🔪👁🔪 THE GLOVES 2020 ถุงมือเรื่องสั้น # 11 สัปดาห์ที่ 5 : 27-31 กรกฎาคม "รอวันประหาร" โดย ถุงมือเพชรฆาต 🔪👁🔪

กระทู้คำถาม
ถุงมือเรื่องสั้น เรื่องที่สอง ประจำวีคนี้ครับ ^^

เป็นเรื่องราวของ ผู้ซึ่งเกิดมา เพื่อถูกประหารโดยแท้ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้

และการประหารนั้น ก็มีหลายวิธีเสียด้วย!

ทำไม จึงเกิดมา เพื่อถูกประหาร ???

วิธีการการประหารเหล่านั้น จะโหดขนาดไหน ???

และ ผู้ซึ่งรอการประหารนั้น จะเอาตัวรอด ได้ หรือไม่ ???

ตามมาดูกันครับ ^^ อมยิ้ม36เจสัน

                     ทามาร่า แซมโซโนว่า (Tamara Samsonova) คุณป้าสุดโหดมหาภัยแห่งรัสเซีย วัย 68 ปี ได้ฆาตกรรมโหด กับเหยื่อถึง 14 ราย ซ้ำร้ายหลังจากเธอฆ่าเหยื่อเสร็จ เธอยังกินเนื้อของพวกเขาไปด้วย  และเธอได้บันทึกการกระทำของเธอไว้ในสมุดบันทึก ซ้ำร้ายเข้าไปอีก คือเธอได้ฆาตกรรมเพื่อนของเธอ วาเลนติน่า อูลาโนว่า โดยวิธีการวางยานอนหลับ หลังจากนั้นใช้เลื่อยหั่นคอ หั่นแขนและขา  ออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งที่เพื่อนของเธอยังมีลมหายใจมีชีวิต
        
                     นั่นเป็นรายงานข่าวจากรายการโทรทัศน์ หรือวิทยุผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมได้ยินเสียงมันมาจากโทรศัพท์มือถือของชายคนหนึ่งภายในอาคารแห่งนี้ เพียงไม่กี่นาทีเขาก็เดินจากไป ทำให้ผมไม่ได้ฟังต่อจนจบ เลยไม่รู้ว่าตกลงคุณป้ามหาภัยจอมโหด ทามาร่า เธอกินเนื้อของเหยื่อจริง ๆ เหรอ แล้วกินยังไง เอามา ต้มยำทำแกง หรือ ผัดกะเพราเพื่อดับกลิ่นคาวมนุษย์ด้วยกันหรือเปล่า  

                     จะว่าไปแล้ว ผมนี่ช่างไม่สำเหนียกตัวเองเอาเสียเลย ยังมีอารมณ์ขันกับเรื่องแบบนี้อยู่ได้ ทั้ง ๆ ที่ในเวลานี้ ผมก็ตกอยู่ในฐานะเหยื่อ ที่รอวันประหาร เช่นกัน

                     ผมและเพื่อน ๆ ถูกจับมารอวันประหาร ใช่ครับ...ไม่ผิดหรอกครับ รอวันประหาร จริง ๆ เพราะพวกผมทั้งสามสิบชีวิต ไม่มีโอกาสรอดแน่นอน  ถูกจับมานับวันนี้ก็สองสัปดาห์แล้วครับ เพื่อนของผมถูกประหารชีวิต เกือบจะทุกวัน  บางวันก็จับไป หนึ่ง บางวันก็จับไป สามสี่ชีวิตในคราวเดียว
    
                      ผมว่าพวกเขา ป่าเถื่อน โหดร้าย ไร้ความปราณี มากเลยครับ ก็พวกเขาฆ่าเพื่อนผม ให้ผมเห็นต่อหน้าต่อตา  ผมนี่แทบจะบ้าตาย มีใครที่ไหนทนเห็นเพื่อนตัวเองโดนฆ่าต่อหน้าได้ลงคอได้บ้างครับ คล้ายเชือดไก่ให้ลิงดู ยังไงยังงั้น

