สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
แม่อายุ55ติดโค้กกับเป๊ปซี่มาก กินวันละเกือบ 2 ลิตร
แอบซื้อตลอดทั้งๆที่พูดกับสอนให้ฟังทุกวันว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพยังไง
เคยนั่งคุยกันหลายรอบแล้วจริงๆ ไม่เวิร์ค แม่บอกเข้าใจแล้วว่าไม่ดียังไง แล้วก็กลับไปกินต่ออยู่ดี วนไปเป็นอย่างนั้น
ปกติก็แอบเอาโค้กของแม่ไปทิ้ง แบบไม่ไห้รู้ เพราะทุกครั้งที่ขู่จะเอาไปทิ้งแม่จะโกรธตลอด
แต่วันนี้แอบเอาโค้กไปทิ้ง แล้วแม่เห็นพอดี
แล้วแม่อันธพาล โยนข้าวของ ฉีกใบต้นกล้วยมาฟาดของทุกอย่าง ฟาดพื้นหน้าบ้าน
โยนไม้กวาดใส่ลูกตัวเอง ถีบต้นกล้วย เตะและเขวี้ยงข้าวของ
แล้วขู่ว่าจะขับรถออกไปกินโค้กเอง 2 ลิตร
เกิดมาอยู่กับแม่มา20ปีไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ตะโกนคำหยาบทั้งๆที่ไม่เคยพูดกับลูกมาก่อน ขู่จะชกคนในบ้าน อายุตั้งแต่ 12 ถึง 20
ต้องการความช่วยเหลือด่วน มีใครแนะนำได้บ้าง
มีหมอจิตเวชแบบมาหาที่บ้านเลยมั้ย ช่วยเปลี่ยนนิสัย
อยากให้คนอื่นพูด อยากให้ฟังแล้วทำสิ่งที่ดีต่อสุขภาพตัวเองขึ้น
อ่า อันนี้ ความเห็นผม อาจตรงไปบ้าง ขออภัย นะครับ
Coke มิใช่ของอันตราย ถึงขนาดต้องเอาไปแอบทิ้ง นะครับ
ยิ่ง คุณแม่ ท่าน(อาจ) ซื้อมาเองด้วย
อีกทั้ง คุณแม่อายุมากแล้ว ท่านก็อาจต้องการความสุขของท่าน
หากเป็นคุณโดนเอาของชอบหรือ ของที่คุณซื้อมาเอง
เอาไปทิ้ง คุณก็คงโกรธ ใช่ไหมครับ
ประเด็นเรื่อง "เอาไปทิ้ง" ไม่ดีเลย
ทางแก้ไข :
1. คุณแม่กินโค๊กแบบไหน Coke Original หรือ Coke Zero แล้วทำไมคุณคิดว่า อันตราย (ตัดประเด็น Pepzi ออกไปก่อน จะได้ไม่เยอะเกิน)
2. ความอันตรายนั้น คืออะไรหรือครับ
3. หากคุณคิดว่า น้ำตาลสูง คุณทราบว่า น้ำตาลมากแค่ไหนครับ
4. คุณแม่ มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ (จุดนี้ เพื่อความสบายใจ ของคุณแม่ คุณควรพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพ แบบเจาะตรวจเลือด ดูผล Lab ครับ เวลาจะคุยอะไรกับคุณแม่ เรื่องสุขภาพ ก็จะได้สะดวกด้วย)
5. ลองคุยกับคุณแม่ เปลี่ยนมากิน Coke Zero ดีไหม
6. คนที่ติด Coke บางคน เพียงเพราะต้องการน้ำดื่ม หวาน ๆ เย็น ๆ ที่ "หยิบกินสะดวก"
คุณอาจลอง เตรียมน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำส้มอะไรทำนองนี้ ไว้ให้ท่านหยิบกินได้ง่าย ๆ
แล้วต่อรองกับท่าน ว่า ขอลด เหลือวันละขวด แล้วกินน้ำผลไม้อย่างอื่น
7. ลองดูว่า คุณแม่ กินนมอะไรได้ไหม แบบนมขวดพาสเจอไรส์ น่ะครับ ก็ซื้อมาตั้งไว้
8. เน้นที่ความสะดวก หยิบกินง่าย ครับ
ส่วนเรื่องเย็นชื่นใจ อะไรทำนองนี้ ต้องดูว่า คุณแม่กิน Coke แบบเทใส่น้ำแข็งหรือว่ากินเปล่า ๆ ก็ปรับแต่งกันไป
9. อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะอย่างไร การเอาของคนอื่นไปทิ้ง ... มิใช่สิ่งดีเลยครับ
ขออภัยอีกครั้ง หากความเห็น ไม่ตรงกับแนวคิดของคุณครับ
แอบซื้อตลอดทั้งๆที่พูดกับสอนให้ฟังทุกวันว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพยังไง
เคยนั่งคุยกันหลายรอบแล้วจริงๆ ไม่เวิร์ค แม่บอกเข้าใจแล้วว่าไม่ดียังไง แล้วก็กลับไปกินต่ออยู่ดี วนไปเป็นอย่างนั้น
ปกติก็แอบเอาโค้กของแม่ไปทิ้ง แบบไม่ไห้รู้ เพราะทุกครั้งที่ขู่จะเอาไปทิ้งแม่จะโกรธตลอด
แต่วันนี้แอบเอาโค้กไปทิ้ง แล้วแม่เห็นพอดี
แล้วแม่อันธพาล โยนข้าวของ ฉีกใบต้นกล้วยมาฟาดของทุกอย่าง ฟาดพื้นหน้าบ้าน
โยนไม้กวาดใส่ลูกตัวเอง ถีบต้นกล้วย เตะและเขวี้ยงข้าวของ
แล้วขู่ว่าจะขับรถออกไปกินโค้กเอง 2 ลิตร
เกิดมาอยู่กับแม่มา20ปีไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ตะโกนคำหยาบทั้งๆที่ไม่เคยพูดกับลูกมาก่อน ขู่จะชกคนในบ้าน อายุตั้งแต่ 12 ถึง 20
ต้องการความช่วยเหลือด่วน มีใครแนะนำได้บ้าง
มีหมอจิตเวชแบบมาหาที่บ้านเลยมั้ย ช่วยเปลี่ยนนิสัย
อยากให้คนอื่นพูด อยากให้ฟังแล้วทำสิ่งที่ดีต่อสุขภาพตัวเองขึ้น
อ่า อันนี้ ความเห็นผม อาจตรงไปบ้าง ขออภัย นะครับ
Coke มิใช่ของอันตราย ถึงขนาดต้องเอาไปแอบทิ้ง นะครับ
ยิ่ง คุณแม่ ท่าน(อาจ) ซื้อมาเองด้วย
อีกทั้ง คุณแม่อายุมากแล้ว ท่านก็อาจต้องการความสุขของท่าน
