คุณมีความฝันมั้ยครับ? ไม่.. ผมไม่ได้หมายถึงตอนคุณหลับนะ แต่ที่ผมจะสื่อคือ "จุดมุ่งหมายของชีวิต"
ผมเป็นเด็กผู้ชายที่มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติครับ แต่ปัญหาอันใหญ่หลวงของผมคือ ส่วนสูงที่ค่อนข้างจะต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยเอามากๆ อย่าว่าแต่ไปคัดตัวกับสโมสรเลยครับ เอาแค่เฉพาะฟุตซอลโกล์หนูในโรงเรียนยังไม่มีใครอยากให้ผมเล่น
"เอ็งมันตัวเล็ก อย่าเล่นเลยว่ะ ข้าไม่อยากทำเอ็งขาหัก"
"เอ็งยังจะเล่นอีกเหรอวะ เอ็งแย่งบอลใครเขาไม่ได้เลยนะ"
"อยากเป็นนักบอลเหรอวะ? โหนรถสองแถวให้ถึงก่อยมั้ย?"
นั่นคือคำพูดเจ็บแสบที่ผมได้ยินทุกครั้งเมื่อผมปราถนาจะขอเข้าร่วม ผมแสร้งทำเป็นยิ้ม ไม่รู้สึกอะไร และสุดท้ายก็ต้องเดินคอตกกลับบ้านเพียงลำพังอยู่ร่ำไป
ที่บ้านผมมีลูกบอลพลาสติกบุบๆ อยู่ลูกหนึ่ง เจ้านี่นี่แหละคือเพื่อนที่แสนดีที่สุด มันไม่เคยปฏิเสธความต้องการของผม ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันถูกเตะอัดกำแพงและถูกเดาะขึ้นไปบนอากาศ ถึงแม้ผมจะเพลิดเพลิน แต่ใจจริงผมก็อยากเล่นเป็นทีมกับเขาบ้างสักครั้ง
"อ้าว.. พีท กลับบ้านแล้วเหรอ?"
เสียงเรียบๆ ของพ่อเอ่ยทักทายเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน
ผมอาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพังสองคน เนื่องจากแม่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน พ่อนี่แหละคือคนที่ทำให้ผมรู้จักกับฟุตบอล เขาทำให้ผมหลงใหลมันแม้สรีระจะไม่อำนวยให้เล่นมันได้สะดวกเลยก็ตาม
"เพื่อนไม่ให้ผมเล่นด้วยอีกแล้ว"
ผมพูดพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะหันไปหวดลูกบอลใส่กำแพงอีกครั้ง
"ทำไมไม่ตื๊อหน่อยล่ะ ความพยายามมีเท่านี้เองเหรอ?"
พ่อพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปวางกระเป๋าในบ้านแล้วกลับออกมาหาอย่างรวดเร็ว
"ผมโดนดูถูกเยาะเย้ยจนเบื่อจะตื๊อแล้ว แย่งบอลเขาก็ไม่ได้ โดนชนก็ล้มกลิ้ง ขายขี้หน้าจริงๆ ทำไมผมต้องตัวเล็กด้วย?"
พ่อมองผมด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะยื่นเท้าออกมาฉกบอลไปจากผมในทีเผลอ
"พ่อว่าการที่พีทตัวเล็กเป็นพรจากสวรรค์มากกว่าคำสาปนะ"
เขาพูดเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะเริ่มเดาะบอลลูกนั้นอย่างคล่องแคล่วสลับไปมาด้วยเท้าทั้งสอง
"ผมโตแล้วนะ อย่ามาหลอกเลย"
"เปล่านะ.. ชีวิตน่ะ มีพร้อมทุกอย่างจะไปสนุกอะไร แทนที่จะมัวคร่ำครวญถึงสิ่งที่ขาด ทำไมไม่พัฒนาสิ่งที่มีล่ะ?"
