ไทยพบผู้ป่วยโควิดเพิ่ม 7 ราย เป็นชาวต่างชาติ-เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งหมด รักษาหายอีก 2 ราย
ศบค. เผย ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 7 ราย เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด เดินทางจากอินโดนีเซีย 1 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย รัสเซีย 2 ราย อินเดีย 2 ราย และบังกลาเทศ 1 ราย ทั้งหมดเป็นต่างชาติ พักอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ และวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 2 ราย
วันนี้ (5 ก.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักใน State Quarantine เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ประกอบด้วย ชายชาวบราซิล เดินทางมาจากอินโดนีเซีย 1 ราย นักเรียนหญิงชาวอเมริกัน เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย ชายและหญิงสัญชาติรัสเซีย เดินทางมาจากรัสเซียรวม 2 ราย ชายและหญิงสัญชาติอินเดีย เดินทางมาจากอินเดียรวม 2 ราย และชายชาวบังกลาเทศ เดินทางมาจากบังกลาเทศ 1 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,438 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,445 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 500 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,279 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 101 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย
ประวัติผู้ป่วยรายใหม่ เดินทางมาจากอินโดนีเซีย 1 ราย เป็นชาย สัญชาติบราซิล อายุ 40 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 20 ส.ค. (เที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 1 ราย) เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
สหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นนักเรียนหญิง สัญชาติอเมริกัน อายุ 16 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 27 ส.ค. เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
รัสเซีย 2 ราย เป็นนักเรียนชาย สัญชาติรัสเซีย อายุ 18 ปี และหญิง สัญชาตรัสเซีย อายุ 45 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
อินเดีย 2 ราย เป็นชายสัญชาติอินเดีย อายุ 43 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. และนักเรียนหญิง สัญชาติอินเดีย อายุ 14 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ทั้งหมดเข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 ก.ย ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
บังคลาเทศ 1 ราย เป็นชาย สัญชาติบังคลาเทศ อายุ 24 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 2 ก.ย. เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
https://mgronline.com/qol/detail/9630000091031
ยกการ์ดให้สูง! พบยอดผู้สัมผัสใกล้ชิดดีเจหนุ่มเพิ่มเป็น 708 ราย เสี่ยงสูง 140 ลุ้น 1 รายจาก "เฟิร์สคาเฟ่" ถ.ข้าวสาร เข้าเกณฑ์ PUI
อธิบดีกรมควบคุมโรค แจงยอดผู้สัมผัสใกล้ชิดดีเจหนุ่มผู้ต้องขังที่ติดโควิด-19 เพิ่มเป็น 708 ราย เสี่ยงสูง140 ราย ชี้ผลตรวจบางส่วนออกแล้วไม่พบเชื้อ ลุ้นผลผู้สัมผัสเสี่ยงสูงร้านเฟิร์ส คาเฟ่ ถนนข้าวสาร 1 รายมีอาการเข้าเกณฑ์ PUI ส่วนแรงงานต่างด้าวเสี่ยงสูงหลบหนีเมื่อวานติดตามตัวได้แล้ว พร้อมกำชับขอประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง
