สวัสดีค่ะ ออกตัวก่อนว่าเราเพิ่งเคยเขียนกระทู้เป็นครั้งแรก
ด้วยความที่ติดตามบังทันมาสักพักแล้วยังไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงบังทันในด้านนี้เท่าไหร่
บวกกับได้ดูคลิปที่เกี่ยวกับบังทัน อยากจะนำมาแชร์พูดคุยกับเพื่อนๆอาร์มี่ที่บางคนอาจจะยังไม่ได้ชมคลิปนี้ หรือแปลภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ ^^
คลิปต้นฉบับที่นำมาขยายความ :
BTS // FROM NOBODIES TO LEGENDS [2019]
* Update ตอนนี้คลิปมีซับไทยแล้วนะคะ *
"BTS จากวงที่ไม่มีใครรู้จักสู่ตำนาน"
จุดเริ่มต้น:
อย่างที่หลายๆคนอาจจะทราบกันดี บังทันนั้นเริ่มต้นจากค่ายเล็กๆ ที่ชื่อ Big Hit Entertainment ย้อนกลับไปตอนปี 2010 ประธานค่ายได้พบกับคิมนัมจุน หรือ RM (หัวหน้าวง BTS ในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นเองนัมจุนยังเรียนมัธยมอยู่ แต่ความสามารถในการแร็ปของนัมจุนที่โดดเด่นอย่างมากในวงการแรปเปอร์ใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นเบอร์ต้นๆของวงการตั้งแต่อายุยังน้อย โดยโด่งดังจากการแต่งเพลงแร็ปที่ดุเดือดและความสามารถในการเล่นคำของนัมจุน
(ข้อมูลเพิ่มเติม: นัมจุนมี IQ สูงถึง 148 และได้คะแนนสอบสูงสุด 0.1% แรกในการสอบเข้ามหาลัยแห่งชาติ หรือ 5,000 คนแรกของนักศึกษาทั้งประเทศ)
เช่นเดียวกับมินยุนกิ หรือซูก้า ที่ทำงาน Part-time เป็น Rapper Producer ในห้องอัดสตูดิโอแห่งนึงตั้งแต่สมัยมัธยม โดยทำเพลงขายในวงการใต้ดินจนเริ่มมีชื่อเสียง แต่ถึงอย่างนั้นด้วยฐานะค่อนข้างลำบาก ทำให้มินยุนกิต้องเจออุปสรรคมากมาย ทั้งขายเพลงแล้วไม่ได้เงินบ้าง โดนโกงบ้าง สุดท้ายจึงตัดสินใจมาออดิชั่นเพื่อที่จะเป็นนักแต่งเพลงที่ค่าย แต่ค่ายมองเห็นศักยภาพจึงลองให้มาออดิชันในฐานะศิลปิน แล้วก็ได้ผ่านการคัดเลือก
ในคลิปจะเห็นว่าทั้งสองคน (RM คนซ้ายที่ถือไมค์ ซูก้าคนขวาใส่หมวกดำ) โดนศิลปิน Rapper ใต้ดินด้วยกันตั้งแง่ต่างๆมากมายเกี่ยวกับการเดบิ้วต์ในฐานะศิลปิน K-Pop เพราะพวกเค้าคิดว่าสองคนนี้กำลังทรยศต่อวงการฮิปฮอป ต้องแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนกับพวกผู้หญิงซึ่งขัดกับวัฒนธรรมของฮิปฮอป ในขณะเดียวกันแฟนเพลง K-Pop ตอนนั้นต่างก็วิพากย์วิจารณ์เรื่องหน้าตาของ RM ว่าหน้าตาน่าเกลียดไม่เหมาะที่จะมาเป็นไอดอล
BTS เริ่มต้นจากค่ายเล็กๆ ดังนั้นชีวิตในจุดเริ่มต้นของบังทันจึงค่อนข้างลำบาก ต้องอาศัยในอพาร์ตเม้นเล็กๆ นอนห้องเดียวกัน 7 คน
ความโดดเดี่ยว :
นอกจากนั้น เมื่อไม่ได้มาจากค่ายใหญ่ๆ หรือ BIG3 (SM,YG,JYP) ทำให้แทบจะไม่มีโอกาสได้ขี้นแสดงตามรายการต่างๆ ในสมัยนั้น BTS เองยังเป็นได้แค่วงสำรองเวลามีวงไหนปฏิเสธถึงจะได้ขึ้นแสดง หรือ หากได้ขึ้นแสดงก็มักจะเป็นวงที่ถูกตัดออกเพราะ Air-Time ไม่พอ
และในวันที่บังทันเดบิวต์วันแรกในปี 2013 มีผู้เข้าชมงาน Show Case เพียง 300 คนเท่านั้น
