สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนครับ กระทู้นี้เป็นรีวิวแรกของผมผิดพลาดประการใดต้องขอคำแนะนำและขออภัยด้วยนะครับ
วันนี้ผมมี USB-C HUB ตัวนึงมารีวิวให้ฟังกัน ชื่อแบรนด์ว่า Blueendless (ซึ่งก็ไม่คุ้นหูมาก่อน) จากการที่ได้ใช้งานจริงมาสักพักนึง ก็พอจะแชร์เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ USB-C HUB ของเพื่อนๆนะครับ ต้องบอกก่อนว่าแว๊บแรกที่สะดุดกับเจ้านี่คือเรื่องราคาล้วนๆเลย ในราคาเท่านี้ได้พอร์ตเชื่อมต่อที่ค่อนข้างหลากหลายที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับแบรนด์ดังอย่างพวก Ugreen (ซึ่งผมก็ใช้ 9 in 1 ของเคาอยู่เหมือนกัน) ผมเลยหามาไว้เป็นตัวสำรองอีกตัว เกริ่นมาพอควรมาเข้าเนื้อหารีวิวกันเลยดีกว่าครับผม
[ Packaging ]
หน้าตาของกล่องน่าจะรู้ได้ไม่ยากนักว่าเป็นแบนรด์จากจีนแน่นอน หน้าตาของกล่องดีไซน์ได้ค่อนข้างจะทื่อๆมาก 555 ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ด้านหน้าเป็นรูปตัวอุปกรณ์ พร้อมบอกถึงจุดเด่นต่างๆ ส่วนด้านหลังก็บอกถึงรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆที่เจ้า HUB ตัวนี้สามารถทำได้ ก็จะมีทั้งภาษาจีน และไทย ระบุไว้
เมื่อแกะกล่องออกมาก็ไม่ได้พบกับพิซซ่าถาดใหญ่ในกล่องแต่อย่างใด...หากแต่เป็นกล่องกระดาษที่ด้านในเป็นถาดพลาสติกสีขาวที่ใส่เจ้า HUB ตัวนี้ไว้ในหลุมตรงกลางถาด ตัว HUB วัสดุเป็น Aluminium ที่ผ่านการ Anodized ที่สระอะโนดาดมาอย่างเรียบร้อย... วัสดุค่อนข้างดูดีเทียบกับแบรนด์ดังได้อย่างไม่เคอะเขิน
เมื่อยกถาดพลาสติกออกก็จะพบกับคำภีร์เล่นแร่แปรธาตุที่ทุกท่านชื่นชอบ...นั่นก็คือคู่มือนั่นเอง มีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยเช่นเคย
[ SPEC ]
ในด้านสเป็คต่างๆของตัว HUB โดยละเอียด ผมขออนุญาตอ้างอิงจากในคู่มือนี่เลยนะครับ จะได้ไม่ตกหล่นในรายละเอียดต่างๆ
[ การเชื่อมต่อต่างๆ ]
ในด้านนี้จะมีพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ 4 จุด นั่นคือ USB3.0 (3 ช่อง) และ PD (1 ช่อง)
ส่วนอีกด้านจะป็น HDMI (1 ช่อง) MicroSDCard (1 ช่อง) SDCard (1ช่อง) และ Audio Out 3.5mm. (1 ช่อง)
ด้านล่างจะมีเป็นแป้นยางกันลื่นซึ่งเวลาใช้งานจริงค่อนข้างโอเคเลย เพราะเวลาใช้งานตั้งไว้บนโต๊ะมันจะไม่ดิ้นไปดิ้นมา
และด้านสุดท้ายจะเป็น VGA (1 ช่อง) LAN (1 ช่อง)
และหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อ แน่นอนว่าเป็น USB-C ครับ ตัวสายยาวประมาณ 15cm. ตรงนี้คิดว่าสั้นไปนิดนึง ทำให้ฉุดกระชากลากถูได้ลำบากหน่อย...