วันนี้ (5 ก.ย.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ข้อมูลล่าสุดว่า ผู้ป่วยยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง อยู่ในการดูแลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ส่วนการสอบสวนเพิ่มเติม ขณะนี้พบผู้สัมผัสเพิ่มขึ้น สะสมอยู่ที่ 708 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 140 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 568 ราย เมื่อแยกเป็นรายกลุ่ม แบ่งเป็น ที่พำนักพักที่คอนโด มีผู้สัมผัส 6 ราย ทั้งหมดตรวจแล้วไม่พบเชื้อ กลุ่มที่ไปศาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม มีผู้สัมผัส 493 ราย แบ่งเป็นเสี่ยงสูง 15 ราย ตรวจแล้ว 11 ราย ไม่พบเชื้อ เสี่ยงต่ำ 478 ราย ตรวจแล้ว 146 ราย ไม่พบเชื้อ ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลตรวจ และอยู่ระหว่างเฝ้าระวัง 14 วัน กลุ่มโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีผู้สัมผัส 6 ราย ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ อยู่ระหว่างเฝ้าระวัง 14 วัน
กลุ่มทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง มีผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมระหว่างต้องกัก 36 คน ตรวจแล้วไม่พบเชื้อฯ รอกักตัวให้ครบตามกำหนด 14 วัน และต้องตรวจซ้ำอีก 2 ครั้ง และอีกกลุ่มที่เป็นเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเรือนจำ ซึ่งมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 24 ราย แยกกักแล้ว อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างส่งตรวจ และเสี่ยงต่ำ 52 ราย ให้เฝ้าระวัง 14 วัน โดยปฏิบัติตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กลุ่มเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีผู้สัมผัส 8 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด โดยเป็นผู้ต้องขังที่นั่งรถโดยสารร่วมกัน ตรวจแล้วไม่พบเชื้อ
นอกจากนี้ กลุ่มที่ทำงานร้าน 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 3 มีผู้สัมผัส 14 ราย เสี่ยงสูงทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลแล็บ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ติดต่อเข้ามารับการคัดกรองที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือประเมินความเสี่ยงได้ที่แอปพลิเคชัน BKK COVID-19 หากมีความเสี่ยง ทางกรุงเทพมหานครจะประสานกลับไป ส่วนร้าน 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 5 มีผู้สัมผัสทั้งหมด 55 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 23 ราย ตรวจแล้ว 22 ราย ไม่พบเชื้อ อีก 1 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวที่มีรายงานข่าวว่าหลบหนี ขณะนี้ติดตามตัวได้แล้ว ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 32 ราย ต้องเฝ้าระวัง 14 วัน
ส่วนที่ร้านเฟิร์ส คาเฟ่ ถนนข้าวสาร มีผู้สัมผัส 14 ราย เสี่ยงสูงทั้งหมด ได้รับการตรวจแล้ว 13 ราย ไม่พบเชื้อ ส่วนอีก 1 ราย พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) คือมีไข้ ได้นำส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกลาง เพื่อตรวจและดูแลรักษา อยู่ระหว่างรอผล ส่วนผู้มารับบริการอื่นๆ ที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ว่าท่านใดที่มีข้อสงสัยหรือคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่ำ สามารถมาขอรับบริการหรือว่าสอบถามเข้ามายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อว่าประชาชนมีคำถาม 4 คำถาม ได้แก่ ข้อสงสัยว่าติดเชื้อจากที่ไหน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนที่ 2 มีความกังวลว่าผู้ต้องขังรายนี้จะไปแพร่โรคให้ใครหรือไม่ ซึ่งยืนยันว่ารายนี้ไม่มีอาการมาก ประกอบกับเป็นดีเจ ทำงานกลางคืน ไม่ได้ทำงานบริการโดยตรง คนที่สัมผัสโรคจึงมีจำกัดในระดับหนึ่ง