พวกเค้าจึงจำเป็นต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีในตอนนั้นทั้งแต่งเพลงเอง ทำทำนอง เขียนเนื้อร้อง แม้ในค่ายจะมีโปรดิวเซอร์แต่หากพวกเค้าไม่ทำเพลงด้วยตัวเองมันก็ยากที่พวกเค้าจะสามารถเข้าถึงใจคนส่วนใหญ่ได้ BTS เริ่มทำเพลงเองตั้งแต่ตอนนั้นโดยมีซูก้าและ RM เป็นหลักในการช่วยแต่งเพลง และมีโปรดิวเซอร์ในค่ายที่คอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในส่วนของเพลง Title หลักและเพลงอื่นๆในอัลบั้ม
คนแปลกหน้า :
หลังจากต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวมา 2 ปี BTS เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการ Kpop และสามารถชนะรางวัลแรกได้ในรายการเพลงได้
ยิ่ง BTS ประสบความสำเร็จมากขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น ผู้คนต่างตั้งคำถามว่าทำไมเค้าถึงได้ความสำเร็จนั้นมา มันเหมาะสมกับพวกเค้าแล้วหรือไม่
ในตอนนั้นเอง BTS ก็ได้เจอกับอุปสรรคใหม่คือการไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งโดนกล่าวหาว่าก็อปเพลงคนอื่นจนถูกวิพากย์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนัก #Plagiarismboys ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์
" มีการโจมตีมากมายก่อนที่เสียงเชียร์จะดับลง
ผมรู้สึกเหมือนว่าการทำงานหนักจะไม่ใช่ทุกอย่าง
ผมรู้สึกว่าความฝัน ความทะเยอทะยาน ความตั้งใจทั้งหมดมันไร้ค่า"
- คิมนัมจุน BTS
ดื้อรั้น :
แม้ว่าจะเจออุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม แต่การยอมแพ้ง่ายๆนั้นไม่ได้อยู่ในสายเลือดของ BTS พวกเค้ายังคงตั้งใจทำงานอย่างหนัก จนในที่สุดกระแสคลื่นของพวกเค้าก็พัดพาไปถึงฝั่งตะวันตก เหมือนกับก้อนหินที่ตกกระทบบนผิวน้ำสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้แก่อุสาหกรรมเพลงทั้งโลก
BTS กลายเป็นที่สนใจอย่างมากในวงการเพลงฝั่งตะวันตกสามารถเข้าสู่ชาร์ต Billboard ได้หลังจากเดบิ้วมา 3 ปี และเป็นศิลปิน Kpop วงแรกที่ได้รางวัลจาก Billboard Music Award ในปี 2017
หยุดไม่อยู่ :
ปัจจุบัน BTS มีอัลบั้มที่แตะอันดับ 1 ของ Billboard ถึง 4 อัลบั้ม ยังไม่นับรวมรางวัลต่างๆ เช่น Top Duo/Group Billboard
รางวัลศิลปินแห่งปีจาก MAMA และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
" BTS เป็นศิลปินเกาหลีรายแรกที่ได้อันดับ 1 ในชาร์ต Billboard
และเพิ่งกลายเป็นศิลปินกลุ่มแรกที่มี 3 อัลบั้มอันดับ 1 ภายใน 1 ปีนับตั้งแต่ The Beatles"
- Stephen Cobert พูดในรายการ Late Show ของตัวเอง, 2019
ในปี 2019 ยอดขายอัลบัมของ BTS นั้นพุ่งทะยานขึ้นเรื่อยๆ จนมียอดขาย Top 5 ของโลก, ยอดขาย Physical Album อันดับ 1 ใน US
และ มียอดขายอัลบั้มสูงสุดในประวัติศาสตร์เกาหลี
นอกจากนี้ยังมีรายได้ทางอื่น อย่างเช่น รายได้การทัวร์คอนเสริตที่รายได้ติดอันดับ Top ของโลก ไม่แพ้ศิลปินระดับ Taylor Swift หรือ Ed Sheeran