หากเป็นคุณโดนเอาของชอบหรือ ของที่คุณซื้อมาเอง
เอาไปทิ้ง คุณก็คงโกรธ ใช่ไหมครับ
ประเด็นเรื่อง "เอาไปทิ้ง" ไม่ดีเลย
ทางแก้ไข :
1. คุณแม่กินโค๊กแบบไหน Coke Original หรือ Coke Zero แล้วทำไมคุณคิดว่า อันตราย (ตัดประเด็น Pepzi ออกไปก่อน จะได้ไม่เยอะเกิน)
2. ความอันตรายนั้น คืออะไรหรือครับ
3. หากคุณคิดว่า น้ำตาลสูง คุณทราบว่า น้ำตาลมากแค่ไหนครับ
4. คุณแม่ มีโรคประจำตัวอะไรหรือไม่ (จุดนี้ เพื่อความสบายใจ ของคุณแม่ คุณควรพาคุณแม่ไปตรวจสุขภาพ แบบเจาะตรวจเลือด ดูผล Lab ครับ เวลาจะคุยอะไรกับคุณแม่ เรื่องสุขภาพ ก็จะได้สะดวกด้วย)
5. ลองคุยกับคุณแม่ เปลี่ยนมากิน Coke Zero ดีไหม
6. คนที่ติด Coke บางคน เพียงเพราะต้องการน้ำดื่ม หวาน ๆ เย็น ๆ ที่ "หยิบกินสะดวก"
คุณอาจลอง เตรียมน้ำหวาน น้ำผลไม้ น้ำส้มอะไรทำนองนี้ ไว้ให้ท่านหยิบกินได้ง่าย ๆ
แล้วต่อรองกับท่าน ว่า ขอลด เหลือวันละขวด แล้วกินน้ำผลไม้อย่างอื่น
7. ลองดูว่า คุณแม่ กินนมอะไรได้ไหม แบบนมขวดพาสเจอไรส์ น่ะครับ ก็ซื้อมาตั้งไว้
8. เน้นที่ความสะดวก หยิบกินง่าย ครับ
ส่วนเรื่องเย็นชื่นใจ อะไรทำนองนี้ ต้องดูว่า คุณแม่กิน Coke แบบเทใส่น้ำแข็งหรือว่ากินเปล่า ๆ ก็ปรับแต่งกันไป
9. อย่าลืมว่า ไม่ว่าจะอย่างไร การเอาของคนอื่นไปทิ้ง ... มิใช่สิ่งดีเลยครับ
ขออภัยอีกครั้ง หากความเห็น ไม่ตรงกับแนวคิดของคุณครับ
ความคิดเห็นที่ 48
เล่าเรื่องแม่ผมให้ฟัง เพิ่งมีเรื่องเซอร์ไพรซ์ 2 อาทิตย์ผ่านมานี่เอง
สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนอายุ 50 กว่าๆแม่ผมตกบันไดขาหัก ก็นอนโรงพยาบาลรักษาตามปกติ แต่ขณะรักษาตัวเกิดติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย เรื่องใหญ่เลยครับ เป็นอะไรที่กระทันหันคล้ายๆคุณบิ๊ก D2B กับคุณปอทฤษฏีเลย ตอนนั้นคือหนักมากโอกาสรอดน้อยมาก นอน ICU เฝ้าดูอาการตลอด โชคดีได้คุณหมอเก่งมาก รักษารอดผ่านพ้นมาได้ แต่ตั้งแต่นั้นก็เป็นคนป่วยติดเตียง นั่งรถเข็น มีถุงปัสสาวะห้อยนอกร่างกายต้องเปลี่ยนทุกวัน
สาเหตุจริงๆคือร่างกายแม่ผมไม่ค่อยดี แม่อ้วน ชอบกินหวาน มัน และชอบกินสารพัดยา ยานอนหลับ ยาแก้เครียด ออกกำลังกายไม่ต้องถาม ผลเลือด ค่าตับ ค่าไต แย่ทุกอย่าง ตอนนั้นคำว่าโรค NCDs ยังไม่ฮิต รู้แต่ว่าตอนนั้นแม่เป็นโรคไตแต่ไม่ถึงขั้นฟอกไต อาการดีขึ้นก็กลับบ้านดูแลกันที่บ้าน คนเราเป็นโรคไตจะผอมครับ แม่ผมจากอ้วนมากๆลงไปผอม บางทีผอมลงไปมากๆภูมิร่างกายต่ำเกินติดเชื้ออีก ก็ต้องไปโรงพยาบาลนอนเข้า ICU ก็เป็นวนแบบนี้อยู่ 2-3 ปี โรคไตดีขึ้นครับ
แล้วก็กลับมาอ้วน.. และก็อ้วนขึ้นอีกเรื่อยๆ จากหนังติดกระดูกกลับมาอ้วนมากขึ้น เบาหวาน ความดัน ก็กลับมา ก็กินยา.. ตลอดมา..
ผมเองเคยป่วยหนักเหมือนกัน แต่เพิ่งมีความรู้ เปลี่ยนตัวเองได้จากการคุมอาหาร ออกกำลังกาย ไม่กี่ปีมานี้เอง เริ่มพยายามจับแม่คุมอาหาร ทำกายภาพ หวังให้ออกกำลังกายด้วยตัวเองได้บ้าง ทำเองก็แล้ว จ้างคน วานญาติมาทำให้ แม่ไม่เอาเลย เหนื่อย ลำบาก ปวด ทรมาน ไปหมด "คนเราร่างกายไม่เหมือนกันนะลูก.." เป็นสิ่งที่แม่ผมพูดตลอดมาตั้งแต่ก่อนป่วยเดินไม่ได้ จนอยู่สภาพนี้
อาหารที่ผมทำ ที่ผมซื้อให้แม่แอบทิ้ง ใช้คนเท่าที่จะใช้ได้ไปซื้อให้ตลอด ทั้งๆที่รสชาติมันไม่ได้แย่ปรับให้ใกล้ปกติที่สุดแล้ว ชอบกินพะโล้ สุกี้ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำหวานๆ น้ำอัดลม อะไรแบบที่เรากินปกติกันนี่แหละแต่เน้นหวานๆชอบทุกอย่าง ไม่มีผัก ผักน้อยยิ่งชอบ ผลไม้ก็ต้องหวาน ถ้าไม่หวานจะบ่นแข็งไปหมด กินไม่ได้ เจ็บฟัน (แต่ตุ้บตั๊บ ถั่วตัดยังกินได้เลยถ้ามีคนซื้อมาให้) พยายามคุมอาหารไม้นวมที่สุดแล้ว เพราะรู้นิสัยแม่ผมดี แต่สักพักแม่ก็อยากไปอยู่บ้านญาติคนอื่น ไม่อยากอยู่กับผม บอกว่าใกล้โรงบาลบ้าง คิดถึงคนอื่นบ้าง ไปจากผมปุ๊บก็จัดเต็มครับ พออาการทรุดก็วนกลับมาบ้านผม
ญาติๆคนอื่นก็ "ปล่อยแม่บ้างเถอะ" "ให้แม่มีความสุขบ้าง" "นิดๆหน่อยๆไม่เป็นไรหรอก" "บุญกรรมลูก..คนเราไม่หมดกรรมไม่เป็นไรหรอก" ผมรู้ว่าญาติๆหวังดีกับแม่ เป็นห่วงผมจากใจจริงนะ แต่ในใจลึกๆคือ เฮ้อ....
