กาลครั้งหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย

วันนี้มีโอกาสได้กลับมาที่มหาลัยที่เราเคยมาเรียนที่นี่เมื่อสิบกว่าปีก่อน   เลยทำให้คิดถึงวันเก่าๆ  ที่เราผูกพันธ์กับที่แห่งนี้     ที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ   แต่เราจำได้ว่าตอนนั้นชีวิต ม.ปลาย  เราเป็นคนที่ติดไปทางที่ค่อนข้างติดเที่ยว   ติดเพื่อน   ติดเกมส์   แต่เราก็ยังเรียนหนังสือ   รักษาเกรดตัวเองไว้ถึงแม้จะมีโดดเรียนบ้าง 😂😂   จนมาถึง  ม.6  ที่ต้องสอบเอนทรานซ์  ด้วยเพื่อนในแก๊งค์ต่างก็มีความฝันของตัวเอง   บางคนก็พ่อแม่บังคับให้สอบเข้าที่นั่นที่นี่    ส่วนเราด้วยความที่เป็นเด็กในเมืองใช้ชีวิตแบบสบายๆ   ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ลำบาก ด้วยความที่  18  ปี  เราใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตลอดแบบพ่อแม่ค่อนข้างบังคับเรื่องการออกไปเที่ยวค้างคืนข้างนอกไรงี้    ดังนั้นเราจึงเลือกเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศตามที่พ่อแม่ขอให้สอบ   แต่เราเลือกที่จะไปอยู่วิทยาเขตที่ไกลจากบ้านมากที่สุด   ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าถ้าได้ไปอยู่ไกลๆ  เราจะได้อยู่หอจะมีชีวิตอิสระ   ไปไหนก็ได้ซึ่งเพื่อนในแก๊งค์ก็กระจายกันไปเรียนคนละที่กัน   มันจึงเป็นที่มาของเรื่องราวสนุกๆ ในรั้วมหาวิทยาลัย