โดยจัดแสดงในสเตเดียมใหญ่ๆ ที่สามารถจุคนได้หลักแสนอย่างเช่น Rosebowl Stadium หรือ Metlife Stadium และถ้าหากจะให้เลือกที่ประทับใจและโดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Wembley Stadium ที่มีศิลปินซึ่งมีเพียง 12 ศิลปินเท่านั้นที่สามารถขายบัตรหมดได้ อย่างเช่น Micheal Jackson, Queen, Beyonce เป็นต้น
"AX Concert ที่เราเคยจัดมีคนมาดู 2,000 คน นั้นหมายความว่าตอนนี้มีคนมาดูเพิ่ม 22 หรือ 23 เท่า
ตัวเลขพวกนี้มันเหมือนปาฎิหารย์..."
- มินยุนกิ BTS
ความจริงใจ :
BTS มี Concept ที่แตกต่างจากวงอื่น พวกเค้าตั้งใจแต่งเพลงที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มาตั้งแต่แรก ทั้งนี้เพลงส่วนใหญ่ยังถูกเขียนจากเรื่องส่วนตัวทำให้แฟนเพลงสามารถสัมผัสได้ถึงการเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงเรื่องราวความยากลำบาก และช่วยให้ผู้คนไม่ได้รู้สึกพวกเค้ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดนี้ลำพัง นอกจากนี้บางเพลงยังพูดถึงปัญหาสังคมอย่างได้ทะลุปรุโปร่งและแหลมคม นักวิจารณ์ต่างบอกว่า ถึงแม้บนโลกจะมีศิลปินที่ทำเพลงแบบนี้มากมาย แต่หาได้น้อยมากที่จะหาเนื้อเพลงที่สามารถเข้าถึงใจคนได้อย่างเพลงของ BTS ดังนั้นจึง
ไม่ต้องแปลกใจหากไม่เจอเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวเหมือนกับเพลงป็อปทั่วๆไป เพราะ 90% ของเพลง BTS เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคม การเมือง ปัญหาสุขภาพจิต การรักตัวเอง โดยบางเพลงอาจจะอ้างอิงจากงานวรรณกรรมต่างๆ รวมถึงทฤษฎีจิตวิทยา อย่างเช่น อัลบัม Map of The Soul ก็มาจากหนังสือจิตวิทยาที่ชื่อเดียวกับอัลบัม โดยบทเพลงในอัลบัมจะค่อยๆอธิบายกระบวนการในการเข้าใจและยอมรับตัวเองในที่สุด
"บังทัน หมายถึง เกาะกันกระสุนที่คอยปกป้องความคิดเห็นต่าง คำวิพากย์วิจารณ์
และความคาดหวังต่างๆ ที่สาดมาที่คนรุ่นใหม่ เพื่อยังคงรักษาไว้ซึ่งคุณค่า หรืออัตลักษณ์ของคนรุ่นใหม่เอาไว้"
- เจโฮป BTS อธิบายที่มาของชื่อวงในรายการวิทยุ
ด้วยเนื้อเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับปัญหาสังคมโดยเฉพาะปัญหาของ Young Generation นี้เอง ทำให้ BTS ถูกเลือกให้ไปพูดบนเวทีใหญ่อย่างสหประชาชาติหรือ UN ในหัวข้อ Speak Yourself ซึ่งเป็น Message ของ BTS เองที่อยากส่งถึงผู้คนทั่วโลก
" ผมพยายามมองหาวิธีที่จะรักตัวเอง จริงๆผมไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการรักตัวเอง แต่พวกคุณสอนผม
ผ่านสายตาของพวกคุณ ผ่านความรักของพวกคุณ ผ่านทวิตเตอร์ ผ่านจดหมาย ผ่านทุกๆอย่างที่คุณทำให้ผม
พวกคุณสอนผมและทำให้ผมรู้ว่าจะเริ่มรักตัวเองยังไง
และการรักตัวเองมันคือเป้าหมายทั้งชีวิตของผมจนกระทั่งวันที่ผมตายนั่นแหละ
อะไรคือรักตัวเอง อะไรคือรักตัวคุณเอง ผมไม่รู้หรอก ใครกันที่เป็นคนกำหนดวิธีและหนทางในการรักตัวเองได้?