เหตการณ์วนๆแบบนี้มาสิบกว่าปี ลูกผมเกิดมาก็เห็นย่าติดเตียง นั่งรถเข็นมาแต่เกิดแล้ว
สองอาทิตย์ที่แล้วแม่หลอดเลือดสมองตีบครับ ตอนนี้ร่างกายขยับไม่ได้ไปครึ่งซึก ที่พีคคือแม่ขาเสียมาก่อนแล้ว.. อาทิตย์แรกแม่นอนน้ำลายไหล ตอนนี้ยังพูดไม่ชัด และจะไม่ชัดไปอีกนาน พีคในพีคคือกินได้แต่อาหารเหลว แต่ร้องกินหวานอีกแล้ว...
ตอนนี้แม่ผมใกล้ 70 แล้ว ถามว่าจะเสียเร็วๆนี้ไหม บอกเลยว่าอีกหลายปี 80-90 ก็ยังไหว ถ้าไม่นับว่าเป็นอัมพฤษ ขาเสีย หิ้วถุงฉี่ ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ก็อ้วนถ้วนปกติดี หงุดหงิด ขี้บ่น น้อยใจบ้างแต่พูดคุยรู้เรื่อง ญาติมองว่าแม่ผมยังไม่หมดกรรม แต่ความจริงคือหมอ พยาบาล พี่น้อง ลูกหลาน ตัวผมยังดูแลท่านได้อยู่ แต่ละคนโปร..ในการดูแลคนป่วยมานานแล้ว ช่วงโควิทลูกผีลูกคน ผมนั่งศึกษาข้อมูลทำเครื่องช่วยหายใจด้วย 3D Printer ศึกษาเรื่องสอดท่อช่วยหายใจคิดว่าถึงเวลาไม่มีทางเลือกจริงๆก็ต้องทำ เตรียมพร้อมกันขนาดนั้นครับ
ทั้งหมดที่เล่ามาอยากบอกแค่ ถึงเวลาป่วยขึ้นมาไม่มีอะไรง่าย แม้แต่ความตายยังไม่ง่ายเลยครับ คุณคิดว่าคุณป่วยปุ๊บแล้วตายง่ายๆเลยเหรอ โรคที่ตายง่ายๆน่ะมี แต่คุณเลือกเองไม่ได้ว่าจะเป็นอะไร แต่ถึงเวลาแบบนั้นบอกเลยครับทุกคนกลัว กลัวมากด้วย ถ้าโลกหลังความตายมีจริงคุณจะเสียใจมากที่สะสางเรื่องที่ค้างคาไม่เสร็จ ส่วนโรคที่ตายยากๆแรกๆจะกลัวตาย หลังๆจะกลัวเจ็บมากกว่ากลัวตาย จะสงสารคนที่คุณสร้างภาระให้เค้า แล้วก็จะเกลียดตัวเอง แล้วก็จะน้อยใจ กลายเป็นเหวี่ยงวีน.. แล้วก็กลับมาอยากตายอีก แล้วก็กลัวเจ็บ กลัวตาย แบบนี้วนไปเรื่อยๆ ทุกคนที่ยังจะไม่เจอจะคิดว่าความตายมันง่าย "ถึงเวลาเราขอตายดีกว่าไม่เป็นภาระลูกหลาน" บอกเลยไม่ง่าย ไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ผมดูแลแม่ได้ด้วยความยินดีแต่ผมจะป่วยเป็นภาระให้ลูกผมเองนี่ทำไม่ลงครับ ลองคิดดูดีๆระยะเวลาเกือบ 20 ปีเนี่ยมันมากกว่าเวลาที่คุณส่งลูกเรียนจบปริญญาเสียอีก ถ้าคุณเป็นพ่อเป็นแม่ คุณอยากให้ลูกคุณรับภาระนี้ไปไหมครับ ตัวผมเปลี่ยนชีวิตตัวเองมาเป็นสายสุขภาพได้ก็เพราะลูกผมเกิดมา
เล่ามาคืออยากให้เห็นภาพ ว่าโรค NCDs มันเป็นยังไง ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีผมไม่ได้อยู่เฉยนะ พยายามปรับพฤติกรรมแม่ เตือนทุกคน บอกทุกคนในฐานะเสาหลักครอบครัว แต่ก็นั่นแหละครับปัญหามันอยู่ที่นิสัย กับพฤติกรรม การเปลี่ยนความเชื่อคนยากมากจริงๆ ถ้าเค้าไม่อยากเปลี่ยน.. คนที่ไม่เข้าใจ ยังมองความจริงไม่ออก ก็บอกมันเว่อร์เกินไป สายสุขภาพนะเราน่ะ..
