ตำนานคนกินหมา ล่าเผ็ดซ่าชาลิ้น




สามารถฟังเป็นคลิปเสียงได้ตามลิงก์ด้านล่างเลยนะครับ

https://youtu.be/0Ci3_fUvMJc

ตำนานคนกิน หมา ล่า เผ็ดซ่าชาลิ้น

หมาล่า เครื่องเทศที่ใช้ในการปรุงรสชาติ ของอาหารไม่ว่าปิ้งย่าง ต้มกินเป็นสุกี้หม้อไฟ ความเผ็ดร้อน ซ่าชาลิ้น

และมีกลิ่นหอมที่เฉพาะตัว

จึงทำให้หมาล่า เป็นที่นิยมรับประทานกันอย่างมาก แล้วคุณผู้ชมรู้หรือไม่ครับว่า ใครกันที่นำเจ้าหมาล่ามาปรุงอาหารกินกัน

เป็นคนกลุ่มแรกๆ

สวัสดีครับมีเรื่องไรเล่า ตอนนี้จะพาคุณผู้ชมไปรู้จักกับหมาล่า เครื่องเทศที่สุดร้อนแรงแห่งยุค ว่าต้นกำเนิดวัฒนธรรม

การกิน หมาล่านั้นมาจากที่ใด และใครกันที่นำเครื่องเทศชนิดนี้มากินกันก่อนเป็นกลุ่มแรกๆ ในตอนที่มีชื่อว่า 

                         ต้นกำเนิดคนกินหมา ล่า เผ็ดซ่าชาลิ้น

ก่อนที่เราจะได้รู้ที่มาที่ไปว่าใครกันนะครับ คือพวกคนกลุ่มแรกๆ ที่เอาเครื่องเทศหมาล่ามาใช้ปรุงอาหารนั้น

ผมอยากขอ อธิบายความหมายของคำว่า หมาล่าเสียก่อน คำว่า หมาล่า นั้นนะครับ เป็นภาษาจีน

ที่อธิบายถึงความรู้สึกของรสชาติอาหารโดย คำว่า หมา แปลว่า ชา

คำว่าล่า แปลว่า เผ็ด เมื่อสองคำรวมกันจึงได้เป็นชาเผ็ด หรือเผ็ดชา เมื่อใดก็ตามที่ชาวจีนได้กินอาหารชนิดใดๆ


แล้วรู้สึกเผ็ดและชาลิ้น นั้นจึงเป็นรสสัมผัสที่เรียกว่ารส หมาล่า ทีนี้พอจะนึกออกแล้วใช้ไหมล่ะครับ

ว่า หมาล่า นั้นไม่ได้หมายถึงตัวชนิดของเครื่องเทศ แต่เป็นคำอธิบายความรู้สึกในรสชาติเท่านั้น

ส่วนในองค์ประกอบของเครื่องเทศของหมาล่า ก็จะมีพริกที่มีความเผ็ดร้อน และความชา ที่เป็น เอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้น

จะได้มาจาก ฮวาเจียว หรือที่รู้จักกันในชื่อพริกไทยเสฉวน มันมีลักษณะเป็นเมล็ด กลมเล็ก ๆ คล้ายๆ พริกไทย แต่เจ้าฮวาเจียว 




มันความพิเศษมากๆ นอกจากมันจะมีรสเผ็ดนิดๆ แล้วถ้าเรากัดเมล็ดมันแตกข้างในปาก มันจะหลังสาร ไฮดอกซี่ อัลฟา ซันโชวร์

ที่ทำให้ปุ่มรับรสสัมผัสลิ้นเราสั่นสะเทือนเหมือนกับโดนไฟฟ้าช็อตเบาๆ จึงทำให้เรารู้สึกชาที่ลิ้นนั้นเอง

ในประเทศจีนก็มีการเพราะปลูกต้นฮาวเจียวกันในหลายภูมิภาค แต่ฮาวเจียวที่มี คุณภาพดีสุดในประเทศจีนนั้น จะต้องเป็นฮวาเจียว

ที่มาจากเมืองฉงชิ่งเท่านั้น ที่คนจีนให้การยอมรับ และเมืองฉงชิ่งนี้แหละครับก็คือต้นกำเนิดในการกินอาหารรสหมาล่า

แต่ว่า ใครกันละคือคนต้นคิดปรุงรสหมาล่านี้ เกิดขึ้นมาได้ยังไง?????? 

