สวัสดีทุกคน
ก่อนอื่นเลยเราไม่รู้จะพูดจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยังเป็นคำพูด เราไม่รู้จะอธิบาย ระบายความรู้สึกนี้กลับใคร เราขอระบายให้กับทุกคนในนี้ฟังนะ
เราเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่เราเสียตั้งแต่เรายังเด็ก เรามีแต่ยายที่เป็นคนเลี้ยงดูแลเรามาตั้งแต่เราจะเล็ก เรามีทั้งญาติพี่น้อง น้า อา ลุง และแล้ววันหนึ่ง คนที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก ก็มีโรงประจำตัว ยายเราเป็นมะเร็ง แต่ยายเราก็พยายามรักษาตัวเอง เพื่อนที่จะอยู่ดูเราโต ยายเราสู้มาตลอด เรารักยายที่สุด ถึงแม้เราจะเป็นปากแข็งไม่ค่อยบอกรัก แต่เราก็บอกนะ😊
เราใช้ชีวิตมีความสุขมากตลอดจนมาถึงตอนเราเข้ามหาวิทยาลัย เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ ชีวิตเราก็มีปัญหามากมายเข้ามา จนมาไม่มีเวลาได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้ดูแลยายเลย เพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องทำที่ กรุงเทพ ตลอดเวลาที่เรามีปัญหาอะไร ยายคนนี้ที่เราเลี้ยงเขาว่าแม่ เขาจะยื่นมือเขามาช่วยเราตลอดเวลา ถึงแม้จะบ่นบ้าง แต่ยายก็จะดิ้นหามาช่วยเราตลอดเพราะยายกลัวเราอยู่กรุงเทพแล้วลำบาก
เรายอมรับเลยว่าเราก็เคยสร้างปัญหาให้แม่ไม่สบายใจ แต่เราก็พยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ให้ที่บ้านเห็นว่าเราอยู่ได้นะ แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้เรา ชีวิตเหมือนจะดี แต่ก็ไม่ดีทุกครั้ง มันมักจะมีเรื่องปัญหาเข้ามาแทรกระหว่างความสุขอยู่เสมอ เราทำงาน เราก็มักจะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินล่าช้าของบริษัททุกครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แม้กระทั้งบริษัทใหญ่ๆ ก็มีการจ่ายช้าแล้วมันก็เป้นปัญหาที่ทำให้เราต้องกลับไปขอความช่วยเหลือจากแม่(ยาย) ทุกครั้งเพราะชีวิตนี้เรามีแต่ยายเราก็ไม่รู้จะถามใคร เขาก็ค่อยช่วยเรา บางครั้งช่วงที่ยายไม่สบาย ยายก็ต้องรักษาตัว เงินก็เริ่มไม่มี ไม่ได้ทำงาน เราก็เลยพยายามที่จะไม่ขอเงินยาย
จนกระทั้ง 2 ปี ที่ผ่านมา ยายเกิดอาการทรุดหนักโดยโรคที่ยายเป็นอยู่ เราตัดสินใจออกจากงานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อกลับบ้านไปดูแลยาย เพราะไม่มีใครที่สามารถดูแลยายได้ เพราะญาติพี่น้องทุกคนเขาต้องทำงาน รับข้าราชการกัน ที่เรานัดสินใจออกก็เพราะเราทำงานเอกชนคนเดียว นี่ก็อีกเหตุผลนึง แต่เราก็ตัดสินใจกลับไปดูแลยาย ยายต่อสู้โรคนี้มา 10 ปี เรายอมใจ เราเชิดชู เรารัก