ผม 43 เพื่อนรุ่นๆเดียวกันเริ่มมีคนตาย คนป่วยเป็น NCDs หลายคนแล้ว ความจริงที่น่าตกใจคือคนรุ่น 40 กว่าแบบผมเริ่มมี % การป่วยใกล้ๆกับคนอายุ 50-60 แล้ว หลายปีก่อนผมนั่งแท๊กซี่ไปงานศพเพื่อน เพื่อนผมคนนี้อ้วน กินเหล้า สูบบุหรี่ เป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ ถึงขั้นเจาะคอมาก่อน ผมกำลังนั่งอึนๆอยู่เลยมีข่าววิทยุว่ามีคนปั่นจักรยานหัวใจวายตาย พี่แท๊กซี่คุยกับผมเลย "พี่ว่ามะ.. พวกเป็นโรคตายๆกันเนี่ย พวกออกกำลังทั้งนั้นเลยนะ พวกกินเหล้านี่ไม่ค่อยตายกันอ่ะ" ผมสาบานได้นะว่านี่เรื่องจริง รู้สึกเหมือนอยากหัวเราะกับร้องไห้พร้อมๆกัน
ความจริงคือก็ตายกันอยู่เนี่ย ตายไม่เป็นข่าว ตายแล้วก็โทษบุญกรรม โทษดวง หมอก็บอกหาสาเหตุไม่ได้
เพิ่งดูหนังปู่เลียม นีลสัน เรื่องล่าสุดตัวร้ายสายรักสุขภาพอีกแล้ว บทตัวร้ายจะพูดยาวๆ ไม่กินฟรุสโตสคอร์นไซรัพ ห้ามลูกกินขนม สายสุขภาพต้องจิตๆหน่อยๆ พระเอก นางเอก ต้องหุ่นดี สูงไหล่กว้าง หุ่นตัววี เอวมดตะนอย แต่แดรก.. อย่างไม่บันยะบันยัง กินไม่เลือกจะดูมีสเน่ห์มาก กินเบอเกอร์ ซดโค้ก ดื่มเบียร์จนเรอออกมาได้จะดูเท่ห์สุดๆ ถามว่าความจริงดาราทั้งหลายกินแบบนั้นจะได้หุ่นแบบนั้นไหม น้ำอัดลมมันต้องโผล่ออกมาพร้อมเหงื่อ การออกกำลังกาย ความสนุก กล้ามเนื้อ คนดื่มต้องนักกีฬา เป็นคนดำ กล้ามๆ ตัวใหญ่ๆได้จะยิ่งดี ชีวิตจริงคนพวกนี้ไม่เอาน้ำอัดลมเข้าปากเด็ดขาดครับ เรื่องพวกนี้คุณไปสังเกตุดูดีๆคุณจะเห็นเอง
น้ำตาลเป็นทั้งยาพิษ และเสพติด ไม่เป็นพิษโดยตัวมันเอง แต่ทำให้เกิด "การดื้ออินซูลิน" เป็นต้นเหตุปัญหาทั้งหมดของโรคเรื้อรัง ทุกโรค ทำให้คุณไม่มีแรงหงุดหงิด หรือแม้แต่หน้ามืดเป็นลมถ้าไม่ได้กิน ตอนกินคุณอาจจะชื่นใจแต่แป๊บเดียวคุณก็หิวง่าย หิวเร็ว เหนื่อยง่าย กินเยอะแต่ ไม่มีแรง หัวตื้ออยู่ดี ไม่ใช่แค่อ้วนแต่เพิ่มการอักเสบ การเสื่อมในระดับเซลล์ของร่างกาย ทำให้คุณป่วยและตาย.. ในที่สุดอย่างแน่นอน เมื่อคุณอายุมากขึ้นโทโลเมียร์และการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายอ่อนแอลง
โพสมาเล่าประสบการณ์เฉยๆ เพราะผมเริ่มเข้าใจ(ปนท้อ)ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากได้ข้อมูลวิทยาศาสตร์จริงๆ ข้อมูลวิทยาศาสตร์มีเยอะแยะ(แต่เข้าใจยาก และส่วนมากถูกบิดเบือนเพื่อขายสินค้าสุขภาพ) และเมื่อคุณไม่พร้อมเปลี่ยนตัวเองคุณจะต่อต้านข้อมูลเหล่านั้น คนที่ป่วยเป็น NCDs เท่าที่ผมเจอทั้งตอนผมป่วย แม่ป่วย ครอบครัวป่วย 90% เป็นแบบนั้นครับคือต่อต้าน ไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง อยากจะหาหมอกินยาผ่าตัดแล้วหายเลย แล้วเชื่อว่าที่ป่วยเพราะดวง เกิดมาอ่อนแอ หรือเพราะบุญกรรม
ข่าวร้ายคือการแพทย์ทุกวันนี้ทำได้แค่ยื้อชีวิตคุณ ทำให้คุณภาพชีวิตคุณดีขึ้นได้ แต่รักษาให้หายขาดไม่ได้ และจะสูบเงินคุณหมดตัว เป็นหนี้เป็นสินได้ง่ายๆ
ข่าวดีคือการมีสุขภาพดีมันง่าย ไม่ต้องกินและไม่ต้อง ซื้อ อาหารเสริมหรือยา
- งดหรือลดกินน้ำตาลทั้งหลาย น้ำตาลเทียมก็ห้าม เพราะน้ำตาลเทียมทำให้คุณยิ่งอยากกินหวาน และไม่ช่วยการ "ดื้ออินซูลิน"
- งดกิน ทรานส์แฟต, ฟรุตโตสคอร์นไซรัพ, ผงชูรส (อันนี้ไปศึกษาเพิ่มเติมนะครับ)
- กินแป้งมีกากใยย่อยช้า ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด ไม่กินแป้งขัดขาวอย่างขนมปังนุ่มๆ ข้าวหอมมะลิ ขนมทั้งหลาย
- กินโปรตีนที่ย่อยง่ายๆ ปริมาณเหมาะสม ไม่เยอะไม่น้อยเกินไป ไข่ ไก่ ปลา โดยเฉพาะไข่นี่อย่ากลัวเลย
- กินผัก ผลไม้ไม่หวาน เยอะๆ
- ดื่มน้ำเยอะๆ
- ออกกำลังอย่างน้อยวันละครึ่ง ชม. อย่างน้อยเดินให้ต่อเนื่องให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
- นอนหลับให้พอ นอนหัวค่ำ ตื่นเช้าได้ยิ่งดี ถ้าทำงานเป็นกะนอนให้เป็นเวลา แต่นอนเวลาปกติได้จะดีเพราะมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อซ่อมแซมร่างกาย
*สำหรับคนอายุเกิน 30 ถ้าไม่ได้ผอมมากเกินไป ไม่ต้อง บำรุง ครับ การบำรุงร่างกายที่ดีที่สุดคือให้ร่างกายได้ อด บ้าง หรือ fasting อันนี้ดีจริงๆครับลองกับตัวเองแล้ว (หาข้อมูลเพิ่มนะครับ)
