.......กรณ์ จาติกวณิช..............
ผลงานการทำงาน
กรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด พ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530
พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530)
พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535)
พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543)
พ.ศ. 2544 :ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว
ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548)
พ.ศ. 2548 : ลาออกจาก JP Morgan เพื่อเข้าสู่วงการเมืองในวัย 40 ปี
ผลงานทางการเมือง
กรณ์ จาติกวณิช เข้าสู่วงการการเมืองจากการชักชวนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อนนักเรียนเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่อังกฤษ โดยชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. เขต 7 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตยานนาวาของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ด้วยคะแนนเสียง 36,010 คะแนน เป็น 1 ใน 4 ของ ส.ส.กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากนั้นนายกรณ์ ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อเนื่องอีก 4 สมัย (2548, 2550, 2554, 2562)
กรณ์ จาติกวณิช เคยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย
กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์[4]
กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อปลายปี 2551 ในช่วงที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ จนเมื่อปลายปี 2553 มาตรการ "ไทยเข้มแข็ง" ที่นายกรณ์ ริเริ่มไว้ส่งผลจนประสบความสำเร็จจนนายกรณ์ ได้รับตำแหน่ง "รัฐมนตรีคลังโลก" คนแรกของประเทศไทย
ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี โดยกรณ์ ได้รับฉายาว่า "โย่งคาเฟ่" จากผลงานการแสดงบทบาทพันตรีประจักษ์ คู่กับทักษอร ภักดิ์สุขเจริญในภาพยนตร์โฆษณา และการเปิดผับเชียร์ฟุตบอล[5]
2556-2562 กรณ์ จาติกวณิช
- ทดลองนโยบายหลายโครงการได้แก่ โครงการ "ข้าวอิ่ม" เกษตรเข้มแข็ง ช่วยชาวนาพลิกวิถีทำกินสู่การเป็นเกษตรพรีเมียม
- ทดลองนโยบายแก้หนี้ให้ผู้มีสินเชื่อบ้านด้วยโครงการ Refinn ลดหนี้บ้าน ช่วยคนไทยผ่อนภาระ
- ทดลองโครงการ English For All ช่วยให้เด็กไทยในถิ่นทุรกันดารมีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง
2556-2562 กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่ง "ประธานกรรมการนโยบาย" เป็นตำแหน่งสุดท้ายในพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยชุดนโยบาย "แก้จน-สร้างคน-สร้างชาติ"
2563 กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่ก่อตั้งเป็นการเมืองแบบสตาร์ทอัพ ชื่อ "พรรคกล้า" เป็นพรรคการเมืองเน้นรวมพลคนมีของ คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาพัฒนาประเทศร่วมกัน โดยใช้เทคโนโลยี และหลักปฏิบัตินิยมเป็นหลักการสู่เศรษฐกิจใหม่แก่ประเทศไทย
ผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปีจำนวน 116,700 ล้านบาท อันไปใช้ในโครงการดังกล่าว[6]
มาตรการเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐรวมทั้ง ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้น้อย วงเงินประมาณ 19,000 ล้านบาท
การให้เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุ วงเงิน 9,000 ล้านบาท
การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่นการต่ออายุ 6 เดือน 6 มาตรการ ยกเว้นการเก็บภาษีสรรสามิตน้ำมัน จำนวน 11,000 กว่าล้านบาท
กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปช่วยเหลือลดค่าครองชีพอีก 1,000 ล้านบาท
