ตอนนี้มีปัญหาความสัมพันธ์ที่ยากจะตัดสินใจ
ดิฉันเป็นสาวออฟฟิศที่ตกลงแต่งงานกับหนุ่มออฟฟิศ เรากำลังเตรียมงานกันขะมักเขม้น เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดที่เราทำได้ภายใน 4 เดือน
แต่เมื่อวานเราก็ทะเลาะกัน เพราะค่าใช้จ่ายของสินสอดและการจัดงานกำลังบานปลายจากมูลค่าทองที่เพิ่มขึ้น ทำให้แฟนเครียดมาก
โดยตอนนี้งบประมาณที่เราเตรียมเกิดจากแฟนและดิฉันคนละครึ่งค่ะ ต่างคนก็ต่างหงุดหงิดที่จะต้องหาและเก็บให้เพิ่มขึ้น จนแฟนพลั้งปากพูดกับดิฉันว่า "เธอไม่มีสิทธิ์หงุดหงิดนะ เพราะฉันเป็นคนหาตังค์"
ดิฉันรู้สึกโกรธมาก มันเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาความช่วยเหลือของเราไม่มีค่าเลยสักนิด
เราคบกันมา 4 ปี ดิฉันอ้อนวอนให้เค้ามาหาในจุดที่ใกล้บ้านดิฉันหรือมาส่งที่บ้านนับครั้งได้ นอกนั้นเราจะนัดเจอกันในจุดที่เจอกันครึ่งทางบ้าง ดิฉันขับรถไปหาเค้าเองบ้าง
เวลาไปกินข้าวช่วงแรกๆของการคบกันแฟนเป็นคนจ่ายตลอดค่ะ หลังๆเมื่อรู้สึกว่าเราจะจริงจังกันดิฉันก็เป็นคนจ่ายเสมอ เพราะคิดว่าเค้าต้องเก็บหอมรอมริบ เพื่อเป็นสินสอด และไหนจะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงกว่าดิฉันมาก เพราะเค้าอาศัยอยู่กับน้องชายเพียงลำพัง ส่วนดิฉันยังอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่
ของขวัญล่าสุดที่ดิฉันได้จากแฟนคือเมื่อ 2 ปีก่อน และดิฉันก็ไม่เคยทวงถามหาอีก เพราะเหตุเช่นเดียวกัน คือ อยากให้เค้าเก็บหอมรอมริบเป็นเงินสินสอด ในขณะที่ดิฉันสัญญาว่าจะซื้อโมเดลตัวที่เค้าชอบที่ออกใหม่ทุกปีให้ครบเซ็ต 12 ตัว ตัวนึง 3,000-5,000 บาท
และโมเดลนี้ก็เคยเป็นปัญหาในการทะเลาะกันมาแล้วครั้งนึง เพราะดิฉันรู้สึกว่าเค้าซื้อเยอะเกินไป จนมันเดือดร้อนเงินเก็บ และพลั้งปากพูดออกไปว่าความพยายามในการซื้อรถ ซื้อคอนโดของเค้า ดิฉันไม่ต้องการ (ดิฉันก็ซื้อบ้านเป็นของตัวเองเหมือนกัน เพราะคิดว่าลูกผู้หญิงควรมีทรัพย์สมบัติรองรับความเสี่ยง ทำให้เค้าต้องก่อหนี้มีรถและคอนโด เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันไม่มองว่าเค้ามาเกาะลูกสาวท่าน) ทำให้เกิดปมบาดแผลในใจของเค้าค่ะ ดิฉันรู้สึกผิดมากค่ะ เพราะเค้าพูดให้ดิฉันรู้สึกเสมอว่าตั้งแต่เราคบกัน แฟนก็ใช้ชีวิตลำบากขึ้น ไหนจะผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เก็บเงิน
ตอนนี้ถ้าถามว่ายังอยากเดินต่อกับแฟนคนนี้ไหม ดิฉันก็ยังเอนเอียงว่ายังอยากเดินต่อค่ะ เพราะเราก็ต่างยอมรับข้อเสียของกันและกันได้อย่างดี สิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันเปลี่ยนใจถอยความสัมพันธ์ครั้งนี้คือ "แฟนยังรักดิฉันอยู่หรือเปล่า"