มันตลกสื่อ โฆษณาชอบให้คนแก่กลัวไข่ แต่เชียร์ให้กินนม น้ำส้ม ชาเขียว เครื่องดื่มสำหรับคนเป็นเบาหวาน แต่ดัน หวาน... คำถามคือจะดื่มทำไมครับ ไม่ดื่มได้ หรือดื่มแต่น้ำเปล่าได้จะดีที่สุด ไม่ต้องกลัวกระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม ไม่เคยเห็นคนแก่สมัยนี้เป็นโรคขาดสารอาหาร กลัวอ้วน กลัวน้ำหนักเกิน กลัวความดันขึ้นดีกว่าไหม อันนี้ผมขอชนแรงๆกับสื่อโฆษณาทั้งหลาย ที่ซื้อ Ads ยิงตรงถึงเฟสบุ๊คคุณ พิมพ์อยู่เนี่ยเหนื่อยฟรีไม่ได้อะไร แต่ทนเห็นคนเป็นเบาหวานเอาของหวานๆ น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียม ของพลังงานสูงเข้าตัวโดยไม่จำเป็นแล้วคิดว่าเป็นยาวิเศษ ยาบำรุงนี่เจ็บปวดครับ
อีกเรื่องสนใจสุขภาพ อย่าสนใจกินยาเพื่อผลเลือดที่ดีให้มากครับ ยาลดน้ำตาลกวาดน้ำตาลในเลือดหมดไปจริง แต่ไปสะสมที่ตับ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกายคุณ ทางที่ดีที่สุดคืออย่ากินน้ำตาลตั้งแต่ต้น กินอาหารที่ย่อยช้าๆ และออกกำลังกายเพื่อลดการสะสมไขมัน
ผลเลือดสะท้อนร่างกายคุณ เหมือนเข็มไมล์รถ แต่รถคุณกำลังพังคุณพยายามเอามือไปปรับเข็ม แต่ไม่ซ่อมเครื่องยนต์รถคุณก็ยังพังได้ทุกเวลา แม้ผลเลือด หรือเข็มไมล์คุณจะดีเพียงไร
สนใจสุขภาพ อาหาร ความแข็งแรง การออกกำลัง การพักผ่อนครับ
สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนอายุ 50 กว่าๆแม่ผมตกบันไดขาหัก ก็นอนโรงพยาบาลรักษาตามปกติ แต่ขณะรักษาตัวเกิดติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย เรื่องใหญ่เลยครับ เป็นอะไรที่กระทันหันคล้ายๆคุณบิ๊ก D2B กับคุณปอทฤษฏีเลย ตอนนั้นคือหนักมากโอกาสรอดน้อยมาก นอน ICU เฝ้าดูอาการตลอด โชคดีได้คุณหมอเก่งมาก รักษารอดผ่านพ้นมาได้ แต่ตั้งแต่นั้นก็เป็นคนป่วยติดเตียง นั่งรถเข็น มีถุงปัสสาวะห้อยนอกร่างกายต้องเปลี่ยนทุกวัน
สาเหตุจริงๆคือร่างกายแม่ผมไม่ค่อยดี แม่อ้วน ชอบกินหวาน มัน และชอบกินสารพัดยา ยานอนหลับ ยาแก้เครียด ออกกำลังกายไม่ต้องถาม ผลเลือด ค่าตับ ค่าไต แย่ทุกอย่าง ตอนนั้นคำว่าโรค NCDs ยังไม่ฮิต รู้แต่ว่าตอนนั้นแม่เป็นโรคไตแต่ไม่ถึงขั้นฟอกไต อาการดีขึ้นก็กลับบ้านดูแลกันที่บ้าน คนเราเป็นโรคไตจะผอมครับ แม่ผมจากอ้วนมากๆลงไปผอม บางทีผอมลงไปมากๆภูมิร่างกายต่ำเกินติดเชื้ออีก ก็ต้องไปโรงพยาบาลนอนเข้า ICU ก็เป็นวนแบบนี้อยู่ 2-3 ปี โรคไตดีขึ้นครับ
แล้วก็กลับมาอ้วน.. และก็อ้วนขึ้นอีกเรื่อยๆ จากหนังติดกระดูกกลับมาอ้วนมากขึ้น เบาหวาน ความดัน ก็กลับมา ก็กินยา.. ตลอดมา..
ผมเองเคยป่วยหนักเหมือนกัน แต่เพิ่งมีความรู้ เปลี่ยนตัวเองได้จากการคุมอาหาร ออกกำลังกาย ไม่กี่ปีมานี้เอง เริ่มพยายามจับแม่คุมอาหาร ทำกายภาพ หวังให้ออกกำลังกายด้วยตัวเองได้บ้าง ทำเองก็แล้ว จ้างคน วานญาติมาทำให้ แม่ไม่เอาเลย เหนื่อย ลำบาก ปวด ทรมาน ไปหมด "คนเราร่างกายไม่เหมือนกันนะลูก.." เป็นสิ่งที่แม่ผมพูดตลอดมาตั้งแต่ก่อนป่วยเดินไม่ได้ จนอยู่สภาพนี้
อาหารที่ผมทำ ที่ผมซื้อให้แม่แอบทิ้ง ใช้คนเท่าที่จะใช้ได้ไปซื้อให้ตลอด ทั้งๆที่รสชาติมันไม่ได้แย่ปรับให้ใกล้ปกติที่สุดแล้ว ชอบกินพะโล้ สุกี้ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำหวานๆ น้ำอัดลม อะไรแบบที่เรากินปกติกันนี่แหละแต่เน้นหวานๆชอบทุกอย่าง ไม่มีผัก ผักน้อยยิ่งชอบ ผลไม้ก็ต้องหวาน ถ้าไม่หวานจะบ่นแข็งไปหมด กินไม่ได้ เจ็บฟัน (แต่ตุ้บตั๊บ ถั่วตัดยังกินได้เลยถ้ามีคนซื้อมาให้) พยายามคุมอาหารไม้นวมที่สุดแล้ว เพราะรู้นิสัยแม่ผมดี แต่สักพักแม่ก็อยากไปอยู่บ้านญาติคนอื่น ไม่อยากอยู่กับผม บอกว่าใกล้โรงบาลบ้าง คิดถึงคนอื่นบ้าง ไปจากผมปุ๊บก็จัดเต็มครับ พออาการทรุดก็วนกลับมาบ้านผม
ญาติๆคนอื่นก็ "ปล่อยแม่บ้างเถอะ" "ให้แม่มีความสุขบ้าง" "นิดๆหน่อยๆไม่เป็นไรหรอก" "บุญกรรมลูก..คนเราไม่หมดกรรมไม่เป็นไรหรอก" ผมรู้ว่าญาติๆหวังดีกับแม่ เป็นห่วงผมจากใจจริงนะ แต่ในใจลึกๆคือ เฮ้อ....
เหตการณ์วนๆแบบนี้มาสิบกว่าปี ลูกผมเกิดมาก็เห็นย่าติดเตียง นั่งรถเข็นมาแต่เกิดแล้ว
สองอาทิตย์ที่แล้วแม่หลอดเลือดสมองตีบครับ ตอนนี้ร่างกายขยับไม่ได้ไปครึ่งซึก ที่พีคคือแม่ขาเสียมาก่อนแล้ว.. อาทิตย์แรกแม่นอนน้ำลายไหล ตอนนี้ยังพูดไม่ชัด และจะไม่ชัดไปอีกนาน พีคในพีคคือกินได้แต่อาหารเหลว แต่ร้องกินหวานอีกแล้ว...
