ผมขอแนะนำตัวคร่าวๆ ตอนนี้ ผม อายุ 33 ปี
ผมอยากจะถามเพื่อนๆ ว่า ผมควรทำอะไรดี เพื่อที่จะสร้างประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ
ผมมีบ้านเช่า (บ้านเดียวพร้อมที่ดิน) อยู่ที่ ออสเตรเลีย สี่หลัง และ ก็เพิ่งซื้อ ที่ สก๊อตแลนด์ อีก หนึ่งหลัง
บ้านทุกหลัง มี ROI ราว 8-10 / annum ผมใช้เงินผม แค่ 10% ที่เหลือ เงิน ธนาคาร แต่ที่ ดีใจคือ ค่าเช่า เอาไปส่ง ธนาคาร แล้วเติมเงินเพิ่ม บางหลัง.. บางหลัง มีกำไร หลังจาก ส่ง ธนาคาร แต่โดย รวม ๆ ก็ บวกอะ แต่บวกไม่มากนะ แต่ เมื่อเวลา ผ่านไป มันจะบวก บวก บวก แบบ Exponential เมื่อ
ค่าเช่า เพิ่มขึ้น และ จำนวน เงินต้นที่ผ่อนลดลง(โปะมากขึ้น)
ผมเขียนกระทู้นี้ เพราะ
อัลเบิร์ต ไอส์ไตล์ ได้กล่าวว่า
"ผมเตือนสติตัวเอง เป็น ร้อยๆครั้งว่า ชีวิตทั้งภายใน และภายนอก ของผม ล้วนต้องพึ่งพาแรงงานและหยาดเหงื่อ ของผู้อื่น ทั้งในส่วนของ ผู้ที่ยังมีชีวิต และผู้ที่ วายชนม์ ไปไปแล้ว และนั่น ทำให้ผมต้องทุ่มเท ความ มานะ และ ความพยายาม ทั้งมวล เพื่อมอบสิ่งที่คล้ายกัน ที่ผมเคยได้รับ และยังได้รับอยู่ทุกวันนี้ให้กับพวกเค้า"
วรรคนี้ อ่านช้าๆ และคิดตาม.. มันเป็นการตกผลึก ของ คนสูงวัยที่ ลึกซึ้งมากนะครับ และความเตือน ที่กำลัง พยายาม บอกตัวเองวันละร้อยๆ ครั้ง มันใช่ความพยายาม ปลุกเร้าตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จ แต่กลับเป็นการย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า การที่เรามีชีวิตอยู่ใน ทุกวัน มันเป็นชีวิตที่เกิดจากการ พึ่งพา แรงงาน และ สติปัญญา ของคนอื่นทั้งนั้น เลย.
อาหารท่ีเรากินอยู่ ก็มีคนปลูกข้าวให้เรากิน มีคนปลูกผัก เลี้ยงหมู แกร๊บ ฟู๊ดแพนด้า
คนที่เก่งขนาดนี้ พูดแบบนี้.. เค้าบอกว่า เค้าไม่ได้ เกิดขึ้นมาแล้ว ฉลาด ตอนออกจากท้องแม่เลย เค้าก็ต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์ก่อนหน้าเค้าเช่นกัน นิวตัน ทั้งหลายที่ทำให้ ไอสไตล์ เก็บเล็ก ผสมน้อย
ถ้าเราสามารถคิดแบบนี้ได้ ผมเชื่อว่า ชีวิตเราจะมีความสุขเพิ่มขึ้น..
"นิ้วกลม"
ผมเกิดมาในครอบครัวที่ ฐานะ ก็มีเงินและมีหนี้ ตั้งแต่เรียน จนจบ ทางบ้านก็ก่อหนี้ เพื่อให้มีเงินหมุน และครอบครัว เรียนจบ
จนตอนนี้ ผมก็กระ
กระสน ได้งานทำที่ได้ ได้มีโอกาส ไปทำงานที่ ออสเตรเลีย เจ็ดปี ใน บริษัท fortune 500
ตอนนี้ก็ กิจการที่บ้าน เลิกไปหมดแล้ว อยากให้พ่อแม่ พัก
เราก็มาหาเลี้ยงท่านแทน..
ด้วยความที่บ้าน เป็นคน ถูกอบรม สั่งสอนมาให้ เห็นคุณค่าของเงิน
อาหารเหลือ ไม่เคยทิ้ง เก็บกิน มื้อ สอง สาม สี่ ตราบใดที่ไม่เสีย (ถ้าเสียก็ทิ้ง)
การกินภัตคาร คือกินเฉพาะ โอกาสพิเศษจริงๆ เลี้ยงวันเกิด เลี้ยง อะไร ส่วนใหญ่ที่บ้านทำกิน..