"ผมไม่เห็นจะมีอะไรเลย"
"พีท.. ลูกมีร่างกายที่สมบูรณ์ มีสายตาที่ดี มีขาสองข้างที่เดาะบอลได้ทั้งวันก็ไม่หล่น ในเมื่อพีทเป็นเสือ ทำไมพีทต้องไปอยากบินเหมือนนกอินทรีล่ะ เสือก็มีวิธีหาอาหารในแบบของตัวเอง พีทเองก็มีวิถีชีวิต มีความพิเศษเป็นตัวเอง ใครจะดูถูกก็ช่างเขา เสียงพวกนั้นมันไม่ได้มาขวางทางพีทเลย พีทต่างหากที่ไม่ยอมเดินต่อเอง"
และเพียงเพราะบทสนทนาสั้นๆ ในเย็นวันนั้น ทำให้ผมเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงอันแสนกว้างใหญ่ ที่ที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองผิดกับบ้านเกิดของผมลิบลับ ผมมาทั่นี่เพื่อคัดเลือกเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลอาชีพแห่งหนึ่ง
แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าสาดลงมากระทบผืนหญ้าเบื้องหน้า ผมและเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอีกร่วมยี่สิบชีวิตกำลังตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก
ความเงียบปกคลุมสนามแห่งนี้อยู่นาน จนกระทั่งชายหัวล้านคนหนึ่งในชุดคล้ายครูพละเดินเช้ามาหาพวกเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขากอดอกและเพ่งพิจารณามองพวกเราทุกคนด้วยแววตาโอบอ้อมอารี
"ฉันชื่อเมษเป็นโค้ชเยาวชนของที่นี่ ฉันจะให้พวกนายแบ่งทีมกันตามสีของสายรัดข้อมือ ใครทำผลงานได้เข้าตา ฉันจะลงความเห็นให้สโมสรเซ็นสัญญา"
ผมก้มมองข้อมือของตัวเองและหันรีหันขวางมองคนรอบๆ อย่างกระตือรือร้น สายรัดของผมเป็นสีดำ ส่วนสีตรงกันข้ามของผมดูเหมือนจะเป็นสีเหลือง
"ประจำตำแหน่งของตัวเองให้ดี ห้ามมั่วเด็ดขาด"
เสียงโค้ชเมษกำชับหนักแน่น และแน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมข้อมูลในส่วนนี้ไปได้ ผมฝ่าฟันบททดสอบสุดโหดมาจนถึงด่านสุดท้ายอย่างยากลำบากขนาดนี้แล้ว
ตำแหน่งของผมคือ "ปีกซ้าย"
เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมกับลูกฟุตบอลที่เคลื่อนไหว ดูเหมือนสรีระของผมจะเป็นรองทุกคนในสนามแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ฝีเท้าของทุกคนดูร้ายกาจมาก การเคลื่อนไหว การผ่านบอล การสื่อสาร มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเป็นอีกระดับหนึ่งของคำว่าฟุตบอล
กองกลางตัวรุกเพื่อนร่วมทีมของผมรับบอลมาจากแดนหลัง ก่อนจะพลิกตัวส่งให้ศูนย์หน้าร่างโย่งไม่ผิดกับผู้ใหญ่ ทักษะของนายคนนี้ค่อนข้างแพรวพราวเหลือหลาย ทันทีที่บอลถึงเท้า เขาก็แปะมันมาทางผมโดยไม่เสียเวลาคิดแม้เสี้ยววินาที
นัยน์ตาของผมเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น การสัมผัสบอลครั้งแรกของผมมาถึงเร็วกว่าที่คิด!
แต่ทว่า..
พลั่ก!
ใครบางคนเข้ามากระแทกผมจากทางด้านข้างจนเซไถลเสียหลัก แต่เพราะการล้มมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการลุก ผมปล่อยลำตัวให้ปลิวไปตามแรงกระแทกนั้นชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่จะใช้สองมือสองเท้าตะกายไปข้างหน้าในท่าคล้ายสุนัขโดยไม่ยอมเสียเวลาหยุดอยู่กับที่
มันส่งผลให้ลูกบอลกลับมาอยู่ในการครอบครองของผมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ผมกัดฟันเลี้ยงแหวกคู่ต่อสู้ที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าอย่างยากลำบาก
หนึ่งคน.. สองคน.. สามคน..
ใช่แล้ว.. ในเมื่อผมไม่สามารถชนกับใครได้ หากถูกเตะก็จะต้องล้มลงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นอย่างนั้น ทางแก้เพียงหนึ่งเดียวก็คืออย่าให้ใครเตะโดนเสียก็สิ้นเรื่อง!
"ปีกซ้าย! ทางนี้เพื่อน!"
เสียงใครบางคนตะโกนเรียกมาจากทางขวามือ ผมกลั้นใจส่งลูกหนังในความครอบครองไปให้โดยการคาดคะเนตำแหน่งของเขาจากเสียงเพียงเท่านั้น
ตุบ!
ปลายเกือกเพื่อนร่วมทีมอัดกระแทกลูกบอลเสียเต็มข้อ มันพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังประตูของคู่ต่อสู้อย่างดุดัน
และสุดท้ายก็เข้าไปนอนซุกก้นตะข่ายอย่างสวยงาม..