ตอนนี้แม่ผมใกล้ 70 แล้ว ถามว่าจะเสียเร็วๆนี้ไหม บอกเลยว่าอีกหลายปี 80-90 ก็ยังไหว ถ้าไม่นับว่าเป็นอัมพฤษ ขาเสีย หิ้วถุงฉี่ ใส่ผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ก็อ้วนถ้วนปกติดี หงุดหงิด ขี้บ่น น้อยใจบ้างแต่พูดคุยรู้เรื่อง ญาติมองว่าแม่ผมยังไม่หมดกรรม แต่ความจริงคือหมอ พยาบาล พี่น้อง ลูกหลาน ตัวผมยังดูแลท่านได้อยู่ แต่ละคนโปร..ในการดูแลคนป่วยมานานแล้ว ช่วงโควิทลูกผีลูกคน ผมนั่งศึกษาข้อมูลทำเครื่องช่วยหายใจด้วย 3D Printer ศึกษาเรื่องสอดท่อช่วยหายใจคิดว่าถึงเวลาไม่มีทางเลือกจริงๆก็ต้องทำ เตรียมพร้อมกันขนาดนั้นครับ
ทั้งหมดที่เล่ามาอยากบอกแค่ ถึงเวลาป่วยขึ้นมาไม่มีอะไรง่าย แม้แต่ความตายยังไม่ง่ายเลยครับ คุณคิดว่าคุณป่วยปุ๊บแล้วตายง่ายๆเลยเหรอ โรคที่ตายง่ายๆน่ะมี แต่คุณเลือกเองไม่ได้ว่าจะเป็นอะไร แต่ถึงเวลาแบบนั้นบอกเลยครับทุกคนกลัว กลัวมากด้วย ถ้าโลกหลังความตายมีจริงคุณจะเสียใจมากที่สะสางเรื่องที่ค้างคาไม่เสร็จ ส่วนโรคที่ตายยากๆแรกๆจะกลัวตาย หลังๆจะกลัวเจ็บมากกว่ากลัวตาย จะสงสารคนที่คุณสร้างภาระให้เค้า แล้วก็จะเกลียดตัวเอง แล้วก็จะน้อยใจ กลายเป็นเหวี่ยงวีน.. แล้วก็กลับมาอยากตายอีก แล้วก็กลัวเจ็บ กลัวตาย แบบนี้วนไปเรื่อยๆ ทุกคนที่ยังจะไม่เจอจะคิดว่าความตายมันง่าย "ถึงเวลาเราขอตายดีกว่าไม่เป็นภาระลูกหลาน" บอกเลยไม่ง่าย ไม่ง่ายอย่างที่คุณคิดหรอกครับ ผมดูแลแม่ได้ด้วยความยินดีแต่ผมจะป่วยเป็นภาระให้ลูกผมเองนี่ทำไม่ลงครับ ลองคิดดูดีๆระยะเวลาเกือบ 20 ปีเนี่ยมันมากกว่าเวลาที่คุณส่งลูกเรียนจบปริญญาเสียอีก ถ้าคุณเป็นพ่อเป็นแม่ คุณอยากให้ลูกคุณรับภาระนี้ไปไหมครับ ตัวผมเปลี่ยนชีวิตตัวเองมาเป็นสายสุขภาพได้ก็เพราะลูกผมเกิดมา
เล่ามาคืออยากให้เห็นภาพ ว่าโรค NCDs มันเป็นยังไง ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายปีผมไม่ได้อยู่เฉยนะ พยายามปรับพฤติกรรมแม่ เตือนทุกคน บอกทุกคนในฐานะเสาหลักครอบครัว แต่ก็นั่นแหละครับปัญหามันอยู่ที่นิสัย กับพฤติกรรม การเปลี่ยนความเชื่อคนยากมากจริงๆ ถ้าเค้าไม่อยากเปลี่ยน.. คนที่ไม่เข้าใจ ยังมองความจริงไม่ออก ก็บอกมันเว่อร์เกินไป สายสุขภาพนะเราน่ะ..
ผม 43 เพื่อนรุ่นๆเดียวกันเริ่มมีคนตาย คนป่วยเป็น NCDs หลายคนแล้ว ความจริงที่น่าตกใจคือคนรุ่น 40 กว่าแบบผมเริ่มมี % การป่วยใกล้ๆกับคนอายุ 50-60 แล้ว หลายปีก่อนผมนั่งแท๊กซี่ไปงานศพเพื่อน เพื่อนผมคนนี้อ้วน กินเหล้า สูบบุหรี่ เป็นเบาหวาน ความดัน หัวใจ ถึงขั้นเจาะคอมาก่อน ผมกำลังนั่งอึนๆอยู่เลยมีข่าววิทยุว่ามีคนปั่นจักรยานหัวใจวายตาย พี่แท๊กซี่คุยกับผมเลย "พี่ว่ามะ.. พวกเป็นโรคตายๆกันเนี่ย พวกออกกำลังทั้งนั้นเลยนะ พวกกินเหล้านี่ไม่ค่อยตายกันอ่ะ" ผมสาบานได้นะว่านี่เรื่องจริง รู้สึกเหมือนอยากหัวเราะกับร้องไห้พร้อมๆกัน
ความจริงคือก็ตายกันอยู่เนี่ย ตายไม่เป็นข่าว ตายแล้วก็โทษบุญกรรม โทษดวง หมอก็บอกหาสาเหตุไม่ได้
เพิ่งดูหนังปู่เลียม นีลสัน เรื่องล่าสุดตัวร้ายสายรักสุขภาพอีกแล้ว บทตัวร้ายจะพูดยาวๆ ไม่กินฟรุสโตสคอร์นไซรัพ ห้ามลูกกินขนม สายสุขภาพต้องจิตๆหน่อยๆ พระเอก นางเอก ต้องหุ่นดี สูงไหล่กว้าง หุ่นตัววี เอวมดตะนอย แต่แดรก.. อย่างไม่บันยะบันยัง กินไม่เลือกจะดูมีสเน่ห์มาก กินเบอเกอร์ ซดโค้ก ดื่มเบียร์จนเรอออกมาได้จะดูเท่ห์สุดๆ ถามว่าความจริงดาราทั้งหลายกินแบบนั้นจะได้หุ่นแบบนั้นไหม น้ำอัดลมมันต้องโผล่ออกมาพร้อมเหงื่อ การออกกำลังกาย ความสนุก กล้ามเนื้อ คนดื่มต้องนักกีฬา เป็นคนดำ กล้ามๆ ตัวใหญ่ๆได้จะยิ่งดี ชีวิตจริงคนพวกนี้ไม่เอาน้ำอัดลมเข้าปากเด็ดขาดครับ เรื่องพวกนี้คุณไปสังเกตุดูดีๆคุณจะเห็นเอง
น้ำตาลเป็นทั้งยาพิษ และเสพติด ไม่เป็นพิษโดยตัวมันเอง แต่ทำให้เกิด "การดื้ออินซูลิน" เป็นต้นเหตุปัญหาทั้งหมดของโรคเรื้อรัง ทุกโรค ทำให้คุณไม่มีแรงหงุดหงิด หรือแม้แต่หน้ามืดเป็นลมถ้าไม่ได้กิน ตอนกินคุณอาจจะชื่นใจแต่แป๊บเดียวคุณก็หิวง่าย หิวเร็ว เหนื่อยง่าย กินเยอะแต่ ไม่มีแรง หัวตื้ออยู่ดี ไม่ใช่แค่อ้วนแต่เพิ่มการอักเสบ การเสื่อมในระดับเซลล์ของร่างกาย ทำให้คุณป่วยและตาย.. ในที่สุดอย่างแน่นอน เมื่อคุณอายุมากขึ้นโทโลเมียร์และการซ่อมแซมตัวเองของร่างกายอ่อนแอลง