ตอนลูกเรียน อะไรท่ี่ต้องเป็นค่าใข้จ่ายในการศึกษา ไปขอ อาม่า อาม่า ไม่เคยขัด จะเรียน พิเศษ จะซื้อ Text book ไปขอเท่าไหร่ จ่ายให้ตลอด แต่อาม่า จดใส่สมุดเอาไว้
เข้าเรื่อง.. ผมเกิดมาในครอบครัว ที่มีเงินพอดีพอดี ให้ใช้แบบ พอดีพอดี
ตั้งแต่เรียน ป.ตรี ละ ที่บ้านก็ทำงาน โกงสี แบบว่า อาม่า เป็นคนที่ ทักคนให้ความเคารพ ส่วน คุณพ่อ กับ อาเจก ก็ช่วยๆ กันทำงาน เหมือนกับว่า ทำทำไปก็ไม่ได้มีกำไรเหลือเก็บหรอก แค่เอากำไรมาหมุน ใช้จ่ายในบ้าน ส่ง หลานๆ (พวกผม ไปเรียนหนังสือ)
ตอนจบ ม.หก ก็เรียน สาย ไอที เพราะชอบโดยส่วนตัว พอได้เรียนสาย ไอที ก็พยายาม หาว่า ทำสายไหนได้เงินเดือนดีที่สุด
ก็ไปได้เลือกว่า สาย SAP Business Consultant เงินดีที่สุด (แต่. Start แค่ 12,000) ในขณะที่ เพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกัน Start 23,000.
ก็ดิ้นรน ไขว่คว้า ไปตระเวน jobsdb ส่งแต่ใบสมัครไปเฉพาะ บริษัท ที่รับคนทำ SAP สอน Intern SAP. ก็คำว่า. intern อะ เลยได้ เงินเท่านั้น เรียนจบ ออกมาก็ได้ GPAx 2.99
ผมก็ทำงานไป ตามพวกโรงงาน คอยตาม พวกพี่พี่ ทำ Data Migration ทำงาน เอกสาร เขียน Functional Spec.
ต่อมา ผมก็ได้ย้ายงาน ไปใน บริษัท Global Firm อย่าง พวก บริษัท ที่ปรึกษา Technology America มันก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ผมใฝ่ฝันอย่างมากมากกกก
เลยว่าวันนึง อยากไปทำงาน บริษัทที่ได้พูดภาษาอังกฤษ ได้ใช้ ภาษาอังกฤษ ทำงาน แล้วฝันผม ก็เป็นจริง ผมดีใจ สุดๆ อะ
ทำงาน ที่ไทย ไปได้สองปี ก็โชคดีมากมาก ได้มี โอกาส ไปทำงาน ที่ ออสเตรเลีย โดยที่ บริษัท ส่งไป แบบวีซ่า ทำงาน ไปทำ Project SAP implementation
มันเป็นชีวิตที่ ดีมาก มันเป็นชีวิตที่ ผม มีความสุขมากมาก วันธรรมดา ทำงาน วันเสาร์ทิตยก็ ขับรถเที่ยวสำรวจ Country คือเที่ยวแบบไม่ต้องจ่ายตังค์อะ ค่าบ้าน โพรเจค ก็ออกให้ ค่าน้ำมันโพรเจก ก็ออกให้ ค่าไฟฟ้า น้ำประปา โพรเจคก็ออกให้ ป่วย ประกัน ก็ออกให้ ทุก บาททุกสตางค์ แถมยังมี เพอร์เดียมให้อีกวันละ 115$ ไว้ซื้อข้าวกิน ในขณะที่เงินเดือนที่ไทย ก็ยังโอนปกติ โบนัส ก็ยังได้ ปรกติ แต่ทำงาน ก็เป็นโรงงานนรก เหมือนกันนะ จะบอกให้..
มันทำให้ผมชอบ ออสเตรเลีย แล้วไฝ่ฝันว่า ผมอยาก ใชีชีวิตที่ ออส.. อยากอยู่ที่ ออส อยากเป็นคนออส..