และนับถือยายหรือแม่ที่เราเรียกตั้งแต่เด็ก มาก ตั้งแต่ยายต่อสู้กับโรคนี้ครั้งแรก ยายไม่เคยต้องเรียกร้องให้เราไปส่งไปโรงพยาบาล เลย ยายเราจะเดินทางไปเองตลอดเพราะเราก็ติดเรียน ยายบอกเราว่ายายไปได้ ยายเดินทางจากจังหวัดหนึ่งเพื่อไปรักษาที่ตังหวัดหนึ่ง ด้วยรถโดยสารประจำทาง ซึงจังหวัดนี้อยู่ห่างกับจังหวัดที่เราอยู่ ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ยายขับรถจากบ้านไปขนส่ง ชื้อตั๋วรถ ถึงจังหวัดปลายทาง ยายก็เหมารถให้ไปส่งที่พัก ยายจัดการทุกอย่าง ทำอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี จนวันหนึ่ง หมอส่งยายกลับมารักษาที่จังหวัดบ้านเกิด เพราะยายตัวที่ยายกินที่หมอให้ มันถึงตัวที่สุดแล้ว ยายอยู่ที่นี้ หมอก็นัดทุก 3 เดือน ช่วงแรก และช่วงหลังๆ ก็เป็นทุก 6 เดือน จนถึงวันที่ยายอาการหนัก ก่อนวันที่หมอนัด 1 วัน ยายมักจะบอกเราเสมอว่า
ยาย : แม่จะไปละนะ
เรา : ทำไมพูดแบบนั้น อยู่น้องไปนานๆ
ยาย : แม่รู้ร่างกายตัวเองดี
วันนี้ยายเราพูดคุยได้ปกติ เดินได้ ทำอะไรได้ จนถึงเวลา ตี 3 กว่าจะ ตี 4 ยายเกิดรู้สึกไม่ไหว ยายก็บอกว่าเราว่าให้เรียกน้า พาไปโรงพยาบาล
ตอนนั้นระหว่างที่เราวิ่งไปเรียกน้า ยายเรายังเดินไปเปลี่ยนกางเกง อะไรได้ จนพอจะพาขึ้นรถ ยายเรารู้สึกปวดไปหมดทั้งร่างกาย เราจับตรงไหนยายก็ร้องปวดไปหมด จนถึงโรงพยาบาล ถึงมือหมอห้องฉุกเฉิน หมอถามเราว่า ได้ให้ยายกินอะไรไหม เราก็นึกขึ้นได้ว่า ช่วงหัวค่ำมีแขกในหมู่บ้านเขามาเยี่ยมยาย แล้วเขาก็เอามอร์ฟีน มาให้ยายเรา ยายเราเองก็อยากทาน เพื่อให้ตัวเองหาปวด แต่ยายลืมคิดไปว่า มันเป็นคนละโรค เรารู้สึกผิดกับตัวเองมาตลอดจนถึงตอนนี้ เราก็ยังโทษตัวเอง แต่ทางน้าเราก็บอกว่าเราไม่ผิดหรอกเพราะยายเขาอยากกินเอง เขาก็อยากหาปวด เขาบอกเราว่าอย่าโทษตัวเอง ยายเราอยูาห้องฉุกเฉิน จนถึงเวลา เกือบ 6 โมง พนักงานเวรเปลก็พายายเราไปหอผู้ป่วยหญิง พอเวรเปลพายายเราไปอยู่เตียงผู้ป่วย ซึ่งไม่ใช่ห้องแยก เรารู้เลยว่ายายเราไม่ไหวแล้วแน่เลย แต่เราก็พยายามบอกตัวเองว่าเดี๋ยวยายก็ได้กลับบ้าน ยายแต่เหนื่อย พยาบาลจึงใส่สายให้ออกซิเจนยายเรา แต่ทุกคนรู้ไหม ยายเราไม่ชอบ พยายามดึงสายนั้นออกตลอด เราจึงบอกยายว่าพยาบาลบอกว่าถ้าหายเหนื่อยแล้วจะมาเอาออกให้
และทุกคนรู้ไหม ด้วยความที่เราบอกยายว่าอย่าเอา ออก อย่าเราก็เปลี่ยนมาหายใจทางปาก ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ยายเราเหนื่อยขึ้นอีก เราพยายามบอก แต่ยายก็ไม่ยอมฟัง จนเวลาไกล 7โมงเช้า พยาบาลได้นำยายก่อนอาหารมาให้ เรากับน้าพยายามป้อนยา ให้ยาย ป้อนได้แค่ เม็ดแรก ยายไม่กลืน เราพยายามบอกยายว่าช่วยกลืนหน่อย แต่มันจะติดหลอดลม แต่ยายก็พยายามกลืน ถึงแม้จะกลืนไม่ไหวแล้ว น้าบอกให้เราบอกพยาบาลว่ายายไปกลืนยาย พยาบาลบอกว่าถ้าไม่กลืนอาจจะต้องใส่ท่อให้อาหาร