จบเกมนั้น ทีมสายรัดข้อมมือสีดำก็ชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 นั่นเอง ผมและศูนย์หน้าร่างโย่งเจ้าของประตูลูกนั้นถูกเลือกให้ผ่านเข้าสู่ทีมเยาวชนเพียงสองคนเท่านั้น
พวกเรากลายมาเป็นเพื่อนรักกันในเวลาต่อมา ทั้งเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน สัมผัสรสชาติแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้นับครั้งไม่ถ้วน
ตัวของผมสูงขึ้นจากตอนนั้นไม่กี่เซนติเมตรหรอก ผมก็ยังตัวเล็กกว่าใครเพื่อนอยู่วันยังค่ำ และแน่นอนว่าผมก็ยังคงถูกเตะจนล้มลงเป็นอาจิณอยู่เช่นเคย
คงเพราะอายุมากขึ้นรวมถึงประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะมานานปี ทำให้ความคิดเท่ๆ ในวัยเด็กว่า "ถ้าอีกฝ่ายเตะเราไม่ถูกเราก็จะไม่ล้ม" นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ผมก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งมีเลือดเนื้อและชีวิต หาใช่อากาศธาตุไม่ ผมหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นที่จะเข้ามากระทบร่างกายและจิตใจไม่ได้หรอก
ผมเลือกที่จะล้มด้วยรอยยิ้ม ล้มอย่างเข้าใจ ผมจะไม่กลัว ไม่หลีกหนีไปไหน ผมจะวิ่งไปข้างหน้าต่อไป ผมจะทำให้ทุกคนที่ต้องการจะเตะผม ต้องการจะทำลายชีวิตผมได้รู้ว่า
"นายทำร้ายฉันได้ แต่นายทำลายฉันไม่ได้ ยิ่งนายเตะฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็จะลุกเก่งขึ้นมากเท่านั้น และสุดท้ายก็มีเพีนงเท้าของนายเองนั่นแหละที่ต้องเจ็บ"
[เรื่องสั้น] ผู้เชี่ยวชาญในการล้ม
ผมเป็นเด็กผู้ชายที่มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติครับ แต่ปัญหาอันใหญ่หลวงของผมคือ ส่วนสูงที่ค่อนข้างจะต่ำกว่ามาตรฐานชายไทยเอามากๆ อย่าว่าแต่ไปคัดตัวกับสโมสรเลยครับ เอาแค่เฉพาะฟุตซอลโกล์หนูในโรงเรียนยังไม่มีใครอยากให้ผมเล่น
"เอ็งมันตัวเล็ก อย่าเล่นเลยว่ะ ข้าไม่อยากทำเอ็งขาหัก"
"เอ็งยังจะเล่นอีกเหรอวะ เอ็งแย่งบอลใครเขาไม่ได้เลยนะ"
"อยากเป็นนักบอลเหรอวะ? โหนรถสองแถวให้ถึงก่อยมั้ย?"
นั่นคือคำพูดเจ็บแสบที่ผมได้ยินทุกครั้งเมื่อผมปราถนาจะขอเข้าร่วม ผมแสร้งทำเป็นยิ้ม ไม่รู้สึกอะไร และสุดท้ายก็ต้องเดินคอตกกลับบ้านเพียงลำพังอยู่ร่ำไป
ที่บ้านผมมีลูกบอลพลาสติกบุบๆ อยู่ลูกหนึ่ง เจ้านี่นี่แหละคือเพื่อนที่แสนดีที่สุด มันไม่เคยปฏิเสธความต้องการของผม ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันถูกเตะอัดกำแพงและถูกเดาะขึ้นไปบนอากาศ ถึงแม้ผมจะเพลิดเพลิน แต่ใจจริงผมก็อยากเล่นเป็นทีมกับเขาบ้างสักครั้ง
"อ้าว.. พีท กลับบ้านแล้วเหรอ?"
เสียงเรียบๆ ของพ่อเอ่ยทักทายเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน
ผมอาศัยอยู่กับพ่อเพียงลำพังสองคน เนื่องจากแม่เสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน พ่อนี่แหละคือคนที่ทำให้ผมรู้จักกับฟุตบอล เขาทำให้ผมหลงใหลมันแม้สรีระจะไม่อำนวยให้เล่นมันได้สะดวกเลยก็ตาม
"เพื่อนไม่ให้ผมเล่นด้วยอีกแล้ว"
ผมพูดพร้อมกับยักไหล่ ก่อนจะหันไปหวดลูกบอลใส่กำแพงอีกครั้ง
"ทำไมไม่ตื๊อหน่อยล่ะ ความพยายามมีเท่านี้เองเหรอ?"