[ ใช้งานจริง ]
ต้องบอกก่อนว่า Device ที่ผมใช้งานในการเชื่อมต่อเป็นประจำจะเป็น Samsung Galaxy Note 8 ซึ่งใช้งานใน Dex Mode หรือ Desktop Mode ก็สุดแล้วแต่จะเรียกให้ถนัดปากของแต่ละท่านครับ
การเชื่อมต่อออกจอผมใช่สาย HDMI to DVI ของ Ugreen ในการเชื่อมต่อ ซึ่งก็ใช้งานได้ดีไม่มีเรื่องการตบตีระหว่างสถาบันให้หวาดเสียว
ซึ่งภาพที่ได้ก็ตามสภาพจอที่ทำงานครับ เนื่องจากผมได้ใช้คอมเครื่องเก่าก็ต้องทำใจยอมรับสภาพกันไป จะมีเว้นดำบนล่างเนื่องจากไม่ได้เป็นสเกลมาตรฐานที่รองรับ แต่ถ้าเป็นจอ 16:9 ปกติกใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาให้คับข้องใจครับ
** ตัวอย่างจากการต่อจอ TV ที่บ้าน ** เนื่องจาก Dex Mode ของ Samsung Galaxy Note 8 ต่อออกได้แค่ 1080P หรือ FullHD ที่ Refresh Rate 60Hz เท่านั้น เลยไม่ได้ลองโหมด 4K ที่ในคู่มือเคลมว่ารองรับ Refresh Rate 60Hz (ต่อภาพออกเท่านั้น) และ 30Hz (ใช้งานเชื่อมต่อทุกอย่างได้ตามปกติ)
ในการใช้งานจริงของผมโดยส่วนมากก็จะมีแค่ Mouse, Keyboard และเสียบชาร์จไฟผ่าน PD และอาจจะมี SDCard หรือ FlashDrive เป็นครั้งคราว แต่ในวันนี้ผมจะเชื่อมต่อพร้อมกันให้เยอะที่สุดเท่าที่ผมจะมีอุปกรณ์ครับ
้
พอเชื่อมต่ออะไรเสร็จสรรพ ทีนี้เรามาลองเทสอุปกรณ์กันหน่อย อย่างแรกเลยคือ Mouse และ Keyboard ก็ใช้งานได้ดีเหมือนที่เคยเป็น สามารถพิมพ์ได้ทั้งภาษาอังกฤษ และไทยได้อย่างปกติ โดยการเปลี่ยนภาษานั้นของ Samsung Dex Mode จะใช้ Shift + Spacebar เผื่อท่านใดยังไม่รู้ สามารถพิมพ์งานแก้งานได้ค่อนข้างสะดวก เหมาะมากเลยครับสำหรับท่านใดที่ใช้ Microsoft Office อยู่
ในส่วนของ FlashDrive และ MicroSDCard ก็อ่านได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด (แต่ Format ของ Storage ที่ใช้ใน Samsung Galaxy Note 8 ต้องเป็น Fat32 นะครับตัวเครื่องถึงจะอ่านเจอ เป็นข้อจำกัดของตัวโทรศัพท์) โดยที่ USB1 ในภาพจะเป็น MicroSD และ USB2 เป็น FlashDrive เปิดอ่านผ่าน File Explorer ของตัวเครื่อง สามารถถ่ายโอนไฟล์ รูปภาพ งาน เอกสารต่างๆ ได้อย่างสะดวกเลยครับ
สำหรับการใช้ Gigabit LAN ผมลองเทสโดยเสียบผ่านโทรศัพท์เพียงเท่านั้นนะครับ เพราะที่ทำงานใช้ Wifi ต้องกลับไปเสียบที่บ้าน ก็ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาครับ โดยเน็ตที่บ้านนั้นความเร็วอยู่ที่ 500/500 แต่น่าจะมีคนในบ้านดาวน์โหลดอะไรสักอย่างถึงได้ความเร็วฝั่งดาวน์โหลดตกไป