      เริ่มจากวันแรกที่เราต้องมาสอบสัมภาษณ์ที่วิทยาเขตแห่งนี้   เอาตามตรงคือเราไม่เคยรู้มาก่อนว่ามหาลัยนี้มีวิทยาเขตที่นี่ด้วย   ตอนนั้นเป็นรอบสอบตรงของมหาวิทยาลัย   วันที่ต้องไปสอบสัมภาษณ์เราไปกับพ่อแม่และเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันอีก 1 คน    ความสนุกแรกเลยคือหลงทางหาทางเข้ามหาลัยไม่เจอ    ก็จากถนนเข้าไปซอยไปเป็นกิโล   ก็จะมีทางเลี้ยวเข้ามหาลัยซึ่งมีป้ายเล็กๆ  ย้ำว่าเล็กมากติดอยู่ถ้าไม่สังเกตคือไม่เห็น    และตลอดทางเข้ามาตั้งแต่ปากทางจนถึงประตูมหาลัยสองข้างทางเต็มไปด้วยป่า   อย่าว่าแต่คอนโดหรือหอพักดีๆ  เลย   แค่คิดว่าจะมีที่ให้อยู่ไหมก่อน   แต่พอผ่านประตูเข้ามาจะมีอาคาร 2 ชั้นอยู่ตึกหนึ่งติดป้ายว่า  สำนักงานอธิการบดี  และอาคารชั้นเดียวอีกหนึ่งหลังติดกันและมีตู้ ATM  อยู่ 1 ตู้     แต่นี่ไม่ใช่จุดหมายของเรา   จุดที่เราต้องไปคืออีกอาคารที่อยู่ห่างออกไปอีกประมาณ  200  เมตร   เป็นอาคารเรียนรวม (รูปตัวยู)   เราเข้าไปสอบสัมภาษณ์เสร็จก็กลับ    ทันที    อย่างที่บอกว่าเราใช้ชีวิตแบบเด็กเมืองที่มีทุกอย่างพร้อม   ไหนจะโรงเรียนที่เราเรียนมันคือโรงเรียนที่เด็กส่วนใหญ่เป็นเด็กมีฐานะและเป็นโรงเรียนอันดับต้นของจังหวัด    ทำให้ไม่มีใครไปเรียนที่นั่นกัน   ซึ่งเพื่อนจากโรงเรียนเดียวกันที่ไปสอบสัมภาษณ์พร้อมเราก็สละสิทธิ์     คำถามแรกที่พ่อเราถามเมื่อเราม่ถึงบ้านคือ   "ลูกจะไปเรียนที่นั่นจริงๆ  เหรอ    พ่อคิดว่าลูกไม่น่าจะอยู่ได้นะ    รอยื่นคะแนนแอดมิสชั่นไหม"     เราเลยตอบกลับไปว่า  "ทำไมจะอยู่ไม่ได้   อยู่ได้สิ"   นั่นคือสิ่งที่ตอบพ่อไป   แต่ความเป็นจริงคือเราต้องไปอยู่ที่นั่นแล้วแหละ    เพราะอะไรนะเหรอ   ก็วันที่สอบ   O-net / A-net    เรากับเพื่อนไปสอบแค่  O-net  วันที่สอบ  A-net  ทั้งแก๊งค์ไม่ได้เข้าสอบช่วงบ่าย    เพราะพากันไปเล่นเกมส์ที่ร้านเน็ตและไปดูหนังต่อ    ถ้าจะยื่นแอดมิสชั่นต้องยื่นคณะที่ไม่ใช้คะแนน  A-net  ซึ่งมันมีน้อยมากคณะที่จะไม่ใช้คะแนน  A-net   แต่คือเรากับเพื่อนมีข้อตกลงกันว่าแก๊งค์เราจะยืนยันสิทธิ์สอบตรงที่ได้แล้ว   โดยจะไปเผชิญหน้ากับสิ่งที่จะเจอ   และพวกเราจะต้องเรียนให้จบในสิ่งแรกที่เลือกกัน   นั่นคือสัญญาใจของเรากับเพื่อนและเราต้องมาเรียนที่วิทยาเขตกลางป่าแห่งนี้    มันคือความท้าทายของชีวิตเรามาก   ซึ่งมันไม่ใช่แค่เราเพื่อนในแก๊งค์บางคนก็ไม่ต่างจากเรา


     และแล้ววันแรกที่ก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษาที่วิทยาเขตแห่งนี้อย่างเต็มตัวก็มาถึงนั่นคือวันรายงานตัวเข้าหอ   ซึ่งเป็นช่วงก่อนเปิดเรียนประมาณ  2-3  วัน   ขอบอกก่อนนะว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่อนุญาตให้นักศึกษาชั้นปี 1   อยู่หอนอกมหาลัย   นั่นก็คือนักศึกษาปี 1  ทุกคนต้องอยู่หอพักในมหาลัย    และยิ่งไปกว่านั้นคือไม่อนุญาตให้นักศึกษาชั้นปี 1   นำรถมอเตอร์ไซด์และรถยนต์มาใช้    เมื่อต้องอยู่หอพักในมหาลัยเราก็เลยไม่ได้เอาจักรยานมาคิดว่าเดินไปเรียนก็ได้ว่ะ    เรามาทำความรู้จักกับสถานที่ก่อนเปิดเรียน   


      เริ่มกันที่เรื่องของหอพักที่นี่สำหรับผู้หญิงจะมี  2  แบบ   นั่นคือหอมหาลัยอยู่ห้องละ  3  คน (ห้องน้ำรวม)   และหอสหกรณ์อยู่ห้องละ 2 คน (ห้องน้ำในตัว)    แน่นอนว่าหอสหกรณ์จะสะดวกและสบายกว่าหอมหาลัย    ในส่วนของนักศึกษาชายจะมีแค่หอมหาลัยเพียงอย่างเดียว  นอกจากนี้ในเขตหอพักนักศักษาข้างๆ กัน   จะมีหอพักของอาจารย์และบุคคลากรอีกด้วย    นั่นเท่ากับว่าทั้งนักศึกษา   อาจารย์   และบุคคลากรพักอยู่ในมหาลัยกับเกือบทั้งหมด


