ศบค.เผยไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 5 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสม 3,480 ราย
วันนี้ (15 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายงานถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า....☂️
ล่าสุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ (15 ก.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 5 ราย เป็นผู้เดินทางมาจาก ญี่ปุ่น 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย กาตาร์ 1 ราย บาห์เรน 1 ราย และ ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย
ส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,480 ราย หายป่วยแล้ว 3,315 ราย โดยยังมีผู้ป่วยที่รักษาอาการอยู่ 107 คน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม มีผู้เสียชีวิตรวม 58 ราย
สำหรับรายละเอียดผู้ป่วยใหม่ 5 ราย จะรายงานให้ทราบต่อไป....🌂
ญี่ปุ่น 1 ราย ชายไทย อายุ 33 ปี รับจ้าง ถึงไทย 9 ก.ย. 63 เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี วันที่ 12 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
กาตาร์ 1 ราย ชาย สัญชาติอิหร่าน อายุ 35 ปี ธุรกิจส่วนตัว ถึงไทย 13 ก.ย. 63 เข้าพัก Alternative Hospital Quarantine กรุงเทพมหานคร 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
บาห์เรน 1 ราย ชายไทย อายุ 63 ปี พนักงานบริษัท ถึงไทย 30 ส.ค. 63 เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี 14 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย ชาย สัญชาติอังกฤษ อายุ 40 ปี พนักงานบริษัท ถึงไทย 1 ก.ย. 63 เข้าพัก Aternative State Quarantine กรุงเทพมหานคร 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
ปากีสถาน 1 ราย ชายไทย อายุ 23 ปี นักศึกษา ถึงไทย 13 ก.ย. 63 ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
https://www.sanook.com/news/8252735/
"
อัคบาร์" แข้งบุรีรัมย์ หายจากโควิด-19 แล้ว
อัคบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ แข้งติดโควิดของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หายจากโควิด-19 แล้ว ส่วนทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันต่อไป ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข
กรณีที่ อัคบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ แข้งชาวอุซเบกิสถานของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดโควิด-19 ส่งผลให้สมาชิกของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และเลื่อนโปรแกรมการแข่งขัน
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก "ลุงเนวิน" เปิดเผยผลตรวจของแข้งรายนี้ว่า หายจากโควิด-19 แล้ว และหลังจากนี้ก็จะเตรียมกักตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
"ผลการตรวจหาเชื้อ ของ "อัคบาร์" ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ปรากฏว่า ไม่มีเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 แล้ว
แต่ นักฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งทีม ยังต้องกักตัวต่อไปให้ครบ 14 วัน ตามมาตรฐานสาธารณสุข เพื่อส่วนร่วม
บุรีรัมย์ ทำได้"
https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/1930221
หมอธีระ'เผยอีก2 วันพม่าแซงไทย เตือนนโยบายภาครัฐอย่าเปลี่ยนไทยเป็นแดนดงโรค
15 ก.ย.63- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความถึงการระบาดโควิด 19 ผ่านเฟซบุ๊กว่า สถานการณ์ทั่วโลก 15 กันยายน 2563 ติดเพิ่มอีก 250,140 คน ยอดติดเชื้อรวมตอนนี้ 29,403,983 คน ยอดตายรวม 931,639 คน
อเมริกา ติดเพิ่ม 37,809 คน รวม 6,744,028 คนอินเดีย ติดเพิ่ม 81,911 คน รวม 4,926,914 คน ตายเพิ่มเกินพัน
บราซิล ติดเพิ่ม 15,155 คน รวม 4,345,610 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,509 คน รวม 1,068,320 คน
อันดับ 5-10 ยังคงเป็นเปรู โคลอมเบีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สเปน และอาร์เจนตินา ติดกันเพิ่มราวพันถึงหมื่นคนต่อวัน ที่น่าห่วงตอนนี้คือเปรู ติดเพิ่มไปถึง 11,028 คน ส่วนแอฟริกาใต้ตอนนี้กดมาต่ำกว่าพันนิดหน่อย
ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ อิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ยังติดกันหลักพันถึงหลายพันต่อวัน บางประเทศประชาชนเรียกร้องให้รัฐล็อคดาวน์เมืองเพื่อคุมการระบาดอีกครั้ง
หลายประเทศในยุโรป รวมถึงแคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเมียนมาร์ ติดกันหลักร้อยถึงหลายร้อย
ส่วนจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และออสเตรเลียติดกันหลักสิบ และนิวซีแลนด์ติดหลักหน่วย
...อินเดียจะทะลุ 5,000,000 คนพรุ่งนี้
...เมียนมาร์ล่าสุดเพิ่มอีกถึง 263 คน ยอดติดเชื้อรวมจะแซงไทยในอีก 2 วันข้างหน้า
...ส่วนทั่วโลกจะเลย 30,000,000 คนในอีกไม่ถึง 3 วัน
ฉากทัศน์ที่ไทยจะเลือกเป็นในอนาคตอันใกล้นั้น มีปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลอยู่ 3 ประการ ได้แก่....🌂
1. มียารักษาที่มีประสิทธิภาพไหม?
2. มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพไหม?
3. มีนโยบายเสี่ยงต่อการเปิดรับเชื้อเข้ามามากน้อยเพียงใด?
ในระยะเวลาอันใกล้ อาจมีวัคซีนป้องกันได้ แต่ส่วนตัวแล้วคาดว่าจะมีประสิทธิภาพที่ไม่สูงนัก น่าจะไม่เกิน 50-60% และอาจต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะผลิตและแจกจ่ายเพื่อฉีดได้ โดยจะไม่พอสำหรับทุกคน อาจได้เฉพาะกลุ่มเสี่ยงก่อน ส่วนยายังไม่เห็นแนวโน้มเท่าใดนัก
หากพิจารณาการคาดการณ์ข้างต้นแล้ว จะพบว่า ปัจจัยที่สามคือเรื่องนโยบายเสี่ยงต่อการเปิดรับเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศนั้นคือ ตัวโจ๊กเกอร์ที่แท้จริงที่จะเปลี่ยนเกมส์ และเปลี่ยนชะตาในระยะยาว
ถ้าไทยเปลี่ยนสนามของตัวเองให้เหมือนหลายประเทศทั่วโลก ที่จะเป็นแดนดงโรค หรือบางคนชอบใช้คำหรูๆ ดูดี๊ดีว่า ดินแดนที่มี COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น (endemic area) การใช้ชีวิตของประชาชนในอนาคต ท่ามกลางการที่ยังไม่มียารักษาที่มีประสิทธิภาพ และวัคซีนมีไม่ทั่วถึงและยังไม่ได้ประสิทธิภาพพอที่จะกันการระบาดในระดับชุมชนได้นั้น จะเป็นเกมส์ใช้ชีวิตแบบ "รัสเซียนรูเลตต์" ทั้งแบบตั้งใจและแบบตกกระไดพลอยโจน
กล่าวคือ ตัวใครตัวมัน หากป้องกันตัวเองได้ก็รอดไป ส่วนใครไม่ป้องกันตัวเอง รักอิสระเสรี ชอบเสี่ยง ก็มีโอกาสติดเชื้อ และหากแจ็คพอตเป็นรุนแรงและตาย ก็ถือซะว่าโชคร้าย
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่จบแค่นั้น เพราะหากไวรัสยังคงความสามารถในการแพร่กระจายได้เร็วเช่นนี้ คนที่พยายามป้องกันตัวอยู่เสมอตามวิสัยที่ตนเองทำได้นั้นจะยังคงได้รับผลกระทบจากคนที่ละเลยเพิกเฉยแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะการป้องกันแต่ละวิธีไม่ใช่ว่าได้ผล 100% การแพร่จึงยังเป็นไปในลักษณะแบบปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง และการระบาดหนักจะปะทุขึ้นมาเป็นระลอกๆ ตราบใดที่วัคซีนยังไม่สามารถกระจายไปได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อยหลายต่อหลายปี...
การสูญเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีโอกาสสูงเกินกว่าที่คาด และความขาดแคลนทรัพยากรจะตามมา
...ฉากที่กล่าวถึงนี้ จะไม่เกิดขึ้น หากสามารถคุมไม่ให้เกิดนโยบายเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไทย ไปเป็นแดนดงโรคระยะยาว
นโยบายเสี่ยงที่กล่าวถึงคือ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงทั่วโลกเช่นนี้
ถามว่าจะพิจารณาเปิดรับได้เมื่อใด?