เราก็ไปบอกน้า น้าก็บอกพยาบาลว่าเดี๋ยวขอปรึกษาพี่ ซึ่งก็เป็นลุงเราเอง แต่ยายเคยบอกกับเราว่าไม่ว่ายายจะเป็นอะไรก็ตาม ห้ามเอาอะไรมาใส่ในร่างกายยายทั้งสิ้น ตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราจะต้องเสียยายไปแล้ว เรานั่งอยู่ข้างเตียงยายตลอด เรารู้ว่ายายเป็นห่วงเรามากแค่ไหน เราเห็นยายร้องไห้ เราพยายามบอกยายตลอดว่าไม่ต้องห่วงเรา ยายเหนื่อยมาเยอะแล้ว พักผ่อน ไปเป็นเทวดามาดูน้องบนสวรรค์ เราพยายามบอกยายตลอดว่าเราจะไม่ไปไหน จะอยู่ข้างๆยายตรงนี้ จนในที่สุดยายเราก็ได้จากเราไป
จากวันที่เสียคนที่เรารักไป ยายเหมือนเป็นร่มโพธิ์ร่มใหญ่ๆที่ค่อยพักพิง ค่อยช่วยคุ้มครอง คุ้มภัย เรามาตั้งแต่เราเด็ก มาถึงวันนี้ยายไม่อยู่กับเรา ก็เหมือนเราขาดคนที่พึ่งที่พักพิง
หลังจากที่ยายเสีย ใช่ว่าชีวิตเราจะดี เรากลับมาทำงานที่กรุงเทพ งานที่เราได้เป็นบริษัทเล็กๆ การทำงานช่วงแรกก็ดี ชีวิตเราจะสะดุดบ้าง ล่มบ้างแต่ก็ ชีวิตการทำงานก็เหมือนหนีเสือมาเจอจระเข้
การเงินก็มาติดขัด จ่ายช้าบ้าง บางเดือน งานก็หนักบ้าง เบาบ้าง แต่เวลาเรามีปัญหา เราก็จะหันไปพึ่งใครได้อยาก อย่างน้า เขาก็ช่วยเรานะแต่ก็ช่วยได้ไม่มากเพราะเขาก็มีครอบครัวของเขา เพราะเราก็ไม่อยากที่จะมีปัญหากับพวกญาติพี่น้อง แต่เวลาเรามีปัญหาเราก็จะทักไปถามเขา เพราะเราคิดว่าอย่างน้อยเราก็มีพวกเขา พอมาช่วงโควิด เงินเดือนเราก็ไม่ได้ แถมยังมีปัญหากับบริษัท เราจึงมีปัญหาน้าเราก็ยื่นมือมาช่วย ตอนแรกเขาบอกว่าไม่มี แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยนะ พอเราไม่ได้เงินเดือน เราก็ไม่มีเงิน โควิดด้วย เราจะถามที่บ้าน เผื่อเขาจะช่วยได้นะ เขาก็โอนมาให้เรานะ แต่เขาก็พิมกลับมาต่อว่าครั้งสุดท้ายแล้วนะ ข้อความประโยคนี้ทุกคนที่อ่านจะรู้สึกเหมือนเราไหม นะ เรารู้สึกว่า แบบเราจะไม่ต้องพึ่งเขาอีกละนะ จะช่วยแค่ครั้งสุดท้าย ซึ้งจำนวนเงินตอนนั้นที่โอนมา หลักร้อย เราได้เห็นประโยคนี้เราจึงโอนกลับคืน เพราะเรารู้สึกเสียใจ เราคิดนะว่าพูดไม่มียังไม่เสียใจเท่ากับคำพูดที่ว่าครั้งสุดท้ายแล้วนะ เพราะเราไม่มีใคร เราไม่มีพ่อแม่ ไม่มียาย ที่สุดท้ายของเราคือน้า แต่เราก็เข้าใจว่าน้ามีครอบครัว น้าก็มีภาระ เยอะ แต่ควรจะใช้คำพูดที่มันดีกว่านี้ไหม เราอยากรู้ว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนไหม ?