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเชื่อมต่อ LAN ได้สำเร็จแล้ว? สามารถเข้าไปดูที่ตั้งค่าได้ครับ หรือดูตรงแถวสัญลักษณ์ 4G ด้านบนของโทรศัพท์จะเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของพอร์ต LAN ครับ
[ สรุป ]
ก็ถือได้ว่าเป็น USB-C HUB อีกตัวที่ผมคิดว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับแบรนด์ดังในรุ่นที่จำนวนพอร์ตการเชื่อมต่อพอกัน บางทีราคาห่างกันเป็น"หลักพัน"ทีเดียว ตัว HUB สามารถใช้งานได้ดีมาก วัสดูดี เชื่อมต่อได้หลากหลายครบครัน ตัวนี้ผมได้มาหักส่วนลดคูปองอะไรแล้วอยู่ที่ 12xx บาท จากร้านใน Shopee ซึ่งเป็นร้านในไทยนะครับ ที่ผมเลือกร้านนี้ก็เพราะว่าเค้ามีรับประกันสินค้าด้วย มันจะมีพวกที่เป็นร้านในจีนขายถูกกว่า แต่ไม่ได้รับประกันสินค้าก็เลยไม่ได้ซื้อครับ ถ้าอยากทราบว่าซื้อจากร้านไหนก็ถามกันมานะครับ ถ้าพิมพ์ชื่อร้านไว้กลัวจะเป็นการโฆษณา
สุดท้ายนี้ก็ขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่กำลังหา USB-C HUB ใช้งานอยู่ในราคาไม่แพง...ขอบคุณและสวัสดีคร้าบบ
[CR] รีวิว "Blueendless 10 in 1 USB-C HUB" ที่สุดของความคุ้มค่า
สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปทุกคนครับ กระทู้นี้เป็นรีวิวแรกของผมผิดพลาดประการใดต้องขอคำแนะนำและขออภัยด้วยนะครับ
วันนี้ผมมี USB-C HUB ตัวนึงมารีวิวให้ฟังกัน ชื่อแบรนด์ว่า Blueendless (ซึ่งก็ไม่คุ้นหูมาก่อน) จากการที่ได้ใช้งานจริงมาสักพักนึง ก็พอจะแชร์เป็นแนวทางในการเลือกซื้อ USB-C HUB ของเพื่อนๆนะครับ ต้องบอกก่อนว่าแว๊บแรกที่สะดุดกับเจ้านี่คือเรื่องราคาล้วนๆเลย ในราคาเท่านี้ได้พอร์ตเชื่อมต่อที่ค่อนข้างหลากหลายที่สุดแล้วเมื่อเทียบกับแบรนด์ดังอย่างพวก Ugreen (ซึ่งผมก็ใช้ 9 in 1 ของเคาอยู่เหมือนกัน) ผมเลยหามาไว้เป็นตัวสำรองอีกตัว เกริ่นมาพอควรมาเข้าเนื้อหารีวิวกันเลยดีกว่าครับผม
[ Packaging ]
หน้าตาของกล่องน่าจะรู้ได้ไม่ยากนักว่าเป็นแบนรด์จากจีนแน่นอน หน้าตาของกล่องดีไซน์ได้ค่อนข้างจะทื่อๆมาก 555 ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ด้านหน้าเป็นรูปตัวอุปกรณ์ พร้อมบอกถึงจุดเด่นต่างๆ ส่วนด้านหลังก็บอกถึงรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆที่เจ้า HUB ตัวนี้สามารถทำได้ ก็จะมีทั้งภาษาจีน และไทย ระบุไว้