และด้วยความทำงานกลางคืน กลางวันจึงพัก ถ้าจะไปไหนคงมีแค่กิจวัตรประจำวันเท่านั้น ความเสี่ยงความกังวลว่าจะมีการแพร่เชื้อแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์จะไม่มาก ส่วนที่ 3 เมื่อเราตรวจในส่วนของผู้สัมผัสใกล้ชิด ซึ่งถ้าจะแพร่โรคให้ใครก็คงเป็นคนในครอบครัวก่อน แต่จากการตรวจคนในครอบครัวทั้งหมดตอนนี้ยังไม่มีใครติดเชื้อฯ และตามต่อคนใกล้ชิดคือผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมกัน 36 คน ก็ไม่เจอ ที่ศาลก็ไม่เจอ พนักงานที่ทำงานด้วยกันก็ไม่พบเชื้อ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น หรือผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำโอกาสก็ยิ่งน้อยไปอีก ที่เป็นแบบนี้ได้ส่วนหนึ่งคือมาตรการการควบคุมป้องกันโรคที่เราทำกันอยู่ แม้ว่าจะหละหลวมไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ได้ทำ เพราะฉะนั้นคำแนะนำสำหรับประชาชนตอนนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ประชาชนที่คิดว่าตัวเองไปอยู่ในสถานที่หรือวันเวลาที่ผู้ติดเชื้ออาจจะไป ก็ไม่ต้องตกใจหรือกังวล ให้โทรสอบถาม 1422 หรือเดินไปขอรับคำปรึกษา ตรวจคัดกรองได้ แต่ต้องมีการให้ประวัติก่อน และถ้าจุดไหนที่มีรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัย ก็สามารถไปขอรับบริการได้ และปฏิบัติตัวตามมาตรการควบคุมโรคไปก่อน
กลุ่มที่สอง สำหรับประชาชนทั่วไป โอกาสที่จะเจอผู้ติดเชื้อหรือมีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ก็จะเหมือนกับต่างประเทศที่มีการควบคุมได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมากับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง หรือผู้ติดเชื้อในชุมชนที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการ น้อยๆ แต่ประชาชนไม่ต้องตกใจ ตื่นกลัว อันดับแรกคือคงมาตรการควบคุมป้องกันโรคเข้มข้นเอาไว้ จากที่ก่อนหน้านี้กรมควบคุมโรคได้สำรวจทุก 14 วัน พบว่า..🌂
ประชาชนการ์ดตก ตอนนี้ก็ขอให้ยกสูง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่าง และการล้างมือ อีกส่วนหนึ่งคือสถานประกอบการต่างๆ หรือผู้ที่ดำเนินกิจกรรมทางสังคม ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการหลักและมาตรการเสริมของ ศบค.อย่างเคร่งครัด รวมถึงกำชับผู้ใช้บริการปฏิบัติตามอย่างเคร่ง ดีกว่าปล่อยให้เกิดการติดเชื้อหรือระบาด
"เราพบผู้ติดเชื้อและรายงาน แต่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด และทำมาตรการเชิงรุกให้ครอบคลุม ดังนั้นจะพยายามค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำให้มากและนำมาดูแลตามมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจว่าถึงแม้จะเจอผู้ติดเชื้อ แต่เราจะควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
https://mgronline.com/qol/detail/9630000091090
ชี้แจง!!! พัฒนาวัคซีนโควิด-รัฐไม่สนับสนุน
กรุงเทพฯ 4 ก.ย.-สถาบันวัคซีนฯ ชี้แจงข่าว “พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้แล้ว แต่รัฐบาลไม่สนับสนุน” ข้อมูลดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ขณะที่วัคซีนต้นแบบที่ระบุถึงยังอยู่ในขั้นตอนสัตว์ทดลองที่ผลทดสอบดีในลิง ต้องมีการวิจัยทดสอบต่อในคน จนพิสูจน์ผลในการป้องกันโรคได้จึงจะถือว่ามีวัคซีนที่ใช้ได้
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 ว่า ตามที่ได้มีข่าวสื่อมวลชนถึงกรณี การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้แล้วแต่รัฐบาลไม่สนับสนุนนั้น