พ่อพูดยิ้มๆ ก่อนจะเดินเข้าไปวางกระเป๋าในบ้านแล้วกลับออกมาหาอย่างรวดเร็ว
"ผมโดนดูถูกเยาะเย้ยจนเบื่อจะตื๊อแล้ว แย่งบอลเขาก็ไม่ได้ โดนชนก็ล้มกลิ้ง ขายขี้หน้าจริงๆ ทำไมผมต้องตัวเล็กด้วย?"
พ่อมองผมด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะยื่นเท้าออกมาฉกบอลไปจากผมในทีเผลอ
"พ่อว่าการที่พีทตัวเล็กเป็นพรจากสวรรค์มากกว่าคำสาปนะ"
เขาพูดเรียบๆ ด้วยรอยยิ้มเบาบาง ก่อนจะเริ่มเดาะบอลลูกนั้นอย่างคล่องแคล่วสลับไปมาด้วยเท้าทั้งสอง
"ผมโตแล้วนะ อย่ามาหลอกเลย"
"เปล่านะ.. ชีวิตน่ะ มีพร้อมทุกอย่างจะไปสนุกอะไร แทนที่จะมัวคร่ำครวญถึงสิ่งที่ขาด ทำไมไม่พัฒนาสิ่งที่มีล่ะ?"
"ผมไม่เห็นจะมีอะไรเลย"
"พีท.. ลูกมีร่างกายที่สมบูรณ์ มีสายตาที่ดี มีขาสองข้างที่เดาะบอลได้ทั้งวันก็ไม่หล่น ในเมื่อพีทเป็นเสือ ทำไมพีทต้องไปอยากบินเหมือนนกอินทรีล่ะ เสือก็มีวิธีหาอาหารในแบบของตัวเอง พีทเองก็มีวิถีชีวิต มีความพิเศษเป็นตัวเอง ใครจะดูถูกก็ช่างเขา เสียงพวกนั้นมันไม่ได้มาขวางทางพีทเลย พีทต่างหากที่ไม่ยอมเดินต่อเอง"
และเพียงเพราะบทสนทนาสั้นๆ ในเย็นวันนั้น ทำให้ผมเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงอันแสนกว้างใหญ่ ที่ที่เต็มไปด้วยความเจริญรุ่งเรืองผิดกับบ้านเกิดของผมลิบลับ ผมมาทั่นี่เพื่อคัดเลือกเป็นนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลอาชีพแห่งหนึ่ง
แสงแดดอ่อนๆ ในยามเช้าสาดลงมากระทบผืนหญ้าเบื้องหน้า ผมและเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอีกร่วมยี่สิบชีวิตกำลังตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก
ความเงียบปกคลุมสนามแห่งนี้อยู่นาน จนกระทั่งชายหัวล้านคนหนึ่งในชุดคล้ายครูพละเดินเช้ามาหาพวกเราด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขากอดอกและเพ่งพิจารณามองพวกเราทุกคนด้วยแววตาโอบอ้อมอารี
"ฉันชื่อเมษเป็นโค้ชเยาวชนของที่นี่ ฉันจะให้พวกนายแบ่งทีมกันตามสีของสายรัดข้อมือ ใครทำผลงานได้เข้าตา ฉันจะลงความเห็นให้สโมสรเซ็นสัญญา"
ผมก้มมองข้อมือของตัวเองและหันรีหันขวางมองคนรอบๆ อย่างกระตือรือร้น สายรัดของผมเป็นสีดำ ส่วนสีตรงกันข้ามของผมดูเหมือนจะเป็นสีเหลือง
"ประจำตำแหน่งของตัวเองให้ดี ห้ามมั่วเด็ดขาด"
เสียงโค้ชเมษกำชับหนักแน่น และแน่นอนว่าผมไม่มีทางลืมข้อมูลในส่วนนี้ไปได้ ผมฝ่าฟันบททดสอบสุดโหดมาจนถึงด่านสุดท้ายอย่างยากลำบากขนาดนี้แล้ว
ตำแหน่งของผมคือ "ปีกซ้าย"
เสียงนกหวีดดังขึ้นพร้อมกับลูกฟุตบอลที่เคลื่อนไหว ดูเหมือนสรีระของผมจะเป็นรองทุกคนในสนามแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ฝีเท้าของทุกคนดูร้ายกาจมาก การเคลื่อนไหว การผ่านบอล การสื่อสาร มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันเป็นอีกระดับหนึ่งของคำว่าฟุตบอล
กองกลางตัวรุกเพื่อนร่วมทีมของผมรับบอลมาจากแดนหลัง ก่อนจะพลิกตัวส่งให้ศูนย์หน้าร่างโย่งไม่ผิดกับผู้ใหญ่ ทักษะของนายคนนี้ค่อนข้างแพรวพราวเหลือหลาย ทันทีที่บอลถึงเท้า เขาก็แปะมันมาทางผมโดยไม่เสียเวลาคิดแม้เสี้ยววินาที
นัยน์ตาของผมเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้น การสัมผัสบอลครั้งแรกของผมมาถึงเร็วกว่าที่คิด!