                      กรรมวิธีในการประหารชีวิต ผมกับเพื่อน ๆ มีหลายรูปแบบมากเลยครับ ผมก็ไม่ทราบว่าพวกเขาเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่า เพื่อนของผมคนไหนสมควรโดนประหารชีวิตแบบไหน หรือว่าแล้วแต่อารมณ์ของพวกเขาในแต่ละวัน ถ้าใช่นี่มันยิ่งกว่า คุณป้ามหาภัยจอมโหดเสียอีก แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนมันก็น่าหวาดกลัวสำหรับผมอยู่ดี 

                      อยากรู้ไหมครับว่าพวกเขาประหารชีวิตเพื่อน ๆ ของผมยังไง  ผมจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้

                      ครั้งแรกที่ผมกับเพื่อนถูกจับมารวมกันอยู่ที่นี่ ผมเห็นเพื่อนผมทั้งสาม สงสัยจะทำผิดเหมือนกัน หรือไม่ก็ซวยพร้อมกัน เขาเอาเพื่อนผมทั้งสามจับโยนไปในบ่อน้ำร้อนเดือดปุด ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว  เพื่อนของผมไม่มีโอกาสตะเกียกตะกายหนีได้ ต่อให้ขอบบ่อตื้นเขินจนก้าวข้ามออกมาได้ เพื่อน ๆ ผมก็หนีไม่รอด คิดดูสิครับว่ามันจะปวดแสบปวดร้อนทรมานขนาดไหน ผมยังจำเสียงร้องโหยหวนทุรนทุรายของเพื่อนผมตอนร้องขอชีวิตได้ไม่มีวันลืม  ถ้าใครอยากรู้ก็ลองต้มน้ำร้อนสักกา แล้วเอามาราดตัวเองดูก็ได้ เผื่อจะนึกภาพออก (ผมล้อเล่นนะครับ อย่าทำจริง ๆ ล่ะ เดี๋ยวผมจะบาป)

                      ยังครับ ยังไม่จบแค่นี้ อีกสิบนาทีต่อมาเมื่อพวกเขามั่นใจว่าเพื่อนของผมตายแล้ว พวกเขาก็เอาร่างเพื่อนผมขึ้นมาในสภาพผิวหนังแตกเหวอะหวะเละเทะ  

                      ยังครับ พวกเขายังบ้า ซาดิสต์ วิปริตไม่พอ จัดการค่อย ๆ บรรจงถลกหนังของเพื่อนผมทั้งสามออกไปจนหมดชนิดที่ว่าไม่ให้เหลือติดเนื้อ  ตอนนี้เพื่อนผมมีสภาพแย่ยิ่งกว่า ปลาตายที่ถูกขอดเกล็ดเสียอีกครับ ไม่มีแม้ผิวหนังห่อหุ้มร่างกาย  พวกเขานำศพเพื่อนผมทั้งสามออกจากห้องนี้ไป  หลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาศพเพื่อนผมไปทิ้งที่ไหน หรือทำอะไรต่อไป ผมไม่รู้แล้วครับ มืดแปดด้านจริง ๆ แต่เอ๊ะ หรือว่าพวกเขาจะกระทำการอันน่าสะอิดสะเอียนเหมือนคุณป้ามหาภัยจอมโหด คือ เอาเพื่อนผมไปกิน

                       อีกไม่กี่วันต่อมา มีชายแก่ร่างยักษ์หน้าตาโหดร้ายคนหนึ่งก็มาจับเอาเพื่อนผมไป ในขณะที่พวกผมกำลังนอนหลับ ชายแก่ร่างยักษ์ ไม่รู้โผล่พรวดมาจากไหน เดินเข้ามาเปิดไฟสว่างจ้า ตรงดิ่งมาหาพวกผม เท่านั้นแหละพวกผมก็รู้เลยว่าใครคนใดคนหนึ่งต้องถูกประหารชีวิต  ชายแก่ร่างยักษ์เขาทำกับเพื่อนผม แบบว่า...แบบว่า...การกระทำของเขามันทำให้ผมจุกพูดไม่ออก
  