โพสมาเล่าประสบการณ์เฉยๆ เพราะผมเริ่มเข้าใจ(ปนท้อ)ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากได้ข้อมูลวิทยาศาสตร์จริงๆ ข้อมูลวิทยาศาสตร์มีเยอะแยะ(แต่เข้าใจยาก และส่วนมากถูกบิดเบือนเพื่อขายสินค้าสุขภาพ) และเมื่อคุณไม่พร้อมเปลี่ยนตัวเองคุณจะต่อต้านข้อมูลเหล่านั้น คนที่ป่วยเป็น NCDs เท่าที่ผมเจอทั้งตอนผมป่วย แม่ป่วย ครอบครัวป่วย 90% เป็นแบบนั้นครับคือต่อต้าน ไม่อยากเปลี่ยนตัวเอง อยากจะหาหมอกินยาผ่าตัดแล้วหายเลย แล้วเชื่อว่าที่ป่วยเพราะดวง เกิดมาอ่อนแอ หรือเพราะบุญกรรม
ข่าวร้ายคือการแพทย์ทุกวันนี้ทำได้แค่ยื้อชีวิตคุณ ทำให้คุณภาพชีวิตคุณดีขึ้นได้ แต่รักษาให้หายขาดไม่ได้ และจะสูบเงินคุณหมดตัว เป็นหนี้เป็นสินได้ง่ายๆ
ข่าวดีคือการมีสุขภาพดีมันง่าย ไม่ต้องกินและไม่ต้อง ซื้อ อาหารเสริมหรือยา
- งดหรือลดกินน้ำตาลทั้งหลาย น้ำตาลเทียมก็ห้าม เพราะน้ำตาลเทียมทำให้คุณยิ่งอยากกินหวาน และไม่ช่วยการ "ดื้ออินซูลิน"
- งดกิน ทรานส์แฟต, ฟรุตโตสคอร์นไซรัพ, ผงชูรส (อันนี้ไปศึกษาเพิ่มเติมนะครับ)
- กินแป้งมีกากใยย่อยช้า ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด ไม่กินแป้งขัดขาวอย่างขนมปังนุ่มๆ ข้าวหอมมะลิ ขนมทั้งหลาย
- กินโปรตีนที่ย่อยง่ายๆ ปริมาณเหมาะสม ไม่เยอะไม่น้อยเกินไป ไข่ ไก่ ปลา โดยเฉพาะไข่นี่อย่ากลัวเลย
- กินผัก ผลไม้ไม่หวาน เยอะๆ
- ดื่มน้ำเยอะๆ
- ออกกำลังอย่างน้อยวันละครึ่ง ชม. อย่างน้อยเดินให้ต่อเนื่องให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
- นอนหลับให้พอ นอนหัวค่ำ ตื่นเช้าได้ยิ่งดี ถ้าทำงานเป็นกะนอนให้เป็นเวลา แต่นอนเวลาปกติได้จะดีเพราะมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเพื่อซ่อมแซมร่างกาย
*สำหรับคนอายุเกิน 30 ถ้าไม่ได้ผอมมากเกินไป ไม่ต้อง บำรุง ครับ การบำรุงร่างกายที่ดีที่สุดคือให้ร่างกายได้ อด บ้าง หรือ fasting อันนี้ดีจริงๆครับลองกับตัวเองแล้ว (หาข้อมูลเพิ่มนะครับ)
มันตลกสื่อ โฆษณาชอบให้คนแก่กลัวไข่ แต่เชียร์ให้กินนม น้ำส้ม ชาเขียว เครื่องดื่มสำหรับคนเป็นเบาหวาน แต่ดัน หวาน... คำถามคือจะดื่มทำไมครับ ไม่ดื่มได้ หรือดื่มแต่น้ำเปล่าได้จะดีที่สุด ไม่ต้องกลัวกระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม ไม่เคยเห็นคนแก่สมัยนี้เป็นโรคขาดสารอาหาร กลัวอ้วน กลัวน้ำหนักเกิน กลัวความดันขึ้นดีกว่าไหม อันนี้ผมขอชนแรงๆกับสื่อโฆษณาทั้งหลาย ที่ซื้อ Ads ยิงตรงถึงเฟสบุ๊คคุณ พิมพ์อยู่เนี่ยเหนื่อยฟรีไม่ได้อะไร แต่ทนเห็นคนเป็นเบาหวานเอาของหวานๆ น้ำตาลแท้ น้ำตาลเทียม ของพลังงานสูงเข้าตัวโดยไม่จำเป็นแล้วคิดว่าเป็นยาวิเศษ ยาบำรุงนี่เจ็บปวดครับ
อีกเรื่องสนใจสุขภาพ อย่าสนใจกินยาเพื่อผลเลือดที่ดีให้มากครับ ยาลดน้ำตาลกวาดน้ำตาลในเลือดหมดไปจริง แต่ไปสะสมที่ตับ และเนื้อเยื่อทั่วร่างกายคุณ ทางที่ดีที่สุดคืออย่ากินน้ำตาลตั้งแต่ต้น กินอาหารที่ย่อยช้าๆ และออกกำลังกายเพื่อลดการสะสมไขมัน
ผลเลือดสะท้อนร่างกายคุณ เหมือนเข็มไมล์รถ แต่รถคุณกำลังพังคุณพยายามเอามือไปปรับเข็ม แต่ไม่ซ่อมเครื่องยนต์รถคุณก็ยังพังได้ทุกเวลา แม้ผลเลือด หรือเข็มไมล์คุณจะดีเพียงไร
สนใจสุขภาพ อาหาร ความแข็งแรง การออกกำลัง การพักผ่อนครับ
ความคิดเห็นที่ 24
ขออนุญาตแชร์ ปสก. อดีตเคยติดโค้ก ซีโร่
ของเราดื่มวันละ 1.5-2 ลิตร ไม่ทานน้ำเปล่าเลย
สาเหตุของการติดโค้กของเราคือ
1) มีความเชื่อว่าโค้กซีโร่ ไม่อ้วน
2) เราติดทานน้ำเย็น โค้กต้องใส่น้ำแข็งเท่านั้น
3) เราชอบฟังเสียงน้ำแข็งกระทบโค้ก เสียงมันจะนุ่มกว่าน้ำแข็งกับน้ำเปล่า
4) อาชีพเรา เจอแดด ความร้อน และความเครียดเป็นประจำ ความสุขทางใจเราคือทานน้ำเย็นชื่นใจ ซาบซ่า 5555
ราวๆ นี้ค่ะ ทำให้วันๆ นึงเราดื่มโคเกเยอะมากๆๆๆ แม้กระทั่งก่อนนอน
แน่นอนค่ะ แม่เราบ่น พ่อเราบ่น น้องสาว ลูก หลัวเราก็บ่น ทุกวัน ทุกครั้งที่เห็นเรารินโค้กใส่แก้วเยติ ด้วยปริมาณที่มากเกินไป
แต่ะเราก็ไม่แคร์ เดินทางทานไปเรื่อยๆ
น้ำหนักเพิ่ม แสบท้อง หลังๆ เริ่มทานก่อนนอนไม่ได้แล้ว เสียดท้อง ปวดท้องเหมือนแก๊สในกะเพาะเยอะ
หักดิบ เลิก เลิกง่ายๆ แค่รำคาญอาการเสียดท้อง เลิกแบบทุกคนดีใจ
แต่สิ่งที่เราเจอหลังจากการเลิกแบบหักดิบนี้ทรมานมากกกกกกกกกกกก
เรากลายเป็นคนหลับทั้งกลางวัน และหลับกลางคืนยาวมาก
ตื่นเช้ามาส่งลูกถึง รร. นอนหลับบนรถอยู่ที่ รร.ลูกประมาณครึ่ง ชม.