แต่แล้ว จน Project จบ มีนาคม 2012 ก็ย้ายกลับมาทำงานที่ไทย ทำไปทำมา ประมาณ ปลายๆ ปี ช่วย ตุลา ผมก็ได้ Offer จากบริษัท ลูกค้า ที่ออส จ้างตรงกับผม ให้ไปทำงานกับเค้า นี่เป็นจุดเริ่ม ต้น ของ Australianisation. อย่างแท้จริง.. ผมดีใจมาก ก็ลาออกบริษัท จากไทย อันเป็นที่รักยิ่ง
ย้ายของขนของไปออสเตรเลียไปหาบ้านเช่า อยู่ ไปหาเพื่อนใหม่ๆ เพื่อนชวนไปตกปลา ตกกุ้ง ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก ขับรถเที่ยว ทำอะไรทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง เล่นสกีย์ตอนวันหยุด ชวนทำ ขับรถ เกี่ยวข้าว ชวนไป งม หอย เป๋า ฮื้อ
คือจะบอกว่า ชีวิตที่ออสเตรเลีย มันไม่ใช่ใช่ชีวิตที่เดินห้าง นั่ง ดู ทีวี นั่ง กดเกมส์ อะ มันเป็นชีวิตกับ ธรรมชาติ รอบตัวเราจริงๆ พายเรือ เล่นสกีย์
เวลางานก็ยุ่งแล้ว แต่วันหยุดนั้นยุ่งกว่า บอกเลย กิจกรรมแน่ไปหมด ฉลอง ดื่มเบียร์ ร้องเพลง ปาร์ตี้ พอตลัก มันเป็นชีวิตที่มองย้อนกลับไปทีไร ก็มีความสุข
และผมอยุ่ไปก็มองหาช่องทางในการ สมัคร เพื่อเป็น Citizen และมัน ก็ทำมันสำเร็จ ผมได้ เป็นคน สองสัญชาติ THAI / AUS ถือพาสปอร์ต สองเล่ม เดินทาง ไปได้ เกือบจะทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า
และจุดเปลี่ยน มันมา ตรงที่ วันหนึ่ง ผมก็อยาก ซื้อบ้านอยู่ ตามฝันเหมือนที่ใครหลายๆ คน อยากมีบ้าน ผมก็อยากม บ้าน บ้าน เป็นสิ่งที่ ทุกๆ คน มี Emotional Attached. แต่ระหว่างที่ ผม เลื่อนๆ หาดูบ้านที่เค้าประกาศ ขายๆ กันตามเวบ
ผมอยากสร้างระโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติ มีความรู้เรื่องการลงทุน real estate มีผลงานที่ Aus x 4 หลัง, Scotlandx1(เงินผม10%)
ผมอยากจะถามเพื่อนๆ ว่า ผมควรทำอะไรดี เพื่อที่จะสร้างประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ
ผมมีบ้านเช่า (บ้านเดียวพร้อมที่ดิน) อยู่ที่ ออสเตรเลีย สี่หลัง และ ก็เพิ่งซื้อ ที่ สก๊อตแลนด์ อีก หนึ่งหลัง
บ้านทุกหลัง มี ROI ราว 8-10 / annum ผมใช้เงินผม แค่ 10% ที่เหลือ เงิน ธนาคาร แต่ที่ ดีใจคือ ค่าเช่า เอาไปส่ง ธนาคาร แล้วเติมเงินเพิ่ม บางหลัง.. บางหลัง มีกำไร หลังจาก ส่ง ธนาคาร แต่โดย รวม ๆ ก็ บวกอะ แต่บวกไม่มากนะ แต่ เมื่อเวลา ผ่านไป มันจะบวก บวก บวก แบบ Exponential เมื่อ
ค่าเช่า เพิ่มขึ้น และ จำนวน เงินต้นที่ผ่อนลดลง(โปะมากขึ้น)
ผมเขียนกระทู้นี้ เพราะ
อัลเบิร์ต ไอส์ไตล์ ได้กล่าวว่า
"ผมเตือนสติตัวเอง เป็น ร้อยๆครั้งว่า ชีวิตทั้งภายใน และภายนอก ของผม ล้วนต้องพึ่งพาแรงงานและหยาดเหงื่อ ของผู้อื่น ทั้งในส่วนของ ผู้ที่ยังมีชีวิต และผู้ที่ วายชนม์ ไปไปแล้ว และนั่น ทำให้ผมต้องทุ่มเท ความ มานะ และ ความพยายาม ทั้งมวล เพื่อมอบสิ่งที่คล้ายกัน ที่ผมเคยได้รับ และยังได้รับอยู่ทุกวันนี้ให้กับพวกเค้า"
วรรคนี้ อ่านช้าๆ และคิดตาม.. มันเป็นการตกผลึก ของ คนสูงวัยที่ ลึกซึ้งมากนะครับ และความเตือน ที่กำลัง พยายาม บอกตัวเองวันละร้อยๆ ครั้ง มันใช่ความพยายาม ปลุกเร้าตัวเองเพื่อประสบความสำเร็จ แต่กลับเป็นการย้ำเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า การที่เรามีชีวิตอยู่ใน ทุกวัน มันเป็นชีวิตที่เกิดจากการ พึ่งพา แรงงาน และ สติปัญญา ของคนอื่นทั้งนั้น เลย.