มันคือภารกิจของพวกเราที่จะต้องหาหนทางการรักตัวเองในแบบของพวกเราเอง
ดังนั้น, มันอาจไม่ได้รู้สึกมากมายนัก แต่ผมรู้สึกได้ว่า
ผมกำลังใช้พวกคุณในการรักตัวเอง
เพราะงั้นผมขอพูดอะไรสักอย่าง,
ได้โปรด... ใช้ตัวผม, ใช้ BTS เป็นเครื่องมือในการรักตัวเอง
เพราะพวกคุณสอนผมว่าต้องรักตัวเองยังไงในทุกวันๆ "
- คิมนัมจุน BTS
กล่าวปิดคอนเสริต Love Yourself, Speak Yourself
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*Update* เพิ่งเห็นว่าตอนนี้คลิปต้นฉบับมีซับไทยแล้วนะคะ เพื่อนๆคนไหนยังไม่ได้ดูเข้าไปดูได้เลย เป็นคลิปเกี่ยวกับบังทันที่ดีที่สุดตั้งแต่เคยดูมาเลย
และต้องขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับความคิดเห็นที่เพื่อนๆ อาร์มี่คอมเม้นต์มานะคะ ได้เสียงตอบรับดีกว่าที่คิดไว้มาก เราอาจจะเขียนได้ไม่ละเอียดลึกซึ้งมากพอกับที่ใจอยากสื่อสารออกไป แต่ความรักและความชื่นชมที่มีให้กับบังทันนั้นมีมากมายจริงๆค่ะ โบราเฮ <3
[BTS] จากวงที่ไม่มีใครรู้จักสู่ตำนาน FROM NOBODIES TO LEGENDS (แปลคลิป)
ด้วยความที่ติดตามบังทันมาสักพักแล้วยังไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงบังทันในด้านนี้เท่าไหร่
บวกกับได้ดูคลิปที่เกี่ยวกับบังทัน อยากจะนำมาแชร์พูดคุยกับเพื่อนๆอาร์มี่ที่บางคนอาจจะยังไม่ได้ชมคลิปนี้ หรือแปลภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยล่วงหน้าด้วยนะคะ ^^
คลิปต้นฉบับที่นำมาขยายความ :
BTS // FROM NOBODIES TO LEGENDS [2019]
* Update ตอนนี้คลิปมีซับไทยแล้วนะคะ *
"BTS จากวงที่ไม่มีใครรู้จักสู่ตำนาน"
จุดเริ่มต้น:
อย่างที่หลายๆคนอาจจะทราบกันดี บังทันนั้นเริ่มต้นจากค่ายเล็กๆ ที่ชื่อ Big Hit Entertainment ย้อนกลับไปตอนปี 2010 ประธานค่ายได้พบกับคิมนัมจุน หรือ RM (หัวหน้าวง BTS ในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นเองนัมจุนยังเรียนมัธยมอยู่ แต่ความสามารถในการแร็ปของนัมจุนที่โดดเด่นอย่างมากในวงการแรปเปอร์ใต้ดิน เรียกได้ว่าเป็นเบอร์ต้นๆของวงการตั้งแต่อายุยังน้อย โดยโด่งดังจากการแต่งเพลงแร็ปที่ดุเดือดและความสามารถในการเล่นคำของนัมจุน
(ข้อมูลเพิ่มเติม: นัมจุนมี IQ สูงถึง 148 และได้คะแนนสอบสูงสุด 0.1% แรกในการสอบเข้ามหาลัยแห่งชาติ หรือ 5,000 คนแรกของนักศึกษาทั้งประเทศ)
