สวัสดีชาวพันทิปค่ะ ตลอดมาได้แต่เข้ามาอ่าน มาหาความรู้ ดูรีวิว
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ที่จะมาขอแชร์ประสบการณ์ที่เราตื่นเต้นสุดๆๆๆ
นั่นก็คือ การจัดฟัน!!
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า โดยพื้นฐานเราเป็นคนไม่ค่อยไปหาหมอฟัน คือจะไปเมื่อเกิดปัญหาเท่านั้น ไม่ได้ไปหาทุกปีแบบที่ทุกคนแนะนำ
ก็คือเท่าที่จำได้ เคยไปถอนฟันผุ หนึ่งที ถอนฟันกรามซี่สุดท้าย 4 ซี่ (ไม่เคยอุดฟัน แล้วก็น่าจะไปขูดหินปูน ครั้ง 2 ครั้ง ประมาณนี้
แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!
เรื่องเกิดจาก ไปดูหมอ ค่ะ...หมอดู ไม่ใช่หมอฟัน
คือเราไปดูดวงกับเพื่อน แล้วมีจังหวะนึง เขาก็ทักโหงวเฮ้งเราว่า เนี่ย ถ้าไปดัดฟันได้ ก็ไปนะ ไปดัดฟันที่ห่างข้างหน้า
หลังจากดูดวงเสร็จ เราก็เก็บเรื่องที่เขาแนะนำต่างๆมาทบทวน ทั้งเรื่องทำบุญ ทำทาน และ ทำฟัน...
ฟันบนคู่หน้าสุดของเรา จะห่างนิดๆมาตั้งแต่เด็กค่ะ
แล้วนับวันมันก็ยิ่งห่างขึ้นเรื่อยๆ ฟันล่างเองก็เริ่มห่างตามมาติดๆ
เวลาทานอะไรก็จะมีเศษอาหารไปติดเสมอ แล้วยิ่งใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ย รู้สึกเองว่า ฟันยิ่งห่าง
เวลาถ่ายภาพเราก็เขินๆฟันห่างเรา จนเราติดนิสัยถ่ายรูปแบบยิ้มไม่เปิดปาก ก็จะไม่ค่อยมีรูปแนวแจกความสดใสเท่าไร
(นี่คือภาพก่อนจัดฟันค่ะ / รูปยิ้มเห็นฟันหายากหน่อย เก่าหน่อย)
ก็พยายามคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ดี เหมือนพวกนางแบบ มาดอนน่าไรงี้ แต่เอาจริงๆ ก็จะนอยตลอดว่าจะมีไรติดร่องฟันเราอยู่ป่าวนะ
เลยมีความตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีเงินพอจ่ายเมื่อไรจะไปดัดฟัน
แต่ด้วยความที่ มันไม่ใช่เหตุด่วน เหตุร้ายอะไร เราก็จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ไม่ได้ทำสักที
เนี่ยแหละ พอมีคนมากระตุกปมที่ค้างในใจมานาน แถมคนนั้นยังเป็นหมอดู!
เราเลยมีเหตุผลมากพอที่จะไปหาหมอฟัน กิจกรรมที่เราไม่คุ้นเคยอย่างแรง!