มาตรการการเรียนฟรี วงเงิน 19,000 ล้านบาท
การดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาการว่างงาน ผู้เสี่ยงถูกเลิกจ้าง ผู้ถูกเลิกจ้างและบัณฑิตจบใหม่ วงเงิน 6,900 ล้านบาท
การสนับสนุนภาคการผลิตในบางโครงการ แต่เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ยกเว้นกรณีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยเสริมในส่วนของภาคชนบทและภาคการ เกษตรที่จะใช้วงเงิน 15,200 ล้านบาท
มาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2552 จำนวน 1.43 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้านบาท เป็นการลงทุนระหว่างปี 2552-2555 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนในระยะยาว ได้แก่[7]
โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท
โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท
โครงการด้านการศึกษา จำนวน 137,975 ล้านบาท
โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาท
อ่านทั้งหมดที่นี่ นะครับ
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C_%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A
ฉายารัฐมนตรีคลังโลก กรณ์ จาติกวณิช
ผลงานการทำงาน
กรณ์ จาติกวณิช เคยดำรงตำแหน่งประธาน บริษัท เจพี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด พ.ศ. 2544 – พ.ศ. 2547 ประธานบริษัทหลักทรัพย์เจเอฟ ธนาคม จำกัด พ.ศ. 2531 – พ.ศ. 2543 เอส จี วอร์เบิร์ก ลอนดอน ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2528 – พ.ศ. 2530
พ.ศ. 2528 : เริ่มงานด้วยตำแหน่งผู้จัดการกองทุน บริษัท เอส จี วอร์เบิร์ก (S.G. Warburg & Co.) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ (พ.ศ. 2528-2530)
พ.ศ. 2531 : กลับประเทศไทย ร่วมก่อตั้งและเป็นประธาน บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัยเพียง 24 ปี (พ.ศ. 2531-2535)
พ.ศ. 2535 : กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เจเอฟ ธนาคม จำกัด ด้วยวัย 28 ปี (พ.ศ. 2535-2543)
พ.ศ. 2544 :ขายหุ้น เจเอฟ ธนาคม ในมือทั้งหมดให้กับ JP Morgan Chase และตั้งใจจะวางมือ เพราะแผนธุรกิจบรรลุผล ได้ผ่านงานในวงการการเงินครบแล้ว
ตัดสินใจรับข้อเสนอเป็นประธาน บริษัทเจพี มอร์แกน ประเทศไทย โดยทำงานในฐานะผู้บริหารมืออาชีพแบบเต็มตัว (พ.ศ. 2544-2548)
พ.ศ. 2548 : ลาออกจาก JP Morgan เพื่อเข้าสู่วงการเมืองในวัย 40 ปี
ผลงานทางการเมือง
กรณ์ จาติกวณิช เข้าสู่วงการการเมืองจากการชักชวนของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อนนักเรียนเมื่อครั้งเรียนอยู่ที่อังกฤษ โดยชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ส. เขต 7 กรุงเทพมหานคร ซึ่งประกอบด้วย เขตยานนาวาของพรรคประชาธิปัตย์ จากการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 ด้วยคะแนนเสียง 36,010 คะแนน เป็น 1 ใน 4 ของ ส.ส.กรุงเทพมหานครของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากนั้นนายกรณ์ ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต่อเนื่องอีก 4 สมัย (2548, 2550, 2554, 2562)
กรณ์ จาติกวณิช เคยได้รับเลือกให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเงา ในการติดตามตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
ทางด้านการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร กรณ์ จาติกวณิช ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมาธิการการเงินการคลังและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย
กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์[4]
กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่อปลายปี 2551 ในช่วงที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกแฮมเบอร์เกอร์ จนเมื่อปลายปี 2553 มาตรการ "ไทยเข้มแข็ง" ที่นายกรณ์ ริเริ่มไว้ส่งผลจนประสบความสำเร็จจนนายกรณ์ ได้รับตำแหน่ง "รัฐมนตรีคลังโลก" คนแรกของประเทศไทย
ปลายปี พ.ศ. 2553 สื่อมวลชนประจำทำเนียบได้ตั้งฉายารัฐบาลและรัฐมนตรี โดยกรณ์ ได้รับฉายาว่า "โย่งคาเฟ่" จากผลงานการแสดงบทบาทพันตรีประจักษ์ คู่กับทักษอร ภักดิ์สุขเจริญในภาพยนตร์โฆษณา และการเปิดผับเชียร์ฟุตบอล[5]
2556-2562 กรณ์ จาติกวณิช
- ทดลองนโยบายหลายโครงการได้แก่ โครงการ "ข้าวอิ่ม" เกษตรเข้มแข็ง ช่วยชาวนาพลิกวิถีทำกินสู่การเป็นเกษตรพรีเมียม
- ทดลองนโยบายแก้หนี้ให้ผู้มีสินเชื่อบ้านด้วยโครงการ Refinn ลดหนี้บ้าน ช่วยคนไทยผ่อนภาระ
- ทดลองโครงการ English For All ช่วยให้เด็กไทยในถิ่นทุรกันดารมีโอกาสในการเข้าถึงการเรียนภาษาอังกฤษอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง
2556-2562 กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่ง "ประธานกรรมการนโยบาย" เป็นตำแหน่งสุดท้ายในพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยชุดนโยบาย "แก้จน-สร้างคน-สร้างชาติ"
2563 กรณ์ จาติกวณิช ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่ก่อตั้งเป็นการเมืองแบบสตาร์ทอัพ ชื่อ "พรรคกล้า" เป็นพรรคการเมืองเน้นรวมพลคนมีของ คนรุ่นใหม่ที่ตั้งใจเข้ามาพัฒนาประเทศร่วมกัน โดยใช้เทคโนโลยี และหลักปฏิบัตินิยมเป็นหลักการสู่เศรษฐกิจใหม่แก่ประเทศไทย
ผลงานที่สำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจกลางปีจำนวน 116,700 ล้านบาท อันไปใช้ในโครงการดังกล่าว[6]
มาตรการเพิ่มรายได้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชนและบุคลากรภาครัฐรวมทั้ง ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมที่มีรายได้น้อย วงเงินประมาณ 19,000 ล้านบาท
การให้เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุ วงเงิน 9,000 ล้านบาท
การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน เช่นการต่ออายุ 6 เดือน 6 มาตรการ ยกเว้นการเก็บภาษีสรรสามิตน้ำมัน จำนวน 11,000 กว่าล้านบาท
กระทรวงพาณิชย์จะเข้าไปช่วยเหลือลดค่าครองชีพอีก 1,000 ล้านบาท
มาตรการการเรียนฟรี วงเงิน 19,000 ล้านบาท
การดูแลประชาชนที่ประสบปัญหาการว่างงาน ผู้เสี่ยงถูกเลิกจ้าง ผู้ถูกเลิกจ้างและบัณฑิตจบใหม่ วงเงิน 6,900 ล้านบาท
การสนับสนุนภาคการผลิตในบางโครงการ แต่เป็นจำนวนเงินที่ไม่มาก ยกเว้นกรณีกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงที่ช่วยเสริมในส่วนของภาคชนบทและภาคการ เกษตรที่จะใช้วงเงิน 15,200 ล้านบาท
มาตรการภาษีและมาตรการอื่นๆ
แผนกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2552 จำนวน 1.43 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเน้นลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย โครงการลงทุนภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ระยะที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติมีมูลค่าทั้งหมด 1,431,330 ล้านบาท เป็นการลงทุนระหว่างปี 2552-2555 ล้านบาท คาดว่าจะช่วยสร้างงานได้ประมาณ 1.6-2 ล้านคน และช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคเอกชนในระยะยาว ได้แก่[7]
โครงการขนส่ง/Logistic จำนวน 571,523 ล้านบาท
โครงการด้านทรัพยากรน้ำและการเกษตร จำนวน 238,515 ล้านบาท
โครงการด้านการศึกษา จำนวน 137,975 ล้านบาท
โครงการสาธารณสุข จำนวน 99,399 ล้านบาท
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยว จำนวน 18,537 ล้านบาท
อ่านทั้งหมดที่นี่ นะครับ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C_%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A