เช่นเดียวกับมินยุนกิ หรือซูก้า ที่ทำงาน Part-time เป็น Rapper Producer ในห้องอัดสตูดิโอแห่งนึงตั้งแต่สมัยมัธยม โดยทำเพลงขายในวงการใต้ดินจนเริ่มมีชื่อเสียง แต่ถึงอย่างนั้นด้วยฐานะค่อนข้างลำบาก ทำให้มินยุนกิต้องเจออุปสรรคมากมาย ทั้งขายเพลงแล้วไม่ได้เงินบ้าง โดนโกงบ้าง สุดท้ายจึงตัดสินใจมาออดิชั่นเพื่อที่จะเป็นนักแต่งเพลงที่ค่าย แต่ค่ายมองเห็นศักยภาพจึงลองให้มาออดิชันในฐานะศิลปิน แล้วก็ได้ผ่านการคัดเลือก
ในคลิปจะเห็นว่าทั้งสองคน (RM คนซ้ายที่ถือไมค์ ซูก้าคนขวาใส่หมวกดำ) โดนศิลปิน Rapper ใต้ดินด้วยกันตั้งแง่ต่างๆมากมายเกี่ยวกับการเดบิ้วต์ในฐานะศิลปิน K-Pop เพราะพวกเค้าคิดว่าสองคนนี้กำลังทรยศต่อวงการฮิปฮอป ต้องแต่งหน้าแต่งตัวเหมือนกับพวกผู้หญิงซึ่งขัดกับวัฒนธรรมของฮิปฮอป ในขณะเดียวกันแฟนเพลง K-Pop ตอนนั้นต่างก็วิพากย์วิจารณ์เรื่องหน้าตาของ RM ว่าหน้าตาน่าเกลียดไม่เหมาะที่จะมาเป็นไอดอล
BTS เริ่มต้นจากค่ายเล็กๆ ดังนั้นชีวิตในจุดเริ่มต้นของบังทันจึงค่อนข้างลำบาก ต้องอาศัยในอพาร์ตเม้นเล็กๆ นอนห้องเดียวกัน 7 คน
นอกจากนั้น เมื่อไม่ได้มาจากค่ายใหญ่ๆ หรือ BIG3 (SM,YG,JYP) ทำให้แทบจะไม่มีโอกาสได้ขี้นแสดงตามรายการต่างๆ ในสมัยนั้น BTS เองยังเป็นได้แค่วงสำรองเวลามีวงไหนปฏิเสธถึงจะได้ขึ้นแสดง หรือ หากได้ขึ้นแสดงก็มักจะเป็นวงที่ถูกตัดออกเพราะ Air-Time ไม่พอ
และในวันที่บังทันเดบิวต์วันแรกในปี 2013 มีผู้เข้าชมงาน Show Case เพียง 300 คนเท่านั้น
พวกเค้าจึงจำเป็นต้องทุ่มเทความสามารถทั้งหมดที่มีในตอนนั้นทั้งแต่งเพลงเอง ทำทำนอง เขียนเนื้อร้อง แม้ในค่ายจะมีโปรดิวเซอร์แต่หากพวกเค้าไม่ทำเพลงด้วยตัวเองมันก็ยากที่พวกเค้าจะสามารถเข้าถึงใจคนส่วนใหญ่ได้ BTS เริ่มทำเพลงเองตั้งแต่ตอนนั้นโดยมีซูก้าและ RM เป็นหลักในการช่วยแต่งเพลง และมีโปรดิวเซอร์ในค่ายที่คอยให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในส่วนของเพลง Title หลักและเพลงอื่นๆในอัลบั้ม
คนแปลกหน้า :
หลังจากต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวมา 2 ปี BTS เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการ Kpop และสามารถชนะรางวัลแรกได้ในรายการเพลงได้