ผมก็ต้องขออธิบาย ที่มาและที่ไป ลักษณะของเมือง ฉงชิ่ง ให้เข้าใจกันก่อนนะครับ

เมืองฉงชิ่งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ฉงชิ่งนั้นเคยเป็นเมืองที่อยู่ในเขตการปกครองของมณฑลเสฉวน

ในมณฑลเสฉวน ก็จะมีหลายๆ เมืองประกอบกันอยู่รวมๆ กันจึงเกิดเป็นมณฑล โดยที่ เมืองเอกของมณฑล เสฉวนนั้น

ก็คือเมืองเฉิงตู ถ้าใครเคยอ่านสามก๊ก เฉิงตูก็เป็นเมืองที่เล่าปี่อยู่นั้นเอง นะครับ

แต่ตั้งแต่ปี 1997 มาเมืองฉงชิ่งก็เจริญรุดหน้า กว่าทุกๆ เมืองในมณฑลเสฉวน ประชากรในเมืองฉงชิ่งเรียกได้ว่าอยู่ดีกินดี

และส่วนใหญ่ก็จะมีฐานะดีกันมากๆ ถึงขนาดที่ว่า gdpของเมืองฉงชิ่งเมืองเดียว สูงมากกว่าทุกๆเมืองในมณฑลเสฉวนเอามารวมกัน

เสียอีกที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมือง ฉงชิ่งนั้นเป็น เมืองที่มีความสำคัญต่อทั้งระบบเศรษฐกิจภายในประเทศจีน

อดีตย่อมส่งผลมาถึงปัจจุบัน ในความเป็นจริงแล้วเมืองฉงชิ่งไม่ใช่ว่าจะเพิ่งมาเจริญเติบโตก้าวหน้าแต่อย่างใด

ความเจริญก้าวหน้าและความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของเมืองฉงชิ่งนั้น มีมายาวนานกว่านับพันปีมาแล้วครับ

และในอดีตที่เมืองฉงชิ่ง นั้นก็มีอาชีพ อยู่อาชีพหนึ่งที่มีความพิเศษ ที่จะหาที่ไหนไม่ได้ในประเทศจีน และอาชีพที่พิเศษที่ผมว่านี้

แหละครับ จะเป็นต้นกำเนิดในการกินอาหารรสหมาล่า

เอาละครับ ผมขอพาคุณผู้ชมย้อนกลับไปในอดีตของเมืองฉงชิ่งกว่า หลายร้อย ร้อยๆ ปีก่อนนะครับ

ก่อนที่เราจะไปทำความรู้จักกับอาชีพพิเศษที่มีแต่เฉพาะเมืองฉงชิ่งในสมัยโบราณนั้น ผมก็ต้องขออธิบายถึง ภูมิประเทศของเมือง

ฉงชิ่งนี้เสียก่อน เพื่อที่คุณผู้ชมจะได้ทราบได้ว่าทำไม่อาชีพนี้มีความสำคัญและมีที่มาที่ไปอย่างไร อีกทั้งทำไมเมืองฉงชิ่งจึงเป็น

เมืองท่าที่สำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ ของประเทศจีนในสมัยโบราณ จวบจนมาถึงปัจจุบัน

อย่างที่บอกไปแล้วว่าเมืองฉงชิ่งนั้น อยู่ในเขตมณฑล เสฉวน โดย ภูมิประเทศส่วนใหญ่ของ มณฑลเสฉวนจะเป็นภูเขาสูงมีพื้นที่อยู่

สูงกว่าระดับน้ำทะเล อีกทั้งยังมีเมฆหมอกปกคลุมหนาทึบ ทำให้ไม่ค่อยได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ 

จึงทำให้จะมีอากาศที่หนาวเย็น แต่ที่ทำให้เมืองฉงชิ่งนั้นได้กลายเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจที่สำคัญในอดีต