คำตอบคือ เมื่อสถานการณ์การระบาดทั่วโลกดีขึ้น และเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มได้อาวุธมาคุมการระบาดของประเทศตนเองได้ระยะหนึ่ง
และที่สำคัญคือ ต่อให้การระบาดดีขึ้น แต่ไวรัสจะยังไม่หายไปจากโลก ดังนั้นระบบ กลไก และรูปแบบของการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเดินทางของประเทศ และของโลกนั้น จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปก่อนจะดำเนินการ
ระบบ กลไก และรูปแบบเดิมในอดีต จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนทุกคนในสังคม การท่องเที่ยวเชิงกำกับจำเป็นต้องได้รับการคิด วางแผน และนำไปใช้วงกว้าง ควบคู่ไปกับระบบป้องกัน และประกันความเสี่ยง ทั้งต่อตัวนักท่องเที่ยว ตัวผู้ประกอบการ ตัวผู้ให้บริการ และต่อสังคม...ไม่ใช่แค่ประกันสุขภาพตัวนักท่องเที่ยวเวลาเจ็บป่วยไม่สบายแบบที่เราเห็นกันอยู่
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแต่ละเคสที่ติดเชื้อโรคติดต่อต่างๆ นั้น มันมากเกินกว่าคนคนเดียว อดีตที่ผ่านมาเหมือนทำลืมๆ หลับตาไปข้างนึง พอเสียหายต่อสังคม ก็ต้องนำงบประมาณของประเทศซึ่งเป็นของทุกคนมาใช้เพื่อสอบสวนโรค คัดกรองกลุ่มคนสัมผัส กักตัว รวมถึงดูแลรักษา ทั้งๆ ที่รายได้ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวแต่ละคนนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสังคมทั้งหมด
การถัวเฉลี่ยความเสี่ยงแบบคิดว่า รับมาเยอะก็ได้เงินเยอะ ก็ถือซะว่าชดเชยกับความเสี่ยงการระบาดที่เกิดขึ้นมานั้น...บอกตรงๆ ว่า หลักคิดนี้มันใช้ไม่ได้กับภาวะโรคระบาดที่แพร่เร็ว และส่งผลกระทบวงกว้างเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าจะพบยาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ ราคาไม่แพง และสถานการณ์การระบาดดีขึ้นจนคุมได้ดีในภาพรวมของโลกครับ
สถานการณ์ปัจจุบัน ขอให้เราทุกคนรักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวอยู่เสมอนะครับ
ประเทศไทยต้องทำได้
ด้วยรักต่อทุกคน
http://www.thaipost.net/main/detail/77478
เปิดประเทศก็เสี่ยงเป็นดงโควิดตามที่คุณหมอบอก
ปิดประเทศก็มีคนต่อว่ารัฐบาลไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลถูกบีบอยู่ตรงกลาง ......😃
แต่..ทุกวันนี้ประชาชนคนรายได้น้อยก็ยังกินอิ่มนอนหลับสบาย
คนที่ต้องลำบากคือคนที่ทำงานกับบริษัท โรงงานต่างๆ เรียกว่าระดับกลางๆ
ที่ต้องอดทน
ได้ข่าวว่ารัฐบาลมีให้งานทำเป็นล้านตำแหน่ง
ซีพีก็จะรับคนงานเพิ่ม
ปตท.ก็รับคนเข้าทำงาน
คิดว่าไม่น่าตกงานมากเป็นล้านคนอย่างที่บอก เพราะนั่นคือช่วงโควิดระบาดแรงๆ
ตอนนี้โฆษกรัฐบาลออกมาแย้ง ประธานแรงงานในประเทศก็ยอมรับแล้วว่าคนตกงานไม่น่าถึงล้านคนตามนั้นค่ะ
สู้ๆกันต่อไปนะคะ.....