ยิ่ง BTS ประสบความสำเร็จมากขึ้น เป็นที่รู้จักมากขึ้น ผู้คนต่างตั้งคำถามว่าทำไมเค้าถึงได้ความสำเร็จนั้นมา มันเหมาะสมกับพวกเค้าแล้วหรือไม่
ในตอนนั้นเอง BTS ก็ได้เจอกับอุปสรรคใหม่คือการไม่เป็นที่ยอมรับ ทั้งโดนกล่าวหาว่าก็อปเพลงคนอื่นจนถูกวิพากย์วิจารณ์ในสังคมอย่างหนัก #Plagiarismboys ขึ้นเทรนด์อันดับ 1 ในทวิตเตอร์
รางวัลศิลปินแห่งปีจาก MAMA และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย
และ มียอดขายอัลบั้มสูงสุดในประวัติศาสตร์เกาหลี
นอกจากนี้ยังมีรายได้ทางอื่น อย่างเช่น รายได้การทัวร์คอนเสริตที่รายได้ติดอันดับ Top ของโลก ไม่แพ้ศิลปินระดับ Taylor Swift หรือ Ed Sheeran
โดยจัดแสดงในสเตเดียมใหญ่ๆ ที่สามารถจุคนได้หลักแสนอย่างเช่น Rosebowl Stadium หรือ Metlife Stadium และถ้าหากจะให้เลือกที่ประทับใจและโดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้น Wembley Stadium ที่มีศิลปินซึ่งมีเพียง 12 ศิลปินเท่านั้นที่สามารถขายบัตรหมดได้ อย่างเช่น Micheal Jackson, Queen, Beyonce เป็นต้น
BTS มี Concept ที่แตกต่างจากวงอื่น พวกเค้าตั้งใจแต่งเพลงที่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มาตั้งแต่แรก ทั้งนี้เพลงส่วนใหญ่ยังถูกเขียนจากเรื่องส่วนตัวทำให้แฟนเพลงสามารถสัมผัสได้ถึงการเปิดเผยความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงเรื่องราวความยากลำบาก และช่วยให้ผู้คนไม่ได้รู้สึกพวกเค้ากำลังต่อสู้กับความเจ็บปวดนี้ลำพัง นอกจากนี้บางเพลงยังพูดถึงปัญหาสังคมอย่างได้ทะลุปรุโปร่งและแหลมคม นักวิจารณ์ต่างบอกว่า ถึงแม้บนโลกจะมีศิลปินที่ทำเพลงแบบนี้มากมาย แต่หาได้น้อยมากที่จะหาเนื้อเพลงที่สามารถเข้าถึงใจคนได้อย่างเพลงของ BTS ดังนั้นจึง
ไม่ต้องแปลกใจหากไม่เจอเนื้อเพลงที่เกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาวเหมือนกับเพลงป็อปทั่วๆไป เพราะ 90% ของเพลง BTS เกี่ยวข้องกับปัญหาสังคม การเมือง ปัญหาสุขภาพจิต การรักตัวเอง โดยบางเพลงอาจจะอ้างอิงจากงานวรรณกรรมต่างๆ รวมถึงทฤษฎีจิตวิทยา อย่างเช่น อัลบัม Map of The Soul ก็มาจากหนังสือจิตวิทยาที่ชื่อเดียวกับอัลบัม โดยบทเพลงในอัลบัมจะค่อยๆอธิบายกระบวนการในการเข้าใจและยอมรับตัวเองในที่สุด