นั้นก็เป็นเพราะว่า มันมีแม่น้ำสายหนึ่งที่ไหลผ่านเมือง

แม่น้ำสายนี้ประดุจดังเส้นเลือดใหญ่ของคนจีนมาอย่างยาวนาน มหานทีแห่งนี้คือแม่น้ำ แยงซีเกียง

หรือที่คนจีนเรียกว่า แม่น้ำฉางเจียง

แม่น้ำแยงซีเกียงนั้น มีจุดเริ่มต้น มาจากเทือกเขาทางทิเบตและไหลทอดตัวยาวผ่านใจกลางกลางของประเทศจีน ไป

ออกยังเซี่ยงไฮ้เมืองชายฝั่งทางทะเล รวมระยะทางกว่า 6,300 กิโลเมตร และตลอดเส้นทางของแม่น้ำแยงซีเกียงที่ไหลผ่านไปนั้น

ก็จะแตกออกไปเป็นแม่น้ำน้อยใหญ่อีกว่า700สายไหลรวมกันตลอดทั้งเส้นทางทั่วทั้งประเทศจีน จึงทำให้ แม่น้ำแยงซีเกียงแห่งนี้ใช้




หล่อเลี้ยงผู้คนทั้งประเทศจีน ไม่เพียงแค่สายน้ำแห่งนี้จะใช้ในการหล่อเลี้ยงผู้คนจากทำเกษตรกรรมแล้วนะครับ

เส้นทางลำน้ำแยงซีเกียง ก็ยังถูกใช้ในการคมนาคมทางเรือ ในการขนส่งสินค้าทั้งในประเทศและส่งออกไปขายยังต่างประเทศ

  ต้องบอกแบบนี้ก่อนนะครับว่าในสมัยอดีต ถนนหนทางในการเดินทางมันไม่ได้สะดวกเหมือนในปัจจุบัน การที่จะขนส่งสินค้าถ้าใช้

เป็นกองคาราวานเดินทาง ทางบก นั้นจะล่าช้ากว่า การที่เดินทางด้วยทางน้ำ โดยการขนของใส่เรือสำเภาล่องไปตามแม่น้ำ

อีกทั้งในแม่น้ำแยงซีเกียงก็มีแม่น้ำลำคลองน้อยใหญ่ที่แตกแยกกันออกไปยังเส้นทางต่างๆ ได้อีกหลายสาย จึงสะดวกและรวดเร็ว

กว่า กว่าการขนส่งกันทางบก จึงมีคำกล่าวหนึ่งของคนจีนสมัยโบราณว่า เมืองไหนที่มีแม่น้ำฉางเจียงไหลผ่าน เมืองนั้นก็จะเจริญ

และด้วยแม่น้ำแยงซีเกียงนั้น ก็ได้ไหลผ่านที่เมืองฉงชิ่ง จึงทำให้เมืองฉงชิ่งเป็นเมืองท่าจุดพักสินค้าที่สำคัญเป็นอย่างมากที่ในการ

ที่ขนถ่ายสินค้า ในอดีต และอีกหนึ่งปัจจัยหนึ่งสำคัญที่สุด ที่ทำให้เมืองฉงชิ่งนั้นเป็นจุดศูนย์กลางของเท่าเรือในการค้าในสมัยนั้นก็

คือ ปราการทางธรรมชาติ

การที่จะล่องเรือผ่านจากเมืองฉงชิ่งลงไปมณฑลหูเป่ย ลงต่อไปยังเมืองอู่หั่น นั้นมันจะต้องผ่านโค้งน้ำที่อันตรายเป็นอย่างมากที่

เรียกกันว่า ต้าซานเสีย

โดยจะมีทั้งหมดด้วยกันอยู่ด้วยกันสามช่วงที่อันตราย ในบางช่วงของเส้นทางนี้ จะมีทั้งระดับน้ำ ตื้นเขินเกินกว่าที่เรือสำเภาที่บรรทุก

สินค้ามามากๆก็จะไม่สามารถผ่านไปได้ อีกทั้งก็ยังมีเกาะแก่ง หินมากมายที่ขวางทางในการล่องลำน้ำ และบางช่วงก็ยังมี

กระแสน้ำที่มีความเชียวกราดเป็นอย่างมาก มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะล่องเรือผ่านกระแสน้ำในช่วงนี้ไปได้