                       ชายแก่ร่างยักษ์จับเพื่อนผมไป แล้วก็จัดการจับเพื่อนผมห้อยหัวทุ่มลงพื้น ด้วยความที่เอาส่วนหัวลงไปก่อน  และกำลังมากมายของชายร่างยักษ์รูปร่างกำยำบึกบึน ทำให้ส่วนหัวของเพื่อนผมแตกทันทีเพียงครั้งเดียวโดยไม่ต้องซ้ำ  วินาทีแห่งความสยดสยองพองขนก็เริ่มขึ้น ชายร่างยักษ์ใช้สองมือของเขา พยายามง้าง แงะ ฉีกปากแผลของเพื่อนผมให้กว้างขึ้น เพื่อให้สองมือสอดเข้าไปในรอยแยก แล้วรีบถลกหนังเพื่อนผมตั้งแต่หัวจดเท้าทิ้งเหลือเพียงร่างกายเปลือยเปล่าอย่างรวดเร็ว ด้วยความดูชำนิชำนาญ  ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัวหวาดกลัวยิ่งกว่าเห็นผี   ทำไมการกระทำของเขามันดูง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก ผมไม่อยากจะเชื่อเลยให้ตายสิ….ในขณะที่เขาทำร้ายเพื่อนผม ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้ม แววตามีความสุข ฮัมเพลง ตามไปด้วยเบา ๆ กับเสียงเพลงในวิทยุธานินทร์ที่เขาถือติดมือมาวางไว้ใกล้ ๆ ให้ตายสิหัวใจเขาทำไปด้วยอะไรกันนะ .....แล้วเขาเหลือบมามองผมกับเพื่อนอีกไม่กี่ชีวิต เหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง มองหน้าผมแล้วคุยกับผมว่า
        
                      “พวกแก รู้จักเพลงนี้ไหม เป็นเพลงโปรดของฉันเลยนะ  ชื่อเพลง Have you ever seen the rain ไง มันดังมากเลยนะ ช่วงปี 1970 พวกแกคงจะยังไม่เกิด” ชายแก่หัวเราะออกมา ร่าเริงชอบอกชอบใจ นั่นเลยทำให้ผมรู้จักเพลงนี้ แต่พวกผมไม่มีอารณ์สุนทรีด้วยหรอกครับใน เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ใครจะมาร้องเพลงได้ ยกเว้นผู้ชายคนนี้คนเดียวเท่านั้นแหละครับ เพราะเขาเป็นคนโรคจิต  ผมคิดว่านะ
    
                       และชั่วอึดใจไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ย่างสามขุมมาจับเพื่อนผมไปอีก ทำเช่นเดียวกัน  อย่างใจเย็นและเหี้ยมโหด เขาเอาเพื่อนผมไปกองรวมกัน ราวกับอยากจะหลอมให้เพื่อนผมทั้งคู่กลายเป็นหนึ่งเดียว เอาอาวุธเหล็กแหลม เป็นแง่ง สามสี่แง่ง มาเสียบแทงเพื่อนผมให้ตายซ้ำตายซ้อน ที่ผมพูดแบบนี้เพราะผมรู้ว่า เพื่อนผมตายตั้งแต่โดนทุบทำร้ายแล้วครับ ผมไม่รู้ว่า ชายแก่ร่างยักษ์ทำไปเพื่ออะไร  แล้วเหมือนเดิมครับ หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นว่าชายคนนั้นเอาร่างเพื่อนของผมไปทำลายหลักฐานยังไง ผมรู้แต่ว่าร่างไร้วิญญานเพื่อนผมถูกพาออกไปทางด้านหลังตัวอาคาร