🔴มาลาริน/15ก.ย.ไทยพบโควิด 5 ราย จากตปท. อัคบาร์บุรีรัมย์ หายดีแล้ว หมอธีระ'เผยอีก2 วันพม่าแซงไทย รบ.อย่าให้ไทยเป็นดงโรค
วันนี้ (15 ก.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รายงานถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทย ว่า....☂️
ล่าสุด สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ (15 ก.ย.) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 5 ราย เป็นผู้เดินทางมาจาก ญี่ปุ่น 1 ราย ปากีสถาน 1 ราย กาตาร์ 1 ราย บาห์เรน 1 ราย และ ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย
ส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 3,480 ราย หายป่วยแล้ว 3,315 ราย โดยยังมีผู้ป่วยที่รักษาอาการอยู่ 107 คน ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม มีผู้เสียชีวิตรวม 58 ราย
สำหรับรายละเอียดผู้ป่วยใหม่ 5 ราย จะรายงานให้ทราบต่อไป....🌂
ญี่ปุ่น 1 ราย ชายไทย อายุ 33 ปี รับจ้าง ถึงไทย 9 ก.ย. 63 เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี วันที่ 12 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
กาตาร์ 1 ราย ชาย สัญชาติอิหร่าน อายุ 35 ปี ธุรกิจส่วนตัว ถึงไทย 13 ก.ย. 63 เข้าพัก Alternative Hospital Quarantine กรุงเทพมหานคร 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
บาห์เรน 1 ราย ชายไทย อายุ 63 ปี พนักงานบริษัท ถึงไทย 30 ส.ค. 63 เข้าพัก State Quarantine จ.ชลบุรี 14 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
ซาอุดีอาระเบีย 1 ราย ชาย สัญชาติอังกฤษ อายุ 40 ปี พนักงานบริษัท ถึงไทย 1 ก.ย. 63 เข้าพัก Aternative State Quarantine กรุงเทพมหานคร 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
ปากีสถาน 1 ราย ชายไทย อายุ 23 ปี นักศึกษา ถึงไทย 13 ก.ย. 63 ผ่านการคัดกรอง ณ ด่านควบคุมโรค 13 ก.ย. 63 ผลตรวจพบเชื้อ
https://www.sanook.com/news/8252735/
"อัคบาร์" แข้งบุรีรัมย์ หายจากโควิด-19 แล้ว
อัคบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ แข้งติดโควิดของบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หายจากโควิด-19 แล้ว ส่วนทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันต่อไป ตามมาตรการกระทรวงสาธารณสุข
กรณีที่ อัคบาร์ อิสมาตุลลาเยฟ แข้งชาวอุซเบกิสถานของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ติดโควิด-19 ส่งผลให้สมาชิกของทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องเข้ารับการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน และเลื่อนโปรแกรมการแข่งขัน
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก "ลุงเนวิน" เปิดเผยผลตรวจของแข้งรายนี้ว่า หายจากโควิด-19 แล้ว และหลังจากนี้ก็จะเตรียมกักตัวตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขต่อไป
"ผลการตรวจหาเชื้อ ของ "อัคบาร์" ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2563 ปรากฏว่า ไม่มีเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 แล้ว
แต่ นักฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทั้งทีม ยังต้องกักตัวต่อไปให้ครบ 14 วัน ตามมาตรฐานสาธารณสุข เพื่อส่วนร่วม
บุรีรัมย์ ทำได้"
https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/1930221
หมอธีระ'เผยอีก2 วันพม่าแซงไทย เตือนนโยบายภาครัฐอย่าเปลี่ยนไทยเป็นแดนดงโรค
15 ก.ย.63- รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความถึงการระบาดโควิด 19 ผ่านเฟซบุ๊กว่า สถานการณ์ทั่วโลก 15 กันยายน 2563 ติดเพิ่มอีก 250,140 คน ยอดติดเชื้อรวมตอนนี้ 29,403,983 คน ยอดตายรวม 931,639 คน
อเมริกา ติดเพิ่ม 37,809 คน รวม 6,744,028 คนอินเดีย ติดเพิ่ม 81,911 คน รวม 4,926,914 คน ตายเพิ่มเกินพัน
บราซิล ติดเพิ่ม 15,155 คน รวม 4,345,610 คน
รัสเซีย ติดเพิ่ม 5,509 คน รวม 1,068,320 คน
อันดับ 5-10 ยังคงเป็นเปรู โคลอมเบีย เม็กซิโก แอฟริกาใต้ สเปน และอาร์เจนตินา ติดกันเพิ่มราวพันถึงหมื่นคนต่อวัน ที่น่าห่วงตอนนี้คือเปรู ติดเพิ่มไปถึง 11,028 คน ส่วนแอฟริกาใต้ตอนนี้กดมาต่ำกว่าพันนิดหน่อย
ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร อิตาลี เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ อิหร่าน บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ยังติดกันหลักพันถึงหลายพันต่อวัน บางประเทศประชาชนเรียกร้องให้รัฐล็อคดาวน์เมืองเพื่อคุมการระบาดอีกครั้ง
หลายประเทศในยุโรป รวมถึงแคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเมียนมาร์ ติดกันหลักร้อยถึงหลายร้อย
ส่วนจีน สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และออสเตรเลียติดกันหลักสิบ และนิวซีแลนด์ติดหลักหน่วย
...อินเดียจะทะลุ 5,000,000 คนพรุ่งนี้
...เมียนมาร์ล่าสุดเพิ่มอีกถึง 263 คน ยอดติดเชื้อรวมจะแซงไทยในอีก 2 วันข้างหน้า
...ส่วนทั่วโลกจะเลย 30,000,000 คนในอีกไม่ถึง 3 วัน
ฉากทัศน์ที่ไทยจะเลือกเป็นในอนาคตอันใกล้นั้น มีปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลอยู่ 3 ประการ ได้แก่....🌂
1. มียารักษาที่มีประสิทธิภาพไหม?