ออกจาก รร.ลูก ขับรถไปได้ 15 นาที ง่วงอีกแล้ว จอดรถหลับข้างถนนอีก 1 ชม.
ตื่นมาขับต่อจนถึงที่ทำงาน นอนต่อบนรถอีกค่ะ นอนอีกครึ่ง ชม.
เที่ยงเรารีบนอนก่อนช่วงพัก บ่าย 3 เราก็แอบไปงีบหลับห้องเก็บของบ้าง บนรถบ้าง รีบกลับบ้านมานอนต่อบ้าง
เป็นอย่างนี้อยู่เกือบ 2 สัปดาห์ อาการดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ
ปัจจุบันเราเข็ดขยาดมาก เพราะกว่าร่างกายเราจะเหมือนเดิมนี้คือ ทรมานสุดๆ เลยที่ง่วงตลอดเวลา
จริงๆ ถ้าคุณ จขกท.อยากให้เลิกทาน แนะนำว่าอย่าให้เลิกค่ะ
ให้ค่อยๆ ลดลงจะดีกว่านะคะ
ของเราดื่มวันละ 1.5-2 ลิตร ไม่ทานน้ำเปล่าเลย
สาเหตุของการติดโค้กของเราคือ
1) มีความเชื่อว่าโค้กซีโร่ ไม่อ้วน
2) เราติดทานน้ำเย็น โค้กต้องใส่น้ำแข็งเท่านั้น
3) เราชอบฟังเสียงน้ำแข็งกระทบโค้ก เสียงมันจะนุ่มกว่าน้ำแข็งกับน้ำเปล่า
4) อาชีพเรา เจอแดด ความร้อน และความเครียดเป็นประจำ ความสุขทางใจเราคือทานน้ำเย็นชื่นใจ ซาบซ่า 5555
ราวๆ นี้ค่ะ ทำให้วันๆ นึงเราดื่มโคเกเยอะมากๆๆๆ แม้กระทั่งก่อนนอน
แน่นอนค่ะ แม่เราบ่น พ่อเราบ่น น้องสาว ลูก หลัวเราก็บ่น ทุกวัน ทุกครั้งที่เห็นเรารินโค้กใส่แก้วเยติ ด้วยปริมาณที่มากเกินไป
แต่ะเราก็ไม่แคร์ เดินทางทานไปเรื่อยๆ
น้ำหนักเพิ่ม แสบท้อง หลังๆ เริ่มทานก่อนนอนไม่ได้แล้ว เสียดท้อง ปวดท้องเหมือนแก๊สในกะเพาะเยอะ
หักดิบ เลิก เลิกง่ายๆ แค่รำคาญอาการเสียดท้อง เลิกแบบทุกคนดีใจ
แต่สิ่งที่เราเจอหลังจากการเลิกแบบหักดิบนี้ทรมานมากกกกกกกกกกกก
เรากลายเป็นคนหลับทั้งกลางวัน และหลับกลางคืนยาวมาก
ตื่นเช้ามาส่งลูกถึง รร. นอนหลับบนรถอยู่ที่ รร.ลูกประมาณครึ่ง ชม.
ออกจาก รร.ลูก ขับรถไปได้ 15 นาที ง่วงอีกแล้ว จอดรถหลับข้างถนนอีก 1 ชม.
ตื่นมาขับต่อจนถึงที่ทำงาน นอนต่อบนรถอีกค่ะ นอนอีกครึ่ง ชม.
เที่ยงเรารีบนอนก่อนช่วงพัก บ่าย 3 เราก็แอบไปงีบหลับห้องเก็บของบ้าง บนรถบ้าง รีบกลับบ้านมานอนต่อบ้าง
เป็นอย่างนี้อยู่เกือบ 2 สัปดาห์ อาการดีขึ้นเรื่อยๆ นะคะ
ปัจจุบันเราเข็ดขยาดมาก เพราะกว่าร่างกายเราจะเหมือนเดิมนี้คือ ทรมานสุดๆ เลยที่ง่วงตลอดเวลา
จริงๆ ถ้าคุณ จขกท.อยากให้เลิกทาน แนะนำว่าอย่าให้เลิกค่ะ
ให้ค่อยๆ ลดลงจะดีกว่านะคะ
แสดงความคิดเห็น
แม่ติดโค้กติดเป๊ปซี่หนักมาก เหมือนยาเสพติด ช่วยด้วย
แอบซื้อตลอดทั้งๆที่พูดกับสอนให้ฟังทุกวันว่ามันไม่ดีต่อสุขภาพยังไง
เคยนั่งคุยกันหลายรอบแล้วจริงๆ ไม่เวิร์ค แม่บอกเข้าใจแล้วว่าไม่ดียังไง แล้วก็กลับไปกินต่ออยู่ดี วนไปเป็นอย่างนั้น
ปกติก็แอบเอาโค้กของแม่ไปทิ้ง แบบไม่ไห้รู้ เพราะทุกครั้งที่ขู่จะเอาไปทิ้งแม่จะโกรธตลอด
แต่วันนี้แอบเอาโค้กไปทิ้ง แล้วแม่เห็นพอดี
แล้วแม่อันธพาล โยนข้าวของ ฉีกใบต้นกล้วยมาฟาดของทุกอย่าง ฟาดพื้นหน้าบ้าน
โยนไม้กวาดใส่ลูกตัวเอง ถีบต้นกล้วย เตะและเขวี้ยงข้าวของ
แล้วขู่ว่าจะขับรถออกไปกินโค้กเอง 2 ลิตร
เกิดมาอยู่กับแม่มา20ปีไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน
ตะโกนคำหยาบทั้งๆที่ไม่เคยพูดกับลูกมาก่อน ขู่จะชกคนในบ้าน อายุตั้งแต่ 12 ถึง 20
ต้องการความช่วยเหลือด่วน มีใครแนะนำได้บ้าง
มีหมอจิตเวชแบบมาหาที่บ้านเลยมั้ย ช่วยเปลี่ยนนิสัย
อยากให้คนอื่นพูด อยากให้ฟังแล้วทำสิ่งที่ดีต่อสุขภาพตัวเองขึ้น