                       ดูเหมือนว่าพวกผมจะใจร้าย  ปล่อยเพื่อนตายต่อหน้าต่อตาแล้วยังนิ่งเฉยไม่ยอมช่วยเหลือ ผมพูดได้แค่ว่า พวกผมอยู่ในสภาพรอวันประหารจริง ๆ ครับ ช่วยเหลือใครไม่ได้ แม้แต่ตัวเองก็ยังจะเอาไม่รอด แล้วจะให้ไปช่วยใครได้ล่ะครับ ต่อให้พระเจ้าประทานปีกลงมาให้ พวกผมก็บินหนีไปไหนไม่ได้  เวลานี้ทำได้แค่สวดภาวนา ใครจะโชคดียืดอายุตัวเองเป็นชีวิตสุดท้ายต่างหาก

                        เวลานี้ผมกับเพื่อนอีกสอง เฝ้ารอคอยความตาย ที่กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกขณะจนน่าอึดอัด อยากจะ อัตวินิบาตกรรมตัวเองเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป ถ้าทำได้นะครับ มันทำให้ผมออกจะสับสน ว่าระหว่าง ตายไว กับ ตายช้า อย่างไหนจะดีกว่ากันนะ ถ้าสุดท้ายแล้วผมต้องตายอยู่ดี

                        ยังมีวิธีประหารชีวิต อยู่วิธีหนึ่ง เป็นการตายปริศนา ซึ่งผมไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้เลย ก็เพราะว่า พวกเขามาจับเพื่อนผมออกไปทางด้านหลังตัวอาคารทันทีไงล่ะครับ ผมชักสงสัยแล้วสิว่า วิธีการประหารชนิดนี้มันเป็นยังไง ทำไมพวกเขาถึงปิดบัง หรือเกิดใจดีไม่อยากให้พวกผมเห็นการฆาตกรรมอันน่าหวาดเสียว ของพวกเขากันแน่นะ แต่ที่ชัวร์ ๆ คือ เพื่อนผมไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมาหาผม
  
                        “ตอนนี้เราเหลือกันแค่สาม นายว่าพวกเขาจะฆาตกรรมหมู่กับพวกเราไหม”  เพื่อนของผมหนึ่งในสองถามขึ้นทำลายความเงียบในช่วงบ่าย

                        “ปากสุนัขแต่วันเลยนะแก” ผมหันไปด่าเพื่อนผมด้วยสายตาและคำพูด

                        “ทำไมล่ะ จนป่านนี้นายยังทำใจยอมรับความตายไม่ได้อีกเหรอ” เพื่อนผมอีกคนพูดประชด

                        “เออ....เออ...” ผมพูดไม่ออก ตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ นั่นสิทำไมผมถึงทำใจยอมรับความตายไม่ได้เสียที

                        “ก่อนตาย นายก็ภาวนาขอตายด้วยวิธีการที่นายข้องใจเสียสิ เผื่อเทวดาบนสวรรค์จะได้ยิน โปรดประทานพรข้อนี้ให้นาย เห็นถามอยู่ได้ทุกวัน ว่าเพื่อนที่จู่ ๆ ก็ถูกลากไปหลังอาคารจะตายยังไงและจะทรมานไหม” เพื่อนผมพูดประชด หัวเราะใส่หน้าผม แต่ผมว่ามันออกจะปอดแหกกว่าผมเสียอีก ก็ผมเห็นมันเอาแต่สวดภาวนาทุก ๆ วัน ขอเป็นรายสุดท้ายที่ถูกประหาร หรือไม่ก็ขอมันมีวิชาอาคมหายตัวได้มันจะได้หายไปจากที่นี่เสียที คิดดูสิครับ ใครกันแน่ที่กลัวความตาย

                      และแล้ว สวรรค์มีตา ฟ้าก็ประทานพรทุกคำพูดทั้งหมดมาให้ผมและเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกัน เมื่อชายร่างยักษ์คนเดิม เข้ามาหาพวกผมอย่างอาจหาญจับพวกผมทั้งสามไปทางด้านหลังอาคาร