2. มีวัคซีนป้องกันที่มีประสิทธิภาพไหม?
3. มีนโยบายเสี่ยงต่อการเปิดรับเชื้อเข้ามามากน้อยเพียงใด?
ในระยะเวลาอันใกล้ อาจมีวัคซีนป้องกันได้ แต่ส่วนตัวแล้วคาดว่าจะมีประสิทธิภาพที่ไม่สูงนัก น่าจะไม่เกิน 50-60% และอาจต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะผลิตและแจกจ่ายเพื่อฉีดได้ โดยจะไม่พอสำหรับทุกคน อาจได้เฉพาะกลุ่มเสี่ยงก่อน ส่วนยายังไม่เห็นแนวโน้มเท่าใดนัก
หากพิจารณาการคาดการณ์ข้างต้นแล้ว จะพบว่า ปัจจัยที่สามคือเรื่องนโยบายเสี่ยงต่อการเปิดรับเชื้อจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศนั้นคือ ตัวโจ๊กเกอร์ที่แท้จริงที่จะเปลี่ยนเกมส์ และเปลี่ยนชะตาในระยะยาว
ถ้าไทยเปลี่ยนสนามของตัวเองให้เหมือนหลายประเทศทั่วโลก ที่จะเป็นแดนดงโรค หรือบางคนชอบใช้คำหรูๆ ดูดี๊ดีว่า ดินแดนที่มี COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่น (endemic area) การใช้ชีวิตของประชาชนในอนาคต ท่ามกลางการที่ยังไม่มียารักษาที่มีประสิทธิภาพ และวัคซีนมีไม่ทั่วถึงและยังไม่ได้ประสิทธิภาพพอที่จะกันการระบาดในระดับชุมชนได้นั้น จะเป็นเกมส์ใช้ชีวิตแบบ "รัสเซียนรูเลตต์" ทั้งแบบตั้งใจและแบบตกกระไดพลอยโจน
กล่าวคือ ตัวใครตัวมัน หากป้องกันตัวเองได้ก็รอดไป ส่วนใครไม่ป้องกันตัวเอง รักอิสระเสรี ชอบเสี่ยง ก็มีโอกาสติดเชื้อ และหากแจ็คพอตเป็นรุนแรงและตาย ก็ถือซะว่าโชคร้าย
แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่จบแค่นั้น เพราะหากไวรัสยังคงความสามารถในการแพร่กระจายได้เร็วเช่นนี้ คนที่พยายามป้องกันตัวอยู่เสมอตามวิสัยที่ตนเองทำได้นั้นจะยังคงได้รับผลกระทบจากคนที่ละเลยเพิกเฉยแบบตกกระไดพลอยโจน เพราะการป้องกันแต่ละวิธีไม่ใช่ว่าได้ผล 100% การแพร่จึงยังเป็นไปในลักษณะแบบปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้อง และการระบาดหนักจะปะทุขึ้นมาเป็นระลอกๆ ตราบใดที่วัคซีนยังไม่สามารถกระจายไปได้อย่างทั่วถึง ซึ่งจะใช้เวลาอย่างน้อยหลายต่อหลายปี...
การสูญเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีโอกาสสูงเกินกว่าที่คาด และความขาดแคลนทรัพยากรจะตามมา
...ฉากที่กล่าวถึงนี้ จะไม่เกิดขึ้น หากสามารถคุมไม่ให้เกิดนโยบายเสี่ยงที่จะเปลี่ยนไทย ไปเป็นแดนดงโรคระยะยาว
นโยบายเสี่ยงที่กล่าวถึงคือ การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดที่รุนแรงทั่วโลกเช่นนี้
ถามว่าจะพิจารณาเปิดรับได้เมื่อใด?
คำตอบคือ เมื่อสถานการณ์การระบาดทั่วโลกดีขึ้น และเมื่อประเทศต่างๆ เริ่มได้อาวุธมาคุมการระบาดของประเทศตนเองได้ระยะหนึ่ง
และที่สำคัญคือ ต่อให้การระบาดดีขึ้น แต่ไวรัสจะยังไม่หายไปจากโลก ดังนั้นระบบ กลไก และรูปแบบของการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเดินทางของประเทศ และของโลกนั้น จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปก่อนจะดำเนินการ
ระบบ กลไก และรูปแบบเดิมในอดีต จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนทุกคนในสังคม การท่องเที่ยวเชิงกำกับจำเป็นต้องได้รับการคิด วางแผน และนำไปใช้วงกว้าง ควบคู่ไปกับระบบป้องกัน และประกันความเสี่ยง ทั้งต่อตัวนักท่องเที่ยว ตัวผู้ประกอบการ ตัวผู้ให้บริการ และต่อสังคม...ไม่ใช่แค่ประกันสุขภาพตัวนักท่องเที่ยวเวลาเจ็บป่วยไม่สบายแบบที่เราเห็นกันอยู่
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากแต่ละเคสที่ติดเชื้อโรคติดต่อต่างๆ นั้น มันมากเกินกว่าคนคนเดียว อดีตที่ผ่านมาเหมือนทำลืมๆ หลับตาไปข้างนึง พอเสียหายต่อสังคม ก็ต้องนำงบประมาณของประเทศซึ่งเป็นของทุกคนมาใช้เพื่อสอบสวนโรค คัดกรองกลุ่มคนสัมผัส กักตัว รวมถึงดูแลรักษา ทั้งๆ ที่รายได้ที่ได้มาจากนักท่องเที่ยวแต่ละคนนั้น มันเทียบกันไม่ได้เลยกับความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อสังคมทั้งหมด
การถัวเฉลี่ยความเสี่ยงแบบคิดว่า รับมาเยอะก็ได้เงินเยอะ ก็ถือซะว่าชดเชยกับความเสี่ยงการระบาดที่เกิดขึ้นมานั้น...บอกตรงๆ ว่า หลักคิดนี้มันใช้ไม่ได้กับภาวะโรคระบาดที่แพร่เร็ว และส่งผลกระทบวงกว้างเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จนกว่าจะพบยาและวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ เข้าถึงได้ ราคาไม่แพง และสถานการณ์การระบาดดีขึ้นจนคุมได้ดีในภาพรวมของโลกครับ
สถานการณ์ปัจจุบัน ขอให้เราทุกคนรักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวอยู่เสมอนะครับ
ประเทศไทยต้องทำได้
ด้วยรักต่อทุกคน
http://www.thaipost.net/main/detail/77478
เปิดประเทศก็เสี่ยงเป็นดงโควิดตามที่คุณหมอบอก
ปิดประเทศก็มีคนต่อว่ารัฐบาลไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ
รัฐบาลถูกบีบอยู่ตรงกลาง ......😃
แต่..ทุกวันนี้ประชาชนคนรายได้น้อยก็ยังกินอิ่มนอนหลับสบาย
คนที่ต้องลำบากคือคนที่ทำงานกับบริษัท โรงงานต่างๆ เรียกว่าระดับกลางๆ
ที่ต้องอดทน
ได้ข่าวว่ารัฐบาลมีให้งานทำเป็นล้านตำแหน่ง
ซีพีก็จะรับคนงานเพิ่ม
ปตท.ก็รับคนเข้าทำงาน
คิดว่าไม่น่าตกงานมากเป็นล้านคนอย่างที่บอก เพราะนั่นคือช่วงโควิดระบาดแรงๆ
ตอนนี้โฆษกรัฐบาลออกมาแย้ง ประธานแรงงานในประเทศก็ยอมรับแล้วว่าคนตกงานไม่น่าถึงล้านคนตามนั้นค่ะ
สู้ๆกันต่อไปนะคะ.....