เมื่อแกะกล่องออกมาก็ไม่ได้พบกับพิซซ่าถาดใหญ่ในกล่องแต่อย่างใด...หากแต่เป็นกล่องกระดาษที่ด้านในเป็นถาดพลาสติกสีขาวที่ใส่เจ้า HUB ตัวนี้ไว้ในหลุมตรงกลางถาด ตัว HUB วัสดุเป็น Aluminium ที่ผ่านการ Anodized ที่สระอะโนดาดมาอย่างเรียบร้อย... วัสดุค่อนข้างดูดีเทียบกับแบรนด์ดังได้อย่างไม่เคอะเขิน
เมื่อยกถาดพลาสติกออกก็จะพบกับคำภีร์เล่นแร่แปรธาตุที่ทุกท่านชื่นชอบ...นั่นก็คือคู่มือนั่นเอง มีทั้งภาษาอังกฤษ และภาษาไทยเช่นเคย
[ SPEC ]
ในด้านสเป็คต่างๆของตัว HUB โดยละเอียด ผมขออนุญาตอ้างอิงจากในคู่มือนี่เลยนะครับ จะได้ไม่ตกหล่นในรายละเอียดต่างๆ
[ การเชื่อมต่อต่างๆ ]
ในด้านนี้จะมีพอร์ตเชื่อมต่ออยู่ 4 จุด นั่นคือ USB3.0 (3 ช่อง) และ PD (1 ช่อง)
ส่วนอีกด้านจะป็น HDMI (1 ช่อง) MicroSDCard (1 ช่อง) SDCard (1ช่อง) และ Audio Out 3.5mm. (1 ช่อง)
ด้านล่างจะมีเป็นแป้นยางกันลื่นซึ่งเวลาใช้งานจริงค่อนข้างโอเคเลย เพราะเวลาใช้งานตั้งไว้บนโต๊ะมันจะไม่ดิ้นไปดิ้นมา
และด้านสุดท้ายจะเป็น VGA (1 ช่อง) LAN (1 ช่อง)
และหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อ แน่นอนว่าเป็น USB-C ครับ ตัวสายยาวประมาณ 15cm. ตรงนี้คิดว่าสั้นไปนิดนึง ทำให้ฉุดกระชากลากถูได้ลำบากหน่อย...
[ ใช้งานจริง ]
ต้องบอกก่อนว่า Device ที่ผมใช้งานในการเชื่อมต่อเป็นประจำจะเป็น Samsung Galaxy Note 8 ซึ่งใช้งานใน Dex Mode หรือ Desktop Mode ก็สุดแล้วแต่จะเรียกให้ถนัดปากของแต่ละท่านครับ
การเชื่อมต่อออกจอผมใช่สาย HDMI to DVI ของ Ugreen ในการเชื่อมต่อ ซึ่งก็ใช้งานได้ดีไม่มีเรื่องการตบตีระหว่างสถาบันให้หวาดเสียว
ซึ่งภาพที่ได้ก็ตามสภาพจอที่ทำงานครับ เนื่องจากผมได้ใช้คอมเครื่องเก่าก็ต้องทำใจยอมรับสภาพกันไป จะมีเว้นดำบนล่างเนื่องจากไม่ได้เป็นสเกลมาตรฐานที่รองรับ แต่ถ้าเป็นจอ 16:9 ปกติกใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาให้คับข้องใจครับ
** ตัวอย่างจากการต่อจอ TV ที่บ้าน ** เนื่องจาก Dex Mode ของ Samsung Galaxy Note 8 ต่อออกได้แค่ 1080P หรือ FullHD ที่ Refresh Rate 60Hz เท่านั้น เลยไม่ได้ลองโหมด 4K ที่ในคู่มือเคลมว่ารองรับ Refresh Rate 60Hz (ต่อภาพออกเท่านั้น) และ 30Hz (ใช้งานเชื่อมต่อทุกอย่างได้ตามปกติ)
ในการใช้งานจริงของผมโดยส่วนมากก็จะมีแค่ Mouse, Keyboard และเสียบชาร์จไฟผ่าน PD และอาจจะมี SDCard หรือ FlashDrive เป็นครั้งคราว แต่ในวันนี้ผมจะเชื่อมต่อพร้อมกันให้เยอะที่สุดเท่าที่ผมจะมีอุปกรณ์ครับ
