[CR] [#ฉันจะมารีวิว] Dreamcatcher (드림캐쳐) ‒ ‘Dystopia : Lost Myself’ 🌻 K-POP REVIEW

** โปรดอ่าน! **
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยเพราะคนเขียนไม่ได้มีความรู้เรื่องของเพลงแม้แต่นิดเดียว
-
[K-POP REVIEW]
Dreamcatcher ‒ Dystopia : Lost Myself
 
Release : 2020/08/17
Genre : pop rock
 

• สารภาพจากปากตัวเองเลยว่าไม่เคยคิดที่อยากจะฟังเพลงของดรีมแคชเชอร์สักเท่าไหร่ มันไม่ใช่เพราะเพลงของสาวๆเหล่านี้ไม่ถูกดี(อย่าเข้าใจผิด)แต่กลับเป็นความปัญญาอ่อนของตัวเองล้วนๆ ไม่กล้าที่จะต้องเพ่งเล็งมิวสิควิดีโอที่ผ่านมาในแนว horror-fantasy พร้อมกับการฟังเพลงควบคู่เพื่อเพิ่มอรรถรสให้ตัวเองได้อินมากยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ว่ามันจะโผล่มาตอนไหนอะไรยังไง พูดภาษาสั้นๆก็คือ ‘อินี่แอบกลัวผีนั่นแหละ ’ สรุปแล้วความเป็นจริงทั้งหมดหลังจากฟัง Deja-Vu พร้อมเปิดเอ็มวีไปด้วย.. เออแม่- งก็ไม่มีอะไรนิหว่า โอเคคิดมากไปเองทั้งนั้นเลย ฮ่าๆๆๆ (หัวเราะแห้ง).. ถึงแม้ว่าวงจะมีกระแสเป็นที่พูดถึงจากคอนเซ็ปอันแปลกปแหวกตลาดเคป็อบเกิร์ลกรุ๊ปแบบฉีกทุกกฏข้อจำนวนตามพิมพ์นิยมที่ต้องมาหวานใสไม่ก็เซ็กซี่หรือ girl crush เท่ๆ ทุกอย่างตัดทิ้งออกจากวงนี้หมดเหลือไว้แค่แก๊งค์สาวตาข่ายดักฝันอันน่าสะพรึงกลัวกับซาวน์ดเพลงอันเป็นเอกลักษณ์จุดขายคือ pop rock ที่ค่อนไปทาง nu-metal จางๆ เกรงขามความเข้มข้นและแข็งแกร่งด้วย storytelling อันตรงคอนเซ็ปแบบชัดเจน.. เออมันก็พอซื้อใจคนฟังอย่างดิชั้นที่ไม่ค่อยปลาบปลื้มแนวร็อคจ๋าสักเท่าไหร่
 
• ถึงแม้ว่าการเล่าเรื่องอันน่าสะพรึงกลัวอย่างซีรี่ส์ Nightmare มันจะจบไปแล้วก็ตามแต่ใช่ว่าจะละทิ้งคอนเซ็ปเดิมของตัวเอง.. การสานต่อเรื่องราวใหม่อย่าง Dystopia ดินแดงอันเคว้งคว้างที่เต็มไปด้วยพลังงานมืดกับการแปลงโฉมเป็นอินางแม่มดพร้อมทำลายล้างโลก Utopia ไม่ให้เหลือสิ้นซากความสุขอันแสนสดใส การส่งพาร์ทแรกอย่าง The Tree of Language มาเป็นการปูเรื่องราวแรกเริ่มหาต้นตอที่แท้จริงของโลกใบนี้แบบฉบับของดรีมแคชเชอร์ ซึ่งเมื่อต้นปีก็ได้ทำการรีวิวไปแล้วแหละ(แต่การเรียงลำดับสะเปะสะปะมาก ขออภัยด้วย)เผื่อใครอยากอ่านแกล้งๆ ก็ตามลิ้งค์ที่แปะไว้ >> facebook.com/chanjamareview/photos/a.783962615417987/824594584688123
 
• ระยะเวลา 6 เดือนกับการสานต่อพาร์ทสองอย่าง Lose Myself พอมันเริ่มถูกความมืดครอบงำทั้งสภาวะร่างกายและจิตใจเป็นแม่มดเต็มรูปแบบโดยสมบูรณ์ ความไร้ปราณีต่อการเกลียดชังมันยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นการสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปในที่สุด.. soundtrack ทั้งหมดสี่เพลง(จัดว่าน้อยโคตรสำหรับอีพีอัลบั้ม)กลับไม่ได้เล็งเห็นถึงสิ่งที่อยากฟาดฟันหรือแก้แค้นจากแม่มดเหล่านี้ในการถูกกระทำมาก่อนแบบครบวงจร เหมือนยังกั๊กอะไรบางอย่างที่รู้สึกว่าภาพรวมอีพีตัวนี้ยังดึงความเป็น Dystopia ออกมาได้ไม่ว้าวเท่าที่คาดหวังไว้นี่สิ
 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