อาหารท่ีเรากินอยู่ ก็มีคนปลูกข้าวให้เรากิน มีคนปลูกผัก เลี้ยงหมู แกร๊บ ฟู๊ดแพนด้า
คนที่เก่งขนาดนี้ พูดแบบนี้.. เค้าบอกว่า เค้าไม่ได้ เกิดขึ้นมาแล้ว ฉลาด ตอนออกจากท้องแม่เลย เค้าก็ต้องขอบคุณนักวิทยาศาสตร์ก่อนหน้าเค้าเช่นกัน นิวตัน ทั้งหลายที่ทำให้ ไอสไตล์ เก็บเล็ก ผสมน้อย
ถ้าเราสามารถคิดแบบนี้ได้ ผมเชื่อว่า ชีวิตเราจะมีความสุขเพิ่มขึ้น..
"นิ้วกลม"
ผมเกิดมาในครอบครัวที่ ฐานะ ก็มีเงินและมีหนี้ ตั้งแต่เรียน จนจบ ทางบ้านก็ก่อหนี้ เพื่อให้มีเงินหมุน และครอบครัว เรียนจบ
จนตอนนี้ ผมก็กระ กระสน ได้งานทำที่ได้ ได้มีโอกาส ไปทำงานที่ ออสเตรเลีย เจ็ดปี ใน บริษัท fortune 500
ตอนนี้ก็ กิจการที่บ้าน เลิกไปหมดแล้ว อยากให้พ่อแม่ พัก
เราก็มาหาเลี้ยงท่านแทน..
ด้วยความที่บ้าน เป็นคน ถูกอบรม สั่งสอนมาให้ เห็นคุณค่าของเงิน
อาหารเหลือ ไม่เคยทิ้ง เก็บกิน มื้อ สอง สาม สี่ ตราบใดที่ไม่เสีย (ถ้าเสียก็ทิ้ง)
การกินภัตคาร คือกินเฉพาะ โอกาสพิเศษจริงๆ เลี้ยงวันเกิด เลี้ยง อะไร ส่วนใหญ่ที่บ้านทำกิน..
ตอนลูกเรียน อะไรท่ี่ต้องเป็นค่าใข้จ่ายในการศึกษา ไปขอ อาม่า อาม่า ไม่เคยขัด จะเรียน พิเศษ จะซื้อ Text book ไปขอเท่าไหร่ จ่ายให้ตลอด แต่อาม่า จดใส่สมุดเอาไว้
เข้าเรื่อง.. ผมเกิดมาในครอบครัว ที่มีเงินพอดีพอดี ให้ใช้แบบ พอดีพอดี
ตั้งแต่เรียน ป.ตรี ละ ที่บ้านก็ทำงาน โกงสี แบบว่า อาม่า เป็นคนที่ ทักคนให้ความเคารพ ส่วน คุณพ่อ กับ อาเจก ก็ช่วยๆ กันทำงาน เหมือนกับว่า ทำทำไปก็ไม่ได้มีกำไรเหลือเก็บหรอก แค่เอากำไรมาหมุน ใช้จ่ายในบ้าน ส่ง หลานๆ (พวกผม ไปเรียนหนังสือ)
ตอนจบ ม.หก ก็เรียน สาย ไอที เพราะชอบโดยส่วนตัว พอได้เรียนสาย ไอที ก็พยายาม หาว่า ทำสายไหนได้เงินเดือนดีที่สุด
ก็ไปได้เลือกว่า สาย SAP Business Consultant เงินดีที่สุด (แต่. Start แค่ 12,000) ในขณะที่ เพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกัน Start 23,000.
ก็ดิ้นรน ไขว่คว้า ไปตระเวน jobsdb ส่งแต่ใบสมัครไปเฉพาะ บริษัท ที่รับคนทำ SAP สอน Intern SAP. ก็คำว่า. intern อะ เลยได้ เงินเท่านั้น เรียนจบ ออกมาก็ได้ GPAx 2.99
ผมก็ทำงานไป ตามพวกโรงงาน คอยตาม พวกพี่พี่ ทำ Data Migration ทำงาน เอกสาร เขียน Functional Spec.
