ถามมาแบบนี้... ถ้าจะอธิบายให้ "เข้าใจจริงๆ" นี่คือต้องยาวมากครับ เพราะต้องไปทำความเข้าใจกับสิ่งพื้นฐานหลายๆเรื่อง (เช่นว่า "แสง" คืออะไร? แล้วทำไมของบางอย่างทำไมถึง "ใส" (แก้ว/กระจก) แต่อย่างอื่นถึง "ทึบ" แล้วแสงทะลุไม่ได้? และอื่นๆ) แต่ดูท่าทางคงไม่ได้จะต้องการขนาดนั้น... งั้นตอบแบบนี้แล้วกัน :


----
คือเหมือน Sonar ที่ปล่อย "เสียง" แล้ว "รอฟังผลสะท้อน" ของเสียง เพื่อที่จะบอกได้ว่าอะไรอยู่ใกล้หรือไกลขนาดไหน ("วัดระยะ") โดยคำณวนเอาจากเวลาดีเลย์ของเสียงที่สะท้อนกลับมาเพื่อสามารถเอาข้อมูลตรงนี้มา "สร้างภาพ" ให้เรามองเห็นได้ เช่นภาพที่เราเห็นบนจอของเครื่อง Sonar ที่ไว้หาปลา ที่มันจะไม่ใช่ภาพของการมองเห็นใต้น้ำลงไปจริงๆ เหมือนการถ่ายรูป แต่เป็นแค่ภาพที่เครื่องมัน "สร้าง" มาให้เราดูเฉยๆเท่านั้น ซึ่งจะต่างกับภาพที่ได้จากการที่เครื่องมัน "เห็น" และ "ถ่าย" มาให้เราดูเป็นภาพจริงๆ เช่นภาพที่ได้จากการไปถ่าย X-ray เวลากระดูกหัก

Lidar ก็คือเหมือนกันเปี้ยบกับ Sonar แหล่ะครับ แต่เปลี่ยนจากเสียงมาใช้ "แสง" แทนครับ

ซึ่งเหมือนกับเสียงซึ่งมีหลาย "ความถี่" (ตั้งแต่เสียงเบสตึ้บๆ ไปจนถึงเสียงซ่าแสบแก้วหู) และแต่ความถี่ก็มีความต่างกันต่างๆนาๆ (เช่นว่าถ้าท่านเอาฟองน้ำไปบังลำโพง เสียงต่างกันกับถ้าท่านเอากระดาษไปบัง)  ... "แสง" นี่มันก็มีหลายความถี่และความต่างของมันครับ บางคลื่นมันทะลุบางอย่างได้แต่ทะลุอีกอย่างไม่ได้ ส่วนคลื่นอื่นนั้นอาจจะตรงกันข้ามเลย จะต่างกันหน่อยก็ตรงที่ว่าแสงนั้นความถี่มันกว้างกว่าเสียงมากกกกกกกกครับ ทำให้สามารถเก็บละเอียดได้มากกว่า

ในลิ้งค์ของท่าน เขาเอาแสงที่ทะลุต้นไม้แต่สะท้อนพื้นและสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ เขาเลยเอาข้อมูลตรงนี้มา "สร้างภาพ" ให้เรามองเห็นพวกบ้านหรือไรงี้ได้ ... ย้ำนะครับว่าเขาไม่ได้ "เห็น" หรือว่าเขาสามารถ "ถ่าย" ภาพทะลุต้นไม้ได้ ... ภาพที่เขาเอามาให้เราดูนั้นมันมาจากการ" สร้าง" ขึ้นมาเท่านั้น


ส่วนบนไอโฟนนั้น Lidar มีเอาไว้เพื่อวัดระยะเฉยๆ ครับ ไม่ได้เพื่อเอามาส่องให้เห็นทะลุอะไรยังไง เพียงแต่ว่าสามารถวัดได้ทั้งซีนและถ้าเปรียบเทียบกับมือถือบางรุ่นที่ใช้ตัววัดระยะด้วยแสงที่ใช้กระบวนการแบบเดิมนั้น (ซึ่งใช้เทคนิกแบบเดียวกันกับที่ใช้บนพวกกล้องส่องวัดระยะ) มันจะมีความละเอียดกว่ามากครับ .... (ถ้าเอาตามที่แอ็ปเปิ้ลโม้ไว้อ่ะนะ)
----


ปล. นี่สั้นแล้วนะนี่...
ปล2. Radar ก็เหมือนกันเปี้ยบกับข้างบนแหล่ะครับ (และมันก็คือเหตุผลว่าทำไมชื่อมัน "น่าๆ ด้าๆ" เหมือนกันหมด) แต่เขาใช้ "คลื่นวิทยุ" แทน