วันนี้เราระบายเท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยววันถัดไปเรายะมาเล่าต่อ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน อย่าลืมตอบเราด้วยนะว่าถ้าเป็นทุกคนจะรู้สึกยังไงกับคำว่า ครั้งสุดท้ายแล้วนะ
🙏🏻😊
บันทึกความทรงจำ ไม่มีแม่ก็เหมือนไม่มีใครแล้ว
ก่อนอื่นเลยเราไม่รู้จะพูดจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยังเป็นคำพูด เราไม่รู้จะอธิบาย ระบายความรู้สึกนี้กลับใคร เราขอระบายให้กับทุกคนในนี้ฟังนะ
เราเป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่เราเสียตั้งแต่เรายังเด็ก เรามีแต่ยายที่เป็นคนเลี้ยงดูแลเรามาตั้งแต่เราจะเล็ก เรามีทั้งญาติพี่น้อง น้า อา ลุง และแล้ววันหนึ่ง คนที่เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็ก ก็มีโรงประจำตัว ยายเราเป็นมะเร็ง แต่ยายเราก็พยายามรักษาตัวเอง เพื่อนที่จะอยู่ดูเราโต ยายเราสู้มาตลอด เรารักยายที่สุด ถึงแม้เราจะเป็นปากแข็งไม่ค่อยบอกรัก แต่เราก็บอกนะ😊
เราใช้ชีวิตมีความสุขมากตลอดจนมาถึงตอนเราเข้ามหาวิทยาลัย เข้ามาเรียนที่กรุงเทพ ชีวิตเราก็มีปัญหามากมายเข้ามา จนมาไม่มีเวลาได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด เรารู้สึกว่าเราไม่ค่อยได้ดูแลยายเลย เพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องทำที่ กรุงเทพ ตลอดเวลาที่เรามีปัญหาอะไร ยายคนนี้ที่เราเลี้ยงเขาว่าแม่ เขาจะยื่นมือเขามาช่วยเราตลอดเวลา ถึงแม้จะบ่นบ้าง แต่ยายก็จะดิ้นหามาช่วยเราตลอดเพราะยายกลัวเราอยู่กรุงเทพแล้วลำบาก
เรายอมรับเลยว่าเราก็เคยสร้างปัญหาให้แม่ไม่สบายใจ แต่เราก็พยายามทำให้ตัวเองแข็งแกร่ง ให้ที่บ้านเห็นว่าเราอยู่ได้นะ แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้เรา ชีวิตเหมือนจะดี แต่ก็ไม่ดีทุกครั้ง มันมักจะมีเรื่องปัญหาเข้ามาแทรกระหว่างความสุขอยู่เสมอ เราทำงาน เราก็มักจะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินล่าช้าของบริษัททุกครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แม้กระทั้งบริษัทใหญ่ๆ ก็มีการจ่ายช้าแล้วมันก็เป้นปัญหาที่ทำให้เราต้องกลับไปขอความช่วยเหลือจากแม่(ยาย) ทุกครั้งเพราะชีวิตนี้เรามีแต่ยายเราก็ไม่รู้จะถามใคร เขาก็ค่อยช่วยเรา บางครั้งช่วงที่ยายไม่สบาย ยายก็ต้องรักษาตัว เงินก็เริ่มไม่มี ไม่ได้ทำงาน เราก็เลยพยายามที่จะไม่ขอเงินยาย
