบูรณ์ที่สุดค่ะ”

     คำถามที่ 4 “ถ้าเราได้มาฝึกงานที่นี่ แล้วถูกประเมินว่าไม่ผ่านและไม่เซ็นรับรองการผ่านงานให้ล่ะ?”
     เราตอบว่า “ถ้าหนูได้รับโอกาสจากทุกท่านมาฝึกงานที่นี่ หลังจากนั้นมันก็คือความรับผิดชอบของหนูที่จะต้องแสดงศักยภาพของตัวเองให้ทุกท่านได้เห็น และหากประเมินแล้ว หนูไม่มีคุณสมบัติหรือศักยภาพมากเพียงพอที่จะผ่านงานนี้ หนูก็พร้อมยอมรับผล และรับผิดชอบด้วยการเรียนจบช้ากว่าเดิม 1 เทอม เพื่อฝึกงานใหม่หลังจากนั้น แต่ทั้งนี้ หากหนูได้รับโอกาสนั้นจริงๆ หนูก็พร้อมที่จะเรียนและเต็มกับทุกงานที่หนูได้รับมอบหมายอย่างแน่นอนค่ะ”

     คำถามในการสัมภาษณ์หมดเพียงเท่านี้ แล้วคุณวีกับคุณเอ็มก็พูดว่า “ไม่ว่าการสัมภาษณ์ครั้งนี้เราจะผ่านหรือไม่ แต่ก็อยากให้คุณเก็บสิ่งดีๆเหล่านี้เอาไว้ คำถามไหนที่ไม่รู้คำตอบ ก็ขอให้ซื่อสัตย์ พูดความจริง ไม่รู้ก็คือไม่รู้ อย่าอ้างหรือตอบไปเรื่อย เพราะผู้สัมภาษณ์เขาสัมผัสได้ (ประเด็นนี้คือ มีคำถามหนึ่งที่เป็นเชิงวิชาการ แล้วเราไม่แน่ใจในคำตอบ เราเลยตอบไปว่า “หนูไม่แน่ใจในคำตอบข้อนี้ค่ะ และถ้าหนูมีโอกกาสได้ไปฝึกงานที่นี่ วันแรกที่หนูเข้าไปฝึกงาน หนูจะไปพร้อมกับตอบของคำถามข้อนี้ค่ะ)”

     คุณวีกับคุณเอ็มฝากทิ้งท้ายว่า ภาษาอังกฤษสำคัญมากไม่ว่าจะได้หรือไม่ ก็ขอให้คุณไปเพิ่มทักษะด้านนี้ให้มากๆ
     หลังจากบทสนทนานี้ คุณวายฝ่าย HR พูดขึ้นมาว่า “วันก่อนหนูสื่อสารภาษาอังกฤษกับพี่ได้ดีกว่านี้มากๆเลยนะ วันนี้หนูตื่นเต้นใช่ไหม” (ได้ยินประโยคนี้ก็แอบบ งง นิดหน่อย เพราะจริงๆแล้ววันนี้เราเตรียมตัวมาดีกว่าวันก่อนตั้งเยอะ) เพิ่งมารู้ทีหลังว่าคุณวายทั้งช่วยและเชียร์เรามาโดยตลอด

     7 วันหลังจากการสัมภาษณ์ คุณวายก็โทรมาแจ้งว่า เราผ่านการสัมภาษณ์และรับมาฝึกงาน ให้เรายืนยันกลับทาง Mail วินาทีนั้นคือ ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเราจะผ่าน ทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้น และกังวลเป็นอย่างมาก 3 เดือนที่เหลือนี้ เราจะทำยังไงกับภาษาของเรานะ 

     ตอนนั้นมีเวลาน้อยมากค่ะ เพราะจะต้องทำงานวิจัยให้จบก่อนไปฝึกงาน ไหนจะสอบ แบ่งเวลาเตรียมตัวเรื่องภาษา เป็นช่วงเวลา 3 เดือนที่เรามีเวลานอนแค่วันละ 4 ชั่วโมง ปิดเทอมคือไม่ได้กลับบ้านเลย จำได้ว่าวันสุดท้ายที่สอบเสร็จ ตอนเย็นเราต้องเดินทางขึ้นมาภาคตะวันออก เพราะอีกวันคือวันแรกที่เราต้องไปรายงานตัวฝึกงาน  

(เดี๋ยวมาต่อ Part 2 นะคะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่