้
พอเชื่อมต่ออะไรเสร็จสรรพ ทีนี้เรามาลองเทสอุปกรณ์กันหน่อย อย่างแรกเลยคือ Mouse และ Keyboard ก็ใช้งานได้ดีเหมือนที่เคยเป็น สามารถพิมพ์ได้ทั้งภาษาอังกฤษ และไทยได้อย่างปกติ โดยการเปลี่ยนภาษานั้นของ Samsung Dex Mode จะใช้ Shift + Spacebar เผื่อท่านใดยังไม่รู้ สามารถพิมพ์งานแก้งานได้ค่อนข้างสะดวก เหมาะมากเลยครับสำหรับท่านใดที่ใช้ Microsoft Office อยู่
ในส่วนของ FlashDrive และ MicroSDCard ก็อ่านได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด (แต่ Format ของ Storage ที่ใช้ใน Samsung Galaxy Note 8 ต้องเป็น Fat32 นะครับตัวเครื่องถึงจะอ่านเจอ เป็นข้อจำกัดของตัวโทรศัพท์) โดยที่ USB1 ในภาพจะเป็น MicroSD และ USB2 เป็น FlashDrive เปิดอ่านผ่าน File Explorer ของตัวเครื่อง สามารถถ่ายโอนไฟล์ รูปภาพ งาน เอกสารต่างๆ ได้อย่างสะดวกเลยครับ
สำหรับการใช้ Gigabit LAN ผมลองเทสโดยเสียบผ่านโทรศัพท์เพียงเท่านั้นนะครับ เพราะที่ทำงานใช้ Wifi ต้องกลับไปเสียบที่บ้าน ก็ใช้งานได้ดีไม่มีปัญหาครับ โดยเน็ตที่บ้านนั้นความเร็วอยู่ที่ 500/500 แต่น่าจะมีคนในบ้านดาวน์โหลดอะไรสักอย่างถึงได้ความเร็วฝั่งดาวน์โหลดตกไป
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเชื่อมต่อ LAN ได้สำเร็จแล้ว? สามารถเข้าไปดูที่ตั้งค่าได้ครับ หรือดูตรงแถวสัญลักษณ์ 4G ด้านบนของโทรศัพท์จะเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของพอร์ต LAN ครับ
[ สรุป ]
ก็ถือได้ว่าเป็น USB-C HUB อีกตัวที่ผมคิดว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับแบรนด์ดังในรุ่นที่จำนวนพอร์ตการเชื่อมต่อพอกัน บางทีราคาห่างกันเป็น"หลักพัน"ทีเดียว ตัว HUB สามารถใช้งานได้ดีมาก วัสดูดี เชื่อมต่อได้หลากหลายครบครัน ตัวนี้ผมได้มาหักส่วนลดคูปองอะไรแล้วอยู่ที่ 12xx บาท จากร้านใน Shopee ซึ่งเป็นร้านในไทยนะครับ ที่ผมเลือกร้านนี้ก็เพราะว่าเค้ามีรับประกันสินค้าด้วย มันจะมีพวกที่เป็นร้านในจีนขายถูกกว่า แต่ไม่ได้รับประกันสินค้าก็เลยไม่ได้ซื้อครับ ถ้าอยากทราบว่าซื้อจากร้านไหนก็ถามกันมานะครับ ถ้าพิมพ์ชื่อร้านไว้กลัวจะเป็นการโฆษณา
สุดท้ายนี้ก็ขอจบรีวิวไว้เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านที่กำลังหา USB-C HUB ใช้งานอยู่ในราคาไม่แพง...ขอบคุณและสวัสดีคร้าบบ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้