ปี 60 มีการทำประชามติโหวตรับร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ พร้อมพ่วงให้สิทธิ์ ส.ว. + ส.ส. เลือกนายก ผมก็ไปโหวตลงคะแนน เป็นผู้ออกไปใช้สิทธิ์คนนึงใน 59% ที่ออกมาใช้สิทธิ์ แล้วก็กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ของการโหวตครั้งนั้น รับร่าง 61% ให้ ส.ว. + ส.ส. เลือกนายกได้ 58% พอมีเลือกตั้งก็ใช้เกณฑ์นี้เพราะเราลงประชามติมาแล้ว ก็มีการวิ่งไปวิ่งมาของพรรคร่วมจนได้มาเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งถ้าไม่ใช่รัฐบาลพรรคเดียวพรรคร่วมมันก็วิ่งไปวิ่งมาแบบนี้ทั้งโลกนั่นล่ะเก้าอี้ดนตรีไง
หลังจากนั้นเราก็มีการก็ขอแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส.ทั้งหมดขอแก้ข้อที่ให้ ส.ว.มามีส่วนเลือกนายกมันก็ไม่แปลกนะ แน่นอนว่า ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเห็นตรงกันแน่เรื่องนี้และคงผ่านฉลุย แต่มีฝ่ายค้านพรรคหนึ่งขอแก้หมวด 1 2 ไปด้วยซึ่งฝ่ายค้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรแก้ นี่ยังไม่นับ ส.ส ฝ่ายรัฐบาลนะ เอาแค่ในฝ่ายค้านเองถ้ายึดเสียงส่วนใหญ่ มันก็น่าจะจบแล้ว แต่กลายเป็นไปชุดชนวนแก้หมวด 1 2 นอกสภา ถ้างั้นเสียงของ ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ประชาชนเลือกมาก็ใช้ไม่ได้สำหรับกลุ่มเรียกร่องประชาธิปไตยงั้นหรือ
ตกลงประชาธิปไตยที่ออกมาเรียกร้องกันนี่คือถ้าเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไม่ตรงกับความเห็นเราก็ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือ
ถ้ายึดเสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้งหรือลงประชามติยังเป็นประชาธิปไตยไหม
หลังจากนั้นเราก็มีการก็ขอแก้รัฐธรรมนูญ ส.ส.ทั้งหมดขอแก้ข้อที่ให้ ส.ว.มามีส่วนเลือกนายกมันก็ไม่แปลกนะ แน่นอนว่า ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลเห็นตรงกันแน่เรื่องนี้และคงผ่านฉลุย แต่มีฝ่ายค้านพรรคหนึ่งขอแก้หมวด 1 2 ไปด้วยซึ่งฝ่ายค้านส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรแก้ นี่ยังไม่นับ ส.ส ฝ่ายรัฐบาลนะ เอาแค่ในฝ่ายค้านเองถ้ายึดเสียงส่วนใหญ่ มันก็น่าจะจบแล้ว แต่กลายเป็นไปชุดชนวนแก้หมวด 1 2 นอกสภา ถ้างั้นเสียงของ ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ประชาชนเลือกมาก็ใช้ไม่ได้สำหรับกลุ่มเรียกร่องประชาธิปไตยงั้นหรือ
ตกลงประชาธิปไตยที่ออกมาเรียกร้องกันนี่คือถ้าเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไม่ตรงกับความเห็นเราก็ไม่เป็นประชาธิปไตยหรือ