ต่อมา ผมก็ได้ย้ายงาน ไปใน บริษัท Global Firm อย่าง พวก บริษัท ที่ปรึกษา Technology America มันก็เป็นโอกาสที่ดี ที่ผมใฝ่ฝันอย่างมากมากกกก
เลยว่าวันนึง อยากไปทำงาน บริษัทที่ได้พูดภาษาอังกฤษ ได้ใช้ ภาษาอังกฤษ ทำงาน แล้วฝันผม ก็เป็นจริง ผมดีใจ สุดๆ อะ
ทำงาน ที่ไทย ไปได้สองปี ก็โชคดีมากมาก ได้มี โอกาส ไปทำงาน ที่ ออสเตรเลีย โดยที่ บริษัท ส่งไป แบบวีซ่า ทำงาน ไปทำ Project SAP implementation
มันเป็นชีวิตที่ ดีมาก มันเป็นชีวิตที่ ผม มีความสุขมากมาก วันธรรมดา ทำงาน วันเสาร์ทิตยก็ ขับรถเที่ยวสำรวจ Country คือเที่ยวแบบไม่ต้องจ่ายตังค์อะ ค่าบ้าน โพรเจค ก็ออกให้ ค่าน้ำมันโพรเจก ก็ออกให้ ค่าไฟฟ้า น้ำประปา โพรเจคก็ออกให้ ป่วย ประกัน ก็ออกให้ ทุก บาททุกสตางค์ แถมยังมี เพอร์เดียมให้อีกวันละ 115$ ไว้ซื้อข้าวกิน ในขณะที่เงินเดือนที่ไทย ก็ยังโอนปกติ โบนัส ก็ยังได้ ปรกติ แต่ทำงาน ก็เป็นโรงงานนรก เหมือนกันนะ จะบอกให้..
มันทำให้ผมชอบ ออสเตรเลีย แล้วไฝ่ฝันว่า ผมอยาก ใชีชีวิตที่ ออส.. อยากอยู่ที่ ออส อยากเป็นคนออส..
แต่แล้ว จน Project จบ มีนาคม 2012 ก็ย้ายกลับมาทำงานที่ไทย ทำไปทำมา ประมาณ ปลายๆ ปี ช่วย ตุลา ผมก็ได้ Offer จากบริษัท ลูกค้า ที่ออส จ้างตรงกับผม ให้ไปทำงานกับเค้า นี่เป็นจุดเริ่ม ต้น ของ Australianisation. อย่างแท้จริง.. ผมดีใจมาก ก็ลาออกบริษัท จากไทย อันเป็นที่รักยิ่ง
ย้ายของขนของไปออสเตรเลียไปหาบ้านเช่า อยู่ ไปหาเพื่อนใหม่ๆ เพื่อนชวนไปตกปลา ตกกุ้ง ออกกำลังกาย ยกน้ำหนัก ขับรถเที่ยว ทำอะไรทุกๆสิ่ง ทุกๆอย่าง เล่นสกีย์ตอนวันหยุด ชวนทำ ขับรถ เกี่ยวข้าว ชวนไป งม หอย เป๋า ฮื้อ
คือจะบอกว่า ชีวิตที่ออสเตรเลีย มันไม่ใช่ใช่ชีวิตที่เดินห้าง นั่ง ดู ทีวี นั่ง กดเกมส์ อะ มันเป็นชีวิตกับ ธรรมชาติ รอบตัวเราจริงๆ พายเรือ เล่นสกีย์
เวลางานก็ยุ่งแล้ว แต่วันหยุดนั้นยุ่งกว่า บอกเลย กิจกรรมแน่ไปหมด ฉลอง ดื่มเบียร์ ร้องเพลง ปาร์ตี้ พอตลัก มันเป็นชีวิตที่มองย้อนกลับไปทีไร ก็มีความสุข
และผมอยุ่ไปก็มองหาช่องทางในการ สมัคร เพื่อเป็น Citizen และมัน ก็ทำมันสำเร็จ ผมได้ เป็นคน สองสัญชาติ THAI / AUS ถือพาสปอร์ต สองเล่ม เดินทาง ไปได้ เกือบจะทั่วโลกโดยไม่ต้องขอวีซ่า
และจุดเปลี่ยน มันมา ตรงที่ วันหนึ่ง ผมก็อยาก ซื้อบ้านอยู่ ตามฝันเหมือนที่ใครหลายๆ คน อยากมีบ้าน ผมก็อยากม บ้าน บ้าน เป็นสิ่งที่ ทุกๆ คน มี Emotional Attached. แต่ระหว่างที่ ผม เลื่อนๆ หาดูบ้านที่เค้าประกาศ ขายๆ กันตามเวบ