1. BOCA ภาษาสเปนที่แปลว่า ปาก นัยยะความแรงของการเกลียดชังที่มาในรูปแบบของคำพูดต่างๆ เปรียบกับ Scream แล้วนั่นคือการเตือนขั้นที่หนึ่งแต่แทร็คนี้มันไม่ใช่การเตือนครั้งสองหรือสาม แต่มันคือครั้งสุดท้ายเพราะถ้ายังไม่เลิกพูดจาในทำนอง hate speech ก็ระวังปากเอาไว้ให้ดีเดี๋ยวจะไม่ได้พูดอีกต่อไป ขึ้นชื่อว่าเป็นซิงเกิ้ลโปรโมทในความห้าวหาญนำชัยมันต้องมีอยู่แล้วเป็นทุนเดิม แต่เรื่องการเรียบเรียงซาวนด์ถือว่าค่อนข้างห่างชั้นกับซิงเกิ้ลที่แล้วพอตัว การเหยาะแนว moombahton ลองเชิงในช่วง verse กลับดูเหมือนนางแม่มดที่ยังใจอ่อนพอมันตัดฉับเข้าคอรัสซาวนด์ป็อบร็อค จังหวะค่อนข้างดูตัดฉับและขาดความสมูธไปหน่อย บริบทมันเลยดูเหมือนคนที่พยายามจะเข้มแข็มแต่ยังอ่อนแอซะมากกว่า
 
2. Break The Wall ซาวนด์ intense rock นี่แหละคือสิ่งที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปในอีพีนี้มากที่สุด ทะลายความเกลียดชังเพื่อปกป้องตัวเองจากสิ่งอันเลวร้ายจากคำพูดต่างๆที่ไม่ประสงค์ดีกับตัวเรา การปรับออโต้จูนให้กลายเป็นโทรโข่งเหมือนคนประท้วงแม่- งคือนัยยะ message ที่ชัดเจนและโคตรเจ๋งเอามากๆ ยิ่งไลฟ์สดใน showcase ถือโทรโข่งคนละมือยิ่งรู้สึกว้าวมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าแทร็คนี้มันดันเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองเราแปลกๆยังไงชอบกลแฮะ //gatเชื่อมโยงไปเรื่อย


• การที่เราได้รับรู้ถึงความสูญสิ้นการเป็นตัวของตัวเองจากการถูกพวกคำพูดที่เกลียดชังทั้งหลายแหล่จนกลายเป็นความแค้นที่ฝันหุ่นลงลึกภายใต้จิตใจไปเรื่อยๆ อีพีนี้เหมือนแม่มดทั้งหกนางทำให้เราเห็นและรับรู้ถึงสถานะตอนนี้แต่มันกลับไม่ได้ appreciate สักเท่าไหร่ ในช่วงครึ่งเราได้เห็นความแกร่งกล้ายืนพื้นของคอนเซ็ปแบบแจ่มแจ้งแต่ในส่วนของครึ่งหลังกลับนอกลู่นอกทางหลุดธีมไปโดยปริยาย กลายเป็นเหมือนพวกแม่มดที่พยายามจะแอ๊บแอ้เข้าไปยันโลกของ utopia อย่าง Can't get you out of my mind ที่มาในรูปแบบของซาวนด์ edm pop จ๋าที่เนื้อหาพูดถึงการสูญเสียคนรักที่ฉันไม่สามารถขาดคุณไปได้ หรือจะเป็น Dear งานเพลงบัลลาดซึ้งๆที่แต่งให้ InSomnia จากฝีมือเจ๊จีอูลีดเดอร์ของวง ทั้งสองแทร็คหลังนี้มันไม่ใช่ไม่ดีนะแค่มันไม่ได้ช่วยทำให้คอนเซ็ปดูมี layout ที่มากขึ้นแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่ Paradise ซิงเกิ้ลเดี่ยวของชียอนที่จับยัดลงไปในอัลบั้มที่แล้วแบบอิหยังวะยังรู้สึกว่าเฮ้ยมันเข้ากับบริบทคอนเซ็ปนี้ดีเลย
 
• มองว่ามันไม่แปลกหรอกกับการจับแทร็คที่ไม่จำเป็นต่ออัลบั้มเพื่อการโปรโมทสำหรับคนที่ต้องการฟังอะไรสบายหู แต่กลับคิดว่าในเมื่อพวกเธอเลือกที่จะทำพาร์ทต่อแล้วไม่ว่าจะรูปแบบ EP หรือ LP ก็อยากให้มันดำเนินต่อไปแบบ non-stop จนกว่าเนื้อเรื่องมันจะ the end เหมือนคาดหวังสูงมากไปหน่อยเพราะมาตรฐานภาคดนตรีพวกเธอไม่ใช่เล่นๆด้วยซ้ำไปจากที่ผ่านมาแทบทั้งหมด รู้สึกเสียดายนะแต่นั่นแหละคนเรามันก็ต้องมีฟอร์มตกกันบ้างเป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้

.
.

“ถ้ามีพาร์ทสามต้องรีบแก้ตัวด่วนไม่งั้นแย่แน่ๆ”

(4.5(+0.5)/10)
Top Track: Break The Wall

ปล. การทำรีวิวทั้งหมดนี้ คนเขียนไม่ได้มีความรู้เรื่องแนวเพลงอะไรมากมายเลยสักนิดเดียวใช้ประสบการณ์จากการฟังเพลงล้วนๆ


thank u for reading 🙏
ถ้ามีคำหรือประโยคไหนที่ใส่มาเพื่อความอรรถรสแล้วไม่ถูกใจผู้อ่านทุกท่าน
ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยจ้า
ชื่อสินค้า:   [#ฉันจะมารีวิว] Dreamcatcher (드림캐쳐) ‒ ‘Dystopia : Lost Myself’ 🌻 K-POP REVIEW
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่