                     “ไงล่ะแก  สมพรปากแกหรือยังล่ะทีนี้” ผมเป็นฝ่ายประชดเพื่อน ที่มัวแต่กลัวลนลานจนทำอะไรไม่ถูก

                     “พวกเรา หนีกันเถอะ ” เพื่อนผมที่วัน ๆ เอาแต่สวดภาวนาพูดขึ้น มันคงจะกลัวตายจริง ๆ ก็มันพูดไปปากสั่นไปฟังแทบไม่ได้ศัพท์ พวกผมหันไปมองมันเป็นตาเดียว

                     “ หนีเนี่ยนะ...นายสวดภาวนาขอให้โดนฆ่ารายสุดท้ายง่ายกว่าไหม” ผมได้โอกาสประชดมันกลับไป ขณะพวกผมถูกวางลงกองรวมกัน

                     “นี่แก ไอ้ผู้ชายร่างยักษ์นั่น มันกำลังทำอะไรน่ะ แล้วที่มันถือนั่นอะไร” เพื่อนคนหนึ่งสะกิดถามผมเบา ๆ จ้องมองภาพตรงหน้าตาไม่กะพริบ

                     “น้ำมัน” ผมตอบกลับไปสั้น ๆ พูดแทบไม่ออก เสียงอยู่ในลำคอ  ความกลัวเข้ามาครอบงำพวกผมจนหมดสิ้น

                     “เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า...” เพื่อนผมคนใดคนหนึ่งไม่กล้าพูดต่อว่า.. อาจจะเอามาราดตัว แล้วเผาทั้งเป็น

                     “ไม่นะ ไม่..ไม่ใช่..อย่า...อย่า...ยัง..ยังไม่พร้อม”  

                     ไม่มีประโยชน์ ต่อให้เพื่อนผมตะโกนออกไปจนปากฉีก ชายแก่ร่างยักษ์ก็ไม่มีวันสนใจคำอ้อนวอนร้องขอชีวิตจากพวกผมหรอก

                     “ปล่อยเพื่อนผมนะครับ ได้โปรด ปล่อยพวกผมไปได้ไหมครับ ผมขอร้อง” ผมก้มกราบอ้อนวอนขอให้ชายแก่ร่างยักษ์ปล่อยเพื่อนของเขา แต่ไม่มีประโยชน์ ต่อให้ผมร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด เขาก็ไม่สนใจคำร้องขอ ของผมกับเพื่อนเลยสักนิด

                       เพื่อนผมถูกหิ้วไปแล้ว ชายแก่ร่างยักษ์จัดการจับร่างเพื่อนห้อยหัวแล้วทุ่มลงกระแทกกับพื้น กำลังมากมายของชายร่างยักษ์ ทำให้ส่วนหัวของเพื่อนผมแตกดังโพละ ต่อจากนั้นก็ใช้สองมือสอดเข้าไปในรอยแตก ถลกหนังให้หลุดแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว  ทันใดนั้นเอง วินาทีแห่งความน่าสะพรึงกลัวก็บังเกิด เพื่อนผมในร่างเปลือยเปล่าหล่นตุ๊บ! ลงไปในกองน้ำมันที่ชายร่างยักษ์เทใส่ไว้ในภาชนะอันใหญ่โต ด้านล่างมีเปลวไฟพวยพุ่งเร่งให้น้ำมันร้อนชนิดที่ว่า ถ้าใครเอามือลงไปแช่เพียงแต่เสี้ยววินาทีรับรองได้ว่า มือไหม้ พุพอง อาจจำเป็นต้องตัดมือข้างนั้นทิ้งไปเลยก็ได้ถ้าไม่อยากตายทั้งเป็น  แล้วคิดดูสิครับ เพื่อนผมทั้งตัว คุณคิดว่าจะเหลืออะไรอีกไหม                        
  
(ต่ออีกนิดครับ) ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่