จนถึงกลับมีคำกล่าวในสมัยนั้น กันว่าการเดินทางทวนกระแสน้ำแยงซีเกียงสู่เมืองเสฉวนนั้น ยากยิ่งกว่าไปสวรรค์

และด้วยเหตุนี้เองมันจึงทำให้ในช่วงเวลานั้นได้เกิดมีอาชีพ อาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อ การเดินทางคมนาคมค้าขาย

ล่องเรือ ผ่าน จุดอันตรายทั้งสามจุดนี้ไปให้ได้ นั้นก็คือ อาชีพคนลากเรือ โดยที่หน้าที่ของพวกเขาเหล่านั้นจะต้องคอยลากทั้งเรือ

สินค้าน้อยใหญ่ ให้ผ่านในจุดอันตรายทั้งสามไปให้ได้ พวกเขาเหล่านั้นจะใช้เชือกผูกมัดร่างกายร่วมๆ

ต่อกันไปตามแต่ขนาดของเรือ ถ้าหากเรือลำใหญ่ก็จะต้องใช้คนจำนวนมาก ผูกยาวต่อกันไป ทั้งคนเเละเรือ ซึ่งคนเหล่านี้จะต้อง

ออกแรงลากเรือกันไป ตามสองข้างทางของแม่น้ำแยงซีเกียง ในบางช่วงก็เป็นทั้งพื้นที่ ที่เป็นแก่งหิน หน้าผาก็มี คนลากเรือเหล่านี้

จะต้องมีความสามัคคีกันเป็นอย่างมากในการออกแรงลากจูง เพื่อให้เรือบรรทุกสินค้า ผ่านไปให้ได้

โดยที่ในขณะที่พวกเขาลากเรือก็จะมีหัวหน้าเป็นคนคอยคุมและอาศัยการร้องเพลงเพื่อควบคุมจังหวะในการออกแรงลากเรือ
ไปอย่างพร้อมเรียงกัน เพราะถ้าหากในการลากเรือขาดความพร้อมเพรียงสามัคคีกันแล้ว มันก็จะมีโอกาสที่จะพลาดผลัดตกลงไปใน

แม่น้ำแล้วอาจจะถูกกระแสน้ำของแยงซีเกียงดูดกลืนกินชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นไปได้อย่างง่ายได้

อาชีพคนลากเรือนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากในสมัยนั้น ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศจีน แต่ถ้าว่าในความเป็นจริง

แล้วในยุคนั้น อาชีพคนลากเรือกลับเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยที่สุดเป็นเพียงแค่กุลีที่ใช้แต่แรงกายแรกแลกกับค่าแรงอันน้อยนิด อีกทั้งการ

ยอมรับทางสังคมของพวกเขาเหล่านั้น ก็กลับถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ต่ำต้อยและน่าน่ารังเกียจ ถึงขนาดที่ว่าถ้าหากบ้านไหนที่มี

ลูกสาว ที่มีบ้านอยู่บริเวณสองข้างฝังของแม่น้ำแยงซีเกียง ถ้าหากว่าพวกเขาได้ยินเสียงเพลงของคนลากเรือ กำลังจะผ่านมาที่หน้า

บ้านของ พวกเขา ก็จะพากันรีบไปปิดประตูหน้าต่าง เพื่อไม่อยากให้ลูกสาวของพวกเขานั้นได้ไปมองเห็นพวกกลุ่มคนลากเรือ ที่

กลุ่มคนลากเรือเป็นที่น่ารังเกียจขนาดนั้นก็เป็นเพราะว่า อาชีพคนลากเรือทั้งหมดนั้นจะมีแต่พวกผู้ชาย ซึงพวกเขาเหล่านั้นจะเปลือย

กายล่อนจ้อนนุ่งลมห่มฟ้า จะมีก็แค่เพียงเศษผ้าเอาไว้พาดบ่าป้องกันเชือกจะถูกับผิวผนังเท่านั้น พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถสวมใส่

เสื้อผ้าอาภรณ์อะไรได้เลย นั้นเป็นเพราะว่า ถ้าหากใส่เสื้อผ้า ในขณะที่ลากเรือ ในบางช่วงต้องลงไปลากในแม่น้ำบ้าง เสื้อผ้าก็อาจ