จนกระทั้ง 2 ปี ที่ผ่านมา ยายเกิดอาการทรุดหนักโดยโรคที่ยายเป็นอยู่ เราตัดสินใจออกจากงานบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อกลับบ้านไปดูแลยาย เพราะไม่มีใครที่สามารถดูแลยายได้ เพราะญาติพี่น้องทุกคนเขาต้องทำงาน รับข้าราชการกัน ที่เรานัดสินใจออกก็เพราะเราทำงานเอกชนคนเดียว นี่ก็อีกเหตุผลนึง แต่เราก็ตัดสินใจกลับไปดูแลยาย ยายต่อสู้โรคนี้มา 10 ปี เรายอมใจ เราเชิดชู เรารัก และนับถือยายหรือแม่ที่เราเรียกตั้งแต่เด็ก มาก ตั้งแต่ยายต่อสู้กับโรคนี้ครั้งแรก ยายไม่เคยต้องเรียกร้องให้เราไปส่งไปโรงพยาบาล เลย ยายเราจะเดินทางไปเองตลอดเพราะเราก็ติดเรียน ยายบอกเราว่ายายไปได้ ยายเดินทางจากจังหวัดหนึ่งเพื่อไปรักษาที่ตังหวัดหนึ่ง ด้วยรถโดยสารประจำทาง ซึงจังหวัดนี้อยู่ห่างกับจังหวัดที่เราอยู่ ใช้เวลาเดินทาง 4 ชั่วโมง ยายขับรถจากบ้านไปขนส่ง ชื้อตั๋วรถ ถึงจังหวัดปลายทาง ยายก็เหมารถให้ไปส่งที่พัก ยายจัดการทุกอย่าง ทำอย่างนี้เป็นเวลาหลายปี จนวันหนึ่ง หมอส่งยายกลับมารักษาที่จังหวัดบ้านเกิด เพราะยายตัวที่ยายกินที่หมอให้ มันถึงตัวที่สุดแล้ว ยายอยู่ที่นี้ หมอก็นัดทุก 3 เดือน ช่วงแรก และช่วงหลังๆ ก็เป็นทุก 6 เดือน จนถึงวันที่ยายอาการหนัก ก่อนวันที่หมอนัด 1 วัน ยายมักจะบอกเราเสมอว่า
ยาย : แม่จะไปละนะ
เรา : ทำไมพูดแบบนั้น อยู่น้องไปนานๆ
ยาย : แม่รู้ร่างกายตัวเองดี
วันนี้ยายเราพูดคุยได้ปกติ เดินได้ ทำอะไรได้ จนถึงเวลา ตี 3 กว่าจะ ตี 4 ยายเกิดรู้สึกไม่ไหว ยายก็บอกว่าเราว่าให้เรียกน้า พาไปโรงพยาบาล
ตอนนั้นระหว่างที่เราวิ่งไปเรียกน้า ยายเรายังเดินไปเปลี่ยนกางเกง อะไรได้ จนพอจะพาขึ้นรถ ยายเรารู้สึกปวดไปหมดทั้งร่างกาย เราจับตรงไหนยายก็ร้องปวดไปหมด จนถึงโรงพยาบาล ถึงมือหมอห้องฉุกเฉิน หมอถามเราว่า ได้ให้ยายกินอะไรไหม เราก็นึกขึ้นได้ว่า ช่วงหัวค่ำมีแขกในหมู่บ้านเขามาเยี่ยมยาย แล้วเขาก็เอามอร์ฟีน มาให้ยายเรา ยายเราเองก็อยากทาน เพื่อให้ตัวเองหาปวด แต่ยายลืมคิดไปว่า มันเป็นคนละโรค เรารู้สึกผิดกับตัวเองมาตลอดจนถึงตอนนี้ เราก็ยังโทษตัวเอง แต่ทางน้าเราก็บอกว่าเราไม่ผิดหรอกเพราะยายเขาอยากกินเอง เขาก็อยากหาปวด เขาบอกเราว่าอย่าโทษตัวเอง ยายเราอยูาห้องฉุกเฉิน จนถึงเวลา เกือบ 6 โมง พนักงานเวรเปลก็พายายเราไปหอผู้ป่วยหญิง พอเวรเปลพายายเราไปอยู่เตียงผู้ป่วย ซึ่งไม่ใช่ห้องแยก เรารู้เลยว่ายายเราไม่ไหวแล้วแน่เลย แต่เราก็พยายามบอกตัวเองว่าเดี๋ยวยายก็ได้กลับบ้าน ยายแต่เหนื่อย พยาบาลจึงใส่สายให้ออกซิเจนยายเรา แต่ทุกคนรู้ไหม ยายเราไม่ชอบ พยายามดึงสายนั้นออกตลอด เราจึงบอกยายว่าพยาบาลบอกว่าถ้าหายเหนื่อยแล้วจะมาเอาออกให้
และทุกคนรู้ไหม ด้วยความที่เราบอกยายว่าอย่าเอา ออก อย่าเราก็เปลี่ยนมาหายใจทางปาก ซึ่งมันก็ยิ่งทำให้ยายเราเหนื่อยขึ้นอีก เราพยายามบอก แต่ยายก็ไม่ยอมฟัง จนเวลาไกล 7โมงเช้า พยาบาลได้นำยายก่อนอาหารมาให้ เรากับน้าพยายามป้อนยา ให้ยาย ป้อนได้แค่ เม็ดแรก ยายไม่กลืน เราพยายามบอกยายว่าช่วยกลืนหน่อย แต่มันจะติดหลอดลม แต่ยายก็พยายามกลืน ถึงแม้จะกลืนไม่ไหวแล้ว น้าบอกให้เราบอกพยาบาลว่ายายไปกลืนยาย พยาบาลบอกว่าถ้าไม่กลืนอาจจะต้องใส่ท่อให้อาหาร