สถาบันวัคซีนแห่งชาติขอเรียนว่า “ข้อมูลดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง” เพราะทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้มีการดำเนินการสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากใบยาสูบร่วมกับ บริษัทใบยา ไฟโต ฟาร์ม จำกัด และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการปรึกษาหารือ และวางแผนการดำเนินการร่วมกัน ในการวิจัยพัฒนาวัคซีนในสัตว์ทดลองจนถึง การทดสอบในคน ซึ่งทางบริษัทใบยาฯ ได้แจ้งแล้วว่าจะดำเนินการทดสอบในสัตว์ทดลองด้วยเงินทุนตนเองไปก่อน หากได้ผลดีจะขอรับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติในขั้นตอนต่อไป
ดังนั้น ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติจึงได้บรรจุแผนการวิจัยขั้นตอนต่อไป ในแผนคำของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลตาม พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ที่จะเสนอผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณาสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อไป ในส่วนการวิจัยเพื่อการผลิต สถาบันฯยังได้ช่วยประสานการทำงานร่วมกันระหว่างคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยมหิดลในการขยายการผลิตสู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรม
อนึ่ง ข้อเท็จจริงในขณะนี้คือวัคซีนต้นแบบของ บริษัท ใบยา ไฟโต ฟาร์ม จำกัดนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองที่ได้ผลการทดสอบดีในลิง จำเป็นต้องมีการวิจัยทดสอบต่อในคน จนพิสูจน์ผลในการป้องกันโรคได้ จึงจะถือว่ามีวัคซีนที่ใช้ได้ .-สำนักข่าวไทย
https://tna.mcot.net/social-530104
ถ้าคนไทยทุกคนระมัดระวังตัว เรื่องติดเชื้อคงไม่ง่ายๆนะคะ
ตั้งการ์ดสูงๆค่ะ จะได้ไม่เสียใจกันอีก
🔴มาลาริน/5ก.ย.ไทยพบโควิด 7 ราย มาจากตปท. พบผู้สัมผัสดีเจ 708 ราย เสี่ยงสูง140 ลุ้น1ราย ชี้แจงเรื่องรบ.ไม่สนับสนุนวัคซีน
ไทยพบผู้ป่วยโควิดเพิ่ม 7 ราย เป็นชาวต่างชาติ-เดินทางมาจากต่างประเทศทั้งหมด รักษาหายอีก 2 ราย
ศบค. เผย ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ 7 ราย เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด เดินทางจากอินโดนีเซีย 1 ราย สหรัฐอเมริกา 1 ราย รัสเซีย 2 ราย อินเดีย 2 ราย และบังกลาเทศ 1 ราย ทั้งหมดเป็นต่างชาติ พักอยู่ในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ และวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 2 ราย
วันนี้ (5 ก.ย.) ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 7 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักใน State Quarantine เป็นชาวต่างชาติทั้งหมด ประกอบด้วย ชายชาวบราซิล เดินทางมาจากอินโดนีเซีย 1 ราย นักเรียนหญิงชาวอเมริกัน เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 1 ราย ชายและหญิงสัญชาติรัสเซีย เดินทางมาจากรัสเซียรวม 2 ราย ชายและหญิงสัญชาติอินเดีย เดินทางมาจากอินเดียรวม 2 ราย และชายชาวบังกลาเทศ เดินทางมาจากบังกลาเทศ 1 ราย ไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ
สำหรับผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,438 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,445 ราย และตรวจพบในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จำนวน 500 ราย จำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วรวม 3,279 ราย ส่วนผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 101 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม โดยยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 58 ราย