เรายังรักกันอยู่ไหม
ดิฉันเป็นสาวออฟฟิศที่ตกลงแต่งงานกับหนุ่มออฟฟิศ เรากำลังเตรียมงานกันขะมักเขม้น เพื่อให้งานออกมาดีที่สุดที่เราทำได้ภายใน 4 เดือน
แต่เมื่อวานเราก็ทะเลาะกัน เพราะค่าใช้จ่ายของสินสอดและการจัดงานกำลังบานปลายจากมูลค่าทองที่เพิ่มขึ้น ทำให้แฟนเครียดมาก
โดยตอนนี้งบประมาณที่เราเตรียมเกิดจากแฟนและดิฉันคนละครึ่งค่ะ ต่างคนก็ต่างหงุดหงิดที่จะต้องหาและเก็บให้เพิ่มขึ้น จนแฟนพลั้งปากพูดกับดิฉันว่า "เธอไม่มีสิทธิ์หงุดหงิดนะ เพราะฉันเป็นคนหาตังค์"
ดิฉันรู้สึกโกรธมาก มันเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมาความช่วยเหลือของเราไม่มีค่าเลยสักนิด
เราคบกันมา 4 ปี ดิฉันอ้อนวอนให้เค้ามาหาในจุดที่ใกล้บ้านดิฉันหรือมาส่งที่บ้านนับครั้งได้ นอกนั้นเราจะนัดเจอกันในจุดที่เจอกันครึ่งทางบ้าง ดิฉันขับรถไปหาเค้าเองบ้าง
เวลาไปกินข้าวช่วงแรกๆของการคบกันแฟนเป็นคนจ่ายตลอดค่ะ หลังๆเมื่อรู้สึกว่าเราจะจริงจังกันดิฉันก็เป็นคนจ่ายเสมอ เพราะคิดว่าเค้าต้องเก็บหอมรอมริบ เพื่อเป็นสินสอด และไหนจะมีค่าใช้จ่ายรายเดือนที่สูงกว่าดิฉันมาก เพราะเค้าอาศัยอยู่กับน้องชายเพียงลำพัง ส่วนดิฉันยังอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่
ของขวัญล่าสุดที่ดิฉันได้จากแฟนคือเมื่อ 2 ปีก่อน และดิฉันก็ไม่เคยทวงถามหาอีก เพราะเหตุเช่นเดียวกัน คือ อยากให้เค้าเก็บหอมรอมริบเป็นเงินสินสอด ในขณะที่ดิฉันสัญญาว่าจะซื้อโมเดลตัวที่เค้าชอบที่ออกใหม่ทุกปีให้ครบเซ็ต 12 ตัว ตัวนึง 3,000-5,000 บาท
และโมเดลนี้ก็เคยเป็นปัญหาในการทะเลาะกันมาแล้วครั้งนึง เพราะดิฉันรู้สึกว่าเค้าซื้อเยอะเกินไป จนมันเดือดร้อนเงินเก็บ และพลั้งปากพูดออกไปว่าความพยายามในการซื้อรถ ซื้อคอนโดของเค้า ดิฉันไม่ต้องการ (ดิฉันก็ซื้อบ้านเป็นของตัวเองเหมือนกัน เพราะคิดว่าลูกผู้หญิงควรมีทรัพย์สมบัติรองรับความเสี่ยง ทำให้เค้าต้องก่อหนี้มีรถและคอนโด เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันไม่มองว่าเค้ามาเกาะลูกสาวท่าน) ทำให้เกิดปมบาดแผลในใจของเค้าค่ะ ดิฉันรู้สึกผิดมากค่ะ เพราะเค้าพูดให้ดิฉันรู้สึกเสมอว่าตั้งแต่เราคบกัน แฟนก็ใช้ชีวิตลำบากขึ้น ไหนจะผ่อนรถ ผ่อนบ้าน เก็บเงิน
ตอนนี้ถ้าถามว่ายังอยากเดินต่อกับแฟนคนนี้ไหม ดิฉันก็ยังเอนเอียงว่ายังอยากเดินต่อค่ะ เพราะเราก็ต่างยอมรับข้อเสียของกันและกันได้อย่างดี สิ่งเดียวที่จะทำให้ฉันเปลี่ยนใจถอยความสัมพันธ์ครั้งนี้คือ "แฟนยังรักดิฉันอยู่หรือเปล่า"