เราก็ไปบอกน้า น้าก็บอกพยาบาลว่าเดี๋ยวขอปรึกษาพี่ ซึ่งก็เป็นลุงเราเอง แต่ยายเคยบอกกับเราว่าไม่ว่ายายจะเป็นอะไรก็ตาม ห้ามเอาอะไรมาใส่ในร่างกายยายทั้งสิ้น ตอนนั้นเรารู้เลยว่าเราจะต้องเสียยายไปแล้ว เรานั่งอยู่ข้างเตียงยายตลอด เรารู้ว่ายายเป็นห่วงเรามากแค่ไหน เราเห็นยายร้องไห้ เราพยายามบอกยายตลอดว่าไม่ต้องห่วงเรา ยายเหนื่อยมาเยอะแล้ว พักผ่อน ไปเป็นเทวดามาดูน้องบนสวรรค์ เราพยายามบอกยายตลอดว่าเราจะไม่ไปไหน จะอยู่ข้างๆยายตรงนี้ จนในที่สุดยายเราก็ได้จากเราไป
จากวันที่เสียคนที่เรารักไป ยายเหมือนเป็นร่มโพธิ์ร่มใหญ่ๆที่ค่อยพักพิง ค่อยช่วยคุ้มครอง คุ้มภัย เรามาตั้งแต่เราเด็ก มาถึงวันนี้ยายไม่อยู่กับเรา ก็เหมือนเราขาดคนที่พึ่งที่พักพิง
หลังจากที่ยายเสีย ใช่ว่าชีวิตเราจะดี เรากลับมาทำงานที่กรุงเทพ งานที่เราได้เป็นบริษัทเล็กๆ การทำงานช่วงแรกก็ดี ชีวิตเราจะสะดุดบ้าง ล่มบ้างแต่ก็ ชีวิตการทำงานก็เหมือนหนีเสือมาเจอจระเข้
การเงินก็มาติดขัด จ่ายช้าบ้าง บางเดือน งานก็หนักบ้าง เบาบ้าง แต่เวลาเรามีปัญหา เราก็จะหันไปพึ่งใครได้อยาก อย่างน้า เขาก็ช่วยเรานะแต่ก็ช่วยได้ไม่มากเพราะเขาก็มีครอบครัวของเขา เพราะเราก็ไม่อยากที่จะมีปัญหากับพวกญาติพี่น้อง แต่เวลาเรามีปัญหาเราก็จะทักไปถามเขา เพราะเราคิดว่าอย่างน้อยเราก็มีพวกเขา พอมาช่วงโควิด เงินเดือนเราก็ไม่ได้ แถมยังมีปัญหากับบริษัท เราจึงมีปัญหาน้าเราก็ยื่นมือมาช่วย ตอนแรกเขาบอกว่าไม่มี แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยนะ พอเราไม่ได้เงินเดือน เราก็ไม่มีเงิน โควิดด้วย เราจะถามที่บ้าน เผื่อเขาจะช่วยได้นะ เขาก็โอนมาให้เรานะ แต่เขาก็พิมกลับมาต่อว่าครั้งสุดท้ายแล้วนะ ข้อความประโยคนี้ทุกคนที่อ่านจะรู้สึกเหมือนเราไหม นะ เรารู้สึกว่า แบบเราจะไม่ต้องพึ่งเขาอีกละนะ จะช่วยแค่ครั้งสุดท้าย ซึ้งจำนวนเงินตอนนั้นที่โอนมา หลักร้อย เราได้เห็นประโยคนี้เราจึงโอนกลับคืน เพราะเรารู้สึกเสียใจ เราคิดนะว่าพูดไม่มียังไม่เสียใจเท่ากับคำพูดที่ว่าครั้งสุดท้ายแล้วนะ เพราะเราไม่มีใคร เราไม่มีพ่อแม่ ไม่มียาย ที่สุดท้ายของเราคือน้า แต่เราก็เข้าใจว่าน้ามีครอบครัว น้าก็มีภาระ เยอะ แต่ควรจะใช้คำพูดที่มันดีกว่านี้ไหม เราอยากรู้ว่าทุกคนจะรู้สึกเหมือนไหม ?
วันนี้เราระบายเท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยววันถัดไปเรายะมาเล่าต่อ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน อย่าลืมตอบเราด้วยนะว่าถ้าเป็นทุกคนจะรู้สึกยังไงกับคำว่า ครั้งสุดท้ายแล้วนะ
🙏🏻😊