ประวัติผู้ป่วยรายใหม่ เดินทางมาจากอินโดนีเซีย 1 ราย เป็นชาย สัญชาติบราซิล อายุ 40 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 20 ส.ค. (เที่ยวบินเดียวกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้า 1 ราย) เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
สหรัฐอเมริกา 1 ราย เป็นนักเรียนหญิง สัญชาติอเมริกัน อายุ 16 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 27 ส.ค. เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
รัสเซีย 2 ราย เป็นนักเรียนชาย สัญชาติรัสเซีย อายุ 18 ปี และหญิง สัญชาตรัสเซีย อายุ 45 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
อินเดีย 2 ราย เป็นชายสัญชาติอินเดีย อายุ 43 ปี เดินทางถึงไทยเมื่อวันที่ 31 ส.ค. และนักเรียนหญิง สัญชาติอินเดีย อายุ 14 ปี เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ทั้งหมดเข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 ก.ย ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
บังคลาเทศ 1 ราย เป็นชาย สัญชาติบังคลาเทศ อายุ 24 ปี อาชีพพนักงานบริษัท เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 2 ก.ย. เข้าพัก Alternative State Quarantine (ASQ) ในกทม. และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 3 ก.ย. ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
https://mgronline.com/qol/detail/9630000091031
ยกการ์ดให้สูง! พบยอดผู้สัมผัสใกล้ชิดดีเจหนุ่มเพิ่มเป็น 708 ราย เสี่ยงสูง 140 ลุ้น 1 รายจาก "เฟิร์สคาเฟ่" ถ.ข้าวสาร เข้าเกณฑ์ PUI
อธิบดีกรมควบคุมโรค แจงยอดผู้สัมผัสใกล้ชิดดีเจหนุ่มผู้ต้องขังที่ติดโควิด-19 เพิ่มเป็น 708 ราย เสี่ยงสูง140 ราย ชี้ผลตรวจบางส่วนออกแล้วไม่พบเชื้อ ลุ้นผลผู้สัมผัสเสี่ยงสูงร้านเฟิร์ส คาเฟ่ ถนนข้าวสาร 1 รายมีอาการเข้าเกณฑ์ PUI ส่วนแรงงานต่างด้าวเสี่ยงสูงหลบหนีเมื่อวานติดตามตัวได้แล้ว พร้อมกำชับขอประชาชนยกการ์ดสูงอีกครั้ง
วันนี้ (5 ก.ย.) นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยความคืบหน้าการติดตามผู้สัมผัสผู้ต้องขังติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) ข้อมูลล่าสุดว่า ผู้ป่วยยังไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วง อยู่ในการดูแลของโรงพยาบาลราชทัณฑ์
ส่วนการสอบสวนเพิ่มเติม ขณะนี้พบผู้สัมผัสเพิ่มขึ้น สะสมอยู่ที่ 708 ราย แบ่งเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 140 ราย สัมผัสเสี่ยงต่ำ 568 ราย เมื่อแยกเป็นรายกลุ่ม แบ่งเป็น ที่พำนักพักที่คอนโด มีผู้สัมผัส 6 ราย ทั้งหมดตรวจแล้วไม่พบเชื้อ กลุ่มที่ไปศาลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม มีผู้สัมผัส 493 ราย แบ่งเป็นเสี่ยงสูง 15 ราย ตรวจแล้ว 11 ราย ไม่พบเชื้อ เสี่ยงต่ำ 478 ราย ตรวจแล้ว 146 ราย ไม่พบเชื้อ ที่เหลืออยู่ระหว่างรอผลตรวจ และอยู่ระหว่างเฝ้าระวัง 14 วัน กลุ่มโรงพยาบาลราชทัณฑ์ มีผู้สัมผัส 6 ราย ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ อยู่ระหว่างเฝ้าระวัง 14 วัน
กลุ่มทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง มีผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมระหว่างต้องกัก 36 คน ตรวจแล้วไม่พบเชื้อฯ รอกักตัวให้ครบตามกำหนด 14 วัน และต้องตรวจซ้ำอีก 2 ครั้ง และอีกกลุ่มที่เป็นเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครเรือนจำ ซึ่งมีผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 24 ราย แยกกักแล้ว อยู่ระหว่างเก็บตัวอย่างส่งตรวจ และเสี่ยงต่ำ 52 ราย ให้เฝ้าระวัง 14 วัน โดยปฏิบัติตามมาตรการทางด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด กลุ่มเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีผู้สัมผัส 8 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมด โดยเป็นผู้ต้องขังที่นั่งรถโดยสารร่วมกัน ตรวจแล้วไม่พบเชื้อ