      มาต่อที่เรื่องของสถานที่เรียนของวิทยาเขตแห่งนี้อย่างทีาบอกไปตั้งแต่วันที่เรามาสอบสัมภาษณ์    วิทยาเขตแห่งนี้มีอาคารแค่ 4  อาคาร   แบ่งเป็นอาคารสำนักงานอธิการบดี 1 อาคาร    หอประชุมอเนกประสงค์  1  อาคาร   และอาคารเรียน  2 อาคาร  (ก็อาคารที่เรามาสอบสัมภาษณ์และมีอีกอาคารที่รุ่นพี่เรียกกันว่าตึกตำลึง)  ถามว่ามหาลัยทำไมมีอาคารเรียนน้อย   ที่นี่เป็นวิทยาเขตที่จะบอกว่าเล็กที่สุดก็ว่าได้เพราะมีแค่ 2 คณะ  10 สาขาวิชา   ดังนั้นนักศึกษาทั้งวิทยาเขตมีจำนวนรวมกันในหนึ่งชั้นปีอาจจะน้อยกว่านักศึกษาคณะใหญ่ๆ ของวิทยาเขตแม่ด้วยซ้ำ


   นอกจากตึกเรียนและหอพักแล้วแน่นอนว่ามีสนามกีฬา    ที่นี่มีสนามเทนนิส  2 คอร์ท  อยู่ใกล้หอพัก    มีสนามบาสซึ่งตอนมาวันแรกเราก็หามันไม่เจอว่าอยู่ส่วนในของมหาลัย     มีสนามวอลเล่บอลและสนามตะกร้อที่ใช้พื้นร่วมกันเป็นพื้นคอนกรีต(อย่าเผลอล้มล่ะ    เลือดซิบแน่นอน)  อยู่ชั้นบนของโรงอาหารในอาคารเรียนรวม    และสนามฟุตบอลที่มีชื่อเรียกคูลๆ  ว่า  หนามงับสเตเดี้ยม   ก็ตามชื่อเลยเพราะมันคือสนามหญ้าที่เต็มไปด้วย  หนามงับ  (หญ้าไมยราพ)   สนามแบดมินตัน  ก็ไม่ใช่ที่ไหนหอประชุมไง  เป็นคอร์ทแบดมินตันด้วย  😂😂😂


      มาที่ส่วนสุดท้ายโรงอาหาร    ที่วิทยาเขตแห่งนี้มีโรงอาหาร  2  ที่คือที่อาคารเรียนรวม   และที่ใกล้หอนักศึกษาจะเรียกกันว่า  จานบิน  เพราะมันเป็นอาคารโล่งๆ  มี 2 ชั้น   ชั้นล่างจะเป็นเหมือนโรงอาหาร   มีร้านขายข้าว  น้ำ  ขนม   สิริรวม  6  ร้าน    อ่านไม่ผิดรวมกันได้  6  ร้าน   และชั้นบนเป็นเหมือนลานกิจกรรมอเนกประสงค์    ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครขึ้นไปใช้ประโยชน์กัน


      สถานที่ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ติดกันนะอยู่กระจายกันไป    เช่นระหว่างอาคารเรียนกับหอพักจะมีสวนยางพารากั้นกลางอยู่    ในส่วนของอาคารเรียนจะอยู่เป็นพื้นที่ราบ   แต่ส่วนหอพักจะเป็นพื้นที่เชิงเขา   เพราะหลังมหาลัยมันคือภูเขา   ดังนั้นพื้นที่บริเวณมหาลัยทั้งหมดเป็นดินแดง  จนนักศึกษาพากันเรียกว่า   ม.ดินแดง 😆😆😆



มาเล่าต่อช่วงรับน้องและการใช้ชีวิตที่ลุ้นละทึกตลอดเวลากับชีวิตในรั้วม.ดินแดงแห่งนี้   ในคอมเม้น
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่