เอาล่ะค่ะ จะเริ่มรีวิวแล้วจริงๆ (ขอโทษที่เล่าปูเรื่องมายาวเหยียดค่ะ)
เริ่มจากเรารีเสิชก่อนว่าจัดฟันมีกี่แบบ
ก็มาเจอแบบ Invisalign ที่ดูแพง!! แต่ก็ดูเหมาะกับจริตเรา เพราะมันไม่ต้องเจอหมอฟันบ่อย ไม่ต้องระแวงว่าจะมีไรติดฟันเราไหม
ในเมื่อปัญหาเดียวคือราคา เราก็เลยรีเสิชต่อว่าที่ไหนราคาเท่าไร ผ่อนได้บ้างไหม จะเลือกหมอยังไงดี
ก่อนอื่นเราก็เลือกที่ใกล้ที่ทำงาน (สีลม) โทร.ไป เดินแวะไป 2-3ร้านดูราคา สอบถามการบริการ
จากนั้นเราก็โทร.ไปหาร้านดังต่างๆที่เขาโปรโมท และทำเลดูไปได้ไม่ยากมาก
จากการค้นข้อมูลในเกิ้ล+ติดต่อหลายๆที่ (แต่ยังไม่ได้เข้าพบหมอนะคะ) สรุปเอาเองได้ว่า
1. ราคาทุกที่แทบไม่ต่างกันค่ะ แล้วแต่โปร แต่ละช่วง บางที่ก็จะให้แบ่งจ่าย 3 งวด ถ้าจ่ายเงินสด แบ่ง 10งวดก็มี ขึ้นอยู่กับบัตรเครดิตที่เขาดีลกัน แต่ก็พบว่า ถ้ามีโปรบัตรเครดิต มักจะเป็นคลินิกที่คิดแพงกว่านิดหน่อย
2. ข้อนี้สำคัญมากกก หมอที่จัดฟันแบบ Invisalign ได้ ทุกคนจะต้องผ่านการรับรองจาก บ. Invisalign
แต่เราก็ต้องดูอีกที ควรเลือกคุณหมอที่จบเฉพาะทางด้านจัดฟันมาดูแลเคสเรา เพราะถึงแม้ว่าการจัดฟันใส จะใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี มาช่วย แต่เรายังต้องพึ่งพาความรู้ หลักการ การจัดฟัน ที่ควรจะเป็นคุณหมอที่จบเฉพาะทางจากด้านนี้
(โดยส่วนตัว นอกจากความถนัด เราจะมองหาหมอที่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจ เห็นภาพ แต่ละขั้นตอนได้อย่าง ละเอียดด้วยค่ะ)
และในที่สุด เราก็เลือกคลินิกที่อนุสาวรีย์ ที่เราขับรถไปได้ไม่ไกล
ถ้าไม่ขับรถก็นั่ง BTS ไปได้สะดวกค่ะ ชื่อ คลินิกสไมล์ลอฟท์ (Smile Loft)
ที่นี่มีโปรผ่อน พนักงานพูดจาน่ารัก หมอคุยกันได้ เข้าใจกันดีค่ะ
ขั้นแรกเราก็ปรึกษาหมอฟันก่อนค่ะ ว่าเราอยากจัดฟัน เราเป็นคนแบบนอยกลัวเศษอาหารติดเหล็กนะ กลัวฟันจะผุไปใหญ่ถ้าแปรงไม่ดี หมอตรวจดูฟันเราแล้วก็บอกว่า ได้! ทำ Invisalign ได้เลยถ้าเธอต้องการ
หมอก็จะอธิบายว่าจริงๆแล้ว Invisalign มีหลายระดับ แล้วแต่เคส แล้วแต่ความยากของฟันเรา
ตัวเราน่าจะเป็นระดับ
Invisalign Lite
คือระดับที่รองจากเบาสุด ไม่ต้องจัดฟันนาน เพราะตรวจดูภายนอกแล้ว แค่ฟันห่าง เอียงนิดหน่อย แต่ไม่ทับซ้อน มีแค่ฟันเกินเล็กๆที่เบียดฟันหลักอยู่ ถอนออก แล้วค่อยจัดฟัน เจ็บแค่นิดเดียว...
แต่ไม่ค่ะ ไม่นิดแบบที่คิด!!!
เพราะเมื่อหมอส่งเราไป x-ray เตรียมเคลียร์ช่องปาก
พบฟันเกินฝังในเหงือกเรา 5 ซี่!!
ตอนหมอเห็นภาพ x-ray ฟันเรา หมอถึงกับทำหน้าสงสารเราค่ะ
เพราะปกติ คนอื่นเขามีฟันเกิน แต่ก็แค่ 1-2ซี่ค่ะ....

ที่ต้องสงสารเรา ก็เพราะ เราต้องผ