นอกจากนี้ กลุ่มที่ทำงานร้าน 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 3 มีผู้สัมผัส 14 ราย เสี่ยงสูงทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลแล็บ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ติดต่อเข้ามารับการคัดกรองที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือประเมินความเสี่ยงได้ที่แอปพลิเคชัน BKK COVID-19 หากมีความเสี่ยง ทางกรุงเทพมหานครจะประสานกลับไป ส่วนร้าน 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 5 มีผู้สัมผัสทั้งหมด 55 ราย เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 23 ราย ตรวจแล้ว 22 ราย ไม่พบเชื้อ อีก 1 ราย เป็นแรงงานต่างด้าวที่มีรายงานข่าวว่าหลบหนี ขณะนี้ติดตามตัวได้แล้ว ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 32 ราย ต้องเฝ้าระวัง 14 วัน
ส่วนที่ร้านเฟิร์ส คาเฟ่ ถนนข้าวสาร มีผู้สัมผัส 14 ราย เสี่ยงสูงทั้งหมด ได้รับการตรวจแล้ว 13 ราย ไม่พบเชื้อ ส่วนอีก 1 ราย พบว่ามีอาการเข้าเกณฑ์สอบสวนโรค (PUI) คือมีไข้ ได้นำส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกลาง เพื่อตรวจและดูแลรักษา อยู่ระหว่างรอผล ส่วนผู้มารับบริการอื่นๆ ที่เป็นผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ก็จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ว่าท่านใดที่มีข้อสงสัยหรือคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงต่ำ สามารถมาขอรับบริการหรือว่าสอบถามเข้ามายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า เชื่อว่าประชาชนมีคำถาม 4 คำถาม ได้แก่ ข้อสงสัยว่าติดเชื้อจากที่ไหน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบสวน ส่วนที่ 2 มีความกังวลว่าผู้ต้องขังรายนี้จะไปแพร่โรคให้ใครหรือไม่ ซึ่งยืนยันว่ารายนี้ไม่มีอาการมาก ประกอบกับเป็นดีเจ ทำงานกลางคืน ไม่ได้ทำงานบริการโดยตรง คนที่สัมผัสโรคจึงมีจำกัดในระดับหนึ่ง และด้วยความทำงานกลางคืน กลางวันจึงพัก ถ้าจะไปไหนคงมีแค่กิจวัตรประจำวันเท่านั้น ความเสี่ยงความกังวลว่าจะมีการแพร่เชื้อแบบซูเปอร์สเปรดเดอร์จะไม่มาก ส่วนที่ 3 เมื่อเราตรวจในส่วนของผู้สัมผัสใกล้ชิด ซึ่งถ้าจะแพร่โรคให้ใครก็คงเป็นคนในครอบครัวก่อน แต่จากการตรวจคนในครอบครัวทั้งหมดตอนนี้ยังไม่มีใครติดเชื้อฯ และตามต่อคนใกล้ชิดคือผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมกัน 36 คน ก็ไม่เจอ ที่ศาลก็ไม่เจอ พนักงานที่ทำงานด้วยกันก็ไม่พบเชื้อ นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะไปแพร่เชื้อให้คนอื่น หรือผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำโอกาสก็ยิ่งน้อยไปอีก ที่เป็นแบบนี้ได้ส่วนหนึ่งคือมาตรการการควบคุมป้องกันโรคที่เราทำกันอยู่ แม้ว่าจะหละหลวมไปบ้างแต่อย่างน้อยก็ได้ทำ เพราะฉะนั้นคำแนะนำสำหรับประชาชนตอนนี้จึงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ ประชาชนที่คิดว่าตัวเองไปอยู่ในสถานที่หรือวันเวลาที่ผู้ติดเชื้ออาจจะไป ก็ไม่ต้องตกใจหรือกังวล ให้โทรสอบถาม 1422 หรือเดินไปขอรับคำปรึกษา ตรวจคัดกรองได้ แต่ต้องมีการให้ประวัติก่อน และถ้าจุดไหนที่มีรถเก็บตัวอย่างเชื้อชีวนิรภัย ก็สามารถไปขอรับบริการได้ และปฏิบัติตัวตามมาตรการควบคุมโรคไปก่อน
กลุ่มที่สอง สำหรับประชาชนทั่วไป โอกาสที่จะเจอผู้ติดเชื้อหรือมีรายงานผู้ติดเชื้อในประเทศไทย ก็จะเหมือนกับต่างประเทศที่มีการควบคุมได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะมากับแรงงานต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมือง หรือผู้ติดเชื้อในชุมชนที่ไม่แสดงอาการหรือมีอาการ น้อยๆ แต่ประชาชนไม่ต้องตกใจ ตื่นกลัว อันดับแรกคือคงมาตรการควบคุมป้องกันโรคเข้มข้นเอาไว้ จากที่ก่อนหน้านี้กรมควบคุมโรคได้สำรวจทุก 14 วัน พบว่า..🌂