จะเปียกน้ำ จะยิ่งทำให้มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น และเสื้อผ้าก็อาจจะทำให้ถูกกระแสน้ำไหลพาพัดไปได้อีกด้วย

อีกทั้งถ้าต้องใส่เสื้อผ้าที่เปียกน้ำและอยู่ในสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ ก็จะทำให้พวกเขาเจ็บไข้ได้ป่วยเอาๆ ง่ายอีกด้วย

ดูเอาสิครับ งานที่ทำออกแรงทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเสี่ยงชีวิตอีกต่างหาก ค่าแรงก็น้อย แถมยังต้องเปลือยกายล่อนจ้อนไม่ได้ใส่

เสื้อผ้าทำงานซ้ำยังถูกมองเป็นกลุ่มอาชีพที่น่ารังเกียจอีกต่างหาก แหม่มันก็ช่างน่าน้อยใจจริงๆ เลยนะครับ

สำหรับอาชีพคนลากเรือ ในสมัยนั้น

และด้วยเหตุที่คนลากเรือเป็นกลุ่มคนที่น่ารังเกียจแบบนี้เมื่อถึงเวลาพักรับประทานอาหารการ พวกเขาเหล่านั้นจึงนั่งจับกลุ่มกัน

กินอาหารร่วมๆ กันอยู่เป็นประจำ โดยที่อาหารการกินของพวกเขาก็ง่ายแสนง่าย พวกเขาจะเขาก้อนหินที่อยู่ตามแม่น้ำมาตั้งเป็นฐาน

แล้วก่อไฟแล้วเอาหม้อ หรือกระทะใบใหญ่ ใส่น้ำจากแม่น้ำ ต้มให้เดือด แล้วก็หาเอา ผักหรือเครื่องเทศต่างๆ ที่ขึ้นตามริมฝั่งของ

แม่น้ำใส่ลงไปในกระทะนั้นและต้มกินรวมๆ กัน และด้วยความยากจน พวกเขาเหล่านั้นจึงไม่ไม่มีโอกาสที่จะได้หา กินเนื้อสัตว์ได้แต่

อย่างใด ถ้าจะมีโอกาสได้กินอย่างดีก็แค่ เครื่องในสัตว์ หรือ หัวหมูเพียงเท่านั้นหรือถ้าโชคดีหน่อยก็จับเอากบภูเขาลงไปต้มกิน

     คือว่าในสมัยนั้นนะครับ คนที่มีเงินเขาจะนิยมกินแต่เนื้อสัตว์ไม่กินเครื่องในกันเพราะมันเหม็นคาว เครื่องในสัตว์จึงมีราคาถูก

พวกกลุ่มคนที่ลากเรือจึงนิยมใช้ พวกเครื่องเทศ ที่หาเก็บเอาได้ง่ายๆ ที่ขึ้น ตามริมฝั่งของแม่น้ำแยงซีเกียง อย่างฮาวเจียว

นี้แหละครับ เอามาใส่ใน อาหาร เพื่อดับกลิ่นคาว อีกทั้งพวกคนลากเรือนั้นจะชอบกินอาหารรสจัด เผ็ดๆ พวกเขาก็มักที่จะเตรียมพวก

พริกแห้งต่างๆ ใส่ผสมกันลงไปในหม้อต้มทั้งผักและเครื่องในสัตว์ รับประทานกันอย่าง

เอร็ดอร่อยกันตามอัตภาพที่พวกเขาพอจะหากินกันได้

        ลองนึกภาพตามกันแบบนี้ละกันนะครับ กลุ่มชายฉกรรจ์

เปลือยกายล่อนจ้อน นั่งล้อมวงกันกินสุกี้ หม้อไฟหมาล่าแบบเผ็ดๆ ร้อนๆ ในอากาศที่หนาวๆ อืมฮือ น่าอร่อยกันใช่ไหมล่ะครับ

และด้วยเหตุนี้แหละครับ อาหารและเครื่องเทศที่มีพริก ฮวาเจียว เป็นส่วนผสมนี้ เอง มันจึงได้ทำให้เกิดมาเป็นรสของหมาล่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่