แต่ทว่า..
พลั่ก!
ใครบางคนเข้ามากระแทกผมจากทางด้านข้างจนเซไถลเสียหลัก แต่เพราะการล้มมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้ผมกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการลุก ผมปล่อยลำตัวให้ปลิวไปตามแรงกระแทกนั้นชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่จะใช้สองมือสองเท้าตะกายไปข้างหน้าในท่าคล้ายสุนัขโดยไม่ยอมเสียเวลาหยุดอยู่กับที่
มันส่งผลให้ลูกบอลกลับมาอยู่ในการครอบครองของผมอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ผมกัดฟันเลี้ยงแหวกคู่ต่อสู้ที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าอย่างยากลำบาก
หนึ่งคน.. สองคน.. สามคน..
ใช่แล้ว.. ในเมื่อผมไม่สามารถชนกับใครได้ หากถูกเตะก็จะต้องล้มลงอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเป็นอย่างนั้น ทางแก้เพียงหนึ่งเดียวก็คืออย่าให้ใครเตะโดนเสียก็สิ้นเรื่อง!
"ปีกซ้าย! ทางนี้เพื่อน!"
เสียงใครบางคนตะโกนเรียกมาจากทางขวามือ ผมกลั้นใจส่งลูกหนังในความครอบครองไปให้โดยการคาดคะเนตำแหน่งของเขาจากเสียงเพียงเท่านั้น
ตุบ!
ปลายเกือกเพื่อนร่วมทีมอัดกระแทกลูกบอลเสียเต็มข้อ มันพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังประตูของคู่ต่อสู้อย่างดุดัน
และสุดท้ายก็เข้าไปนอนซุกก้นตะข่ายอย่างสวยงาม..
จบเกมนั้น ทีมสายรัดข้อมมือสีดำก็ชนะไปด้วยสกอร์ 1-0 นั่นเอง ผมและศูนย์หน้าร่างโย่งเจ้าของประตูลูกนั้นถูกเลือกให้ผ่านเข้าสู่ทีมเยาวชนเพียงสองคนเท่านั้น
พวกเรากลายมาเป็นเพื่อนรักกันในเวลาต่อมา ทั้งเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นด้วยกัน สัมผัสรสชาติแห่งชัยชนะและความพ่ายแพ้นับครั้งไม่ถ้วน
ตัวของผมสูงขึ้นจากตอนนั้นไม่กี่เซนติเมตรหรอก ผมก็ยังตัวเล็กกว่าใครเพื่อนอยู่วันยังค่ำ และแน่นอนว่าผมก็ยังคงถูกเตะจนล้มลงเป็นอาจิณอยู่เช่นเคย
คงเพราะอายุมากขึ้นรวมถึงประสบการณ์ที่ถูกสั่งสมบ่มเพาะมานานปี ทำให้ความคิดเท่ๆ ในวัยเด็กว่า "ถ้าอีกฝ่ายเตะเราไม่ถูกเราก็จะไม่ล้ม" นั้นค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ผมก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งมีเลือดเนื้อและชีวิต หาใช่อากาศธาตุไม่ ผมหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้นที่จะเข้ามากระทบร่างกายและจิตใจไม่ได้หรอก
ผมเลือกที่จะล้มด้วยรอยยิ้ม ล้มอย่างเข้าใจ ผมจะไม่กลัว ไม่หลีกหนีไปไหน ผมจะวิ่งไปข้างหน้าต่อไป ผมจะทำให้ทุกคนที่ต้องการจะเตะผม ต้องการจะทำลายชีวิตผมได้รู้ว่า
"นายทำร้ายฉันได้ แต่นายทำลายฉันไม่ได้ ยิ่งนายเตะฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็จะลุกเก่งขึ้นมากเท่านั้น และสุดท้ายก็มีเพีนงเท้าของนายเองนั่นแหละที่ต้องเจ็บ"