ประชาชนการ์ดตก ตอนนี้ก็ขอให้ยกสูง โดยเฉพาะการสวมหน้ากากอนามัย หรือหน้ากากผ้า การเว้นระยะห่าง และการล้างมือ อีกส่วนหนึ่งคือสถานประกอบการต่างๆ หรือผู้ที่ดำเนินกิจกรรมทางสังคม ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการหลักและมาตรการเสริมของ ศบค.อย่างเคร่งครัด รวมถึงกำชับผู้ใช้บริการปฏิบัติตามอย่างเคร่ง ดีกว่าปล่อยให้เกิดการติดเชื้อหรือระบาด
"เราพบผู้ติดเชื้อและรายงาน แต่สามารถควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด และทำมาตรการเชิงรุกให้ครอบคลุม ดังนั้นจะพยายามค้นหาผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำให้มากและนำมาดูแลตามมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจว่าถึงแม้จะเจอผู้ติดเชื้อ แต่เราจะควบคุมไม่ให้เกิดการระบาด" อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
https://mgronline.com/qol/detail/9630000091090
ชี้แจง!!! พัฒนาวัคซีนโควิด-รัฐไม่สนับสนุน
กรุงเทพฯ 4 ก.ย.-สถาบันวัคซีนฯ ชี้แจงข่าว “พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้แล้ว แต่รัฐบาลไม่สนับสนุน” ข้อมูลดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ขณะที่วัคซีนต้นแบบที่ระบุถึงยังอยู่ในขั้นตอนสัตว์ทดลองที่ผลทดสอบดีในลิง ต้องมีการวิจัยทดสอบต่อในคน จนพิสูจน์ผลในการป้องกันโรคได้จึงจะถือว่ามีวัคซีนที่ใช้ได้
สถาบันวัคซีนแห่งชาติ โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2563 ว่า ตามที่ได้มีข่าวสื่อมวลชนถึงกรณี การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ได้แล้วแต่รัฐบาลไม่สนับสนุนนั้น
สถาบันวัคซีนแห่งชาติขอเรียนว่า “ข้อมูลดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง” เพราะทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้มีการดำเนินการสนับสนุนกิจกรรมการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากใบยาสูบร่วมกับ บริษัทใบยา ไฟโต ฟาร์ม จำกัด และคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการปรึกษาหารือ และวางแผนการดำเนินการร่วมกัน ในการวิจัยพัฒนาวัคซีนในสัตว์ทดลองจนถึง การทดสอบในคน ซึ่งทางบริษัทใบยาฯ ได้แจ้งแล้วว่าจะดำเนินการทดสอบในสัตว์ทดลองด้วยเงินทุนตนเองไปก่อน หากได้ผลดีจะขอรับการสนับสนุนจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติในขั้นตอนต่อไป
ดังนั้น ทางสถาบันวัคซีนแห่งชาติจึงได้บรรจุแผนการวิจัยขั้นตอนต่อไป ในแผนคำของบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลตาม พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ที่จะเสนอผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณาสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลต่อไป ในส่วนการวิจัยเพื่อการผลิต สถาบันฯยังได้ช่วยประสานการทำงานร่วมกันระหว่างคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ และมหาวิทยาลัยมหิดลในการขยายการผลิตสู่ระดับกึ่งอุตสาหกรรม
อนึ่ง ข้อเท็จจริงในขณะนี้คือวัคซีนต้นแบบของ บริษัท ใบยา ไฟโต ฟาร์ม จำกัดนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองที่ได้ผลการทดสอบดีในลิง จำเป็นต้องมีการวิจัยทดสอบต่อในคน จนพิสูจน์ผลในการป้องกันโรคได้ จึงจะถือว่ามีวัคซีนที่ใช้ได้ .-สำนักข่าวไทย
https://tna.mcot.net/social-530104
ถ้าคนไทยทุกคนระมัดระวังตัว เรื่องติดเชื้อคงไม่ง่ายๆนะคะ
ตั้งการ์ดสูงๆค่ะ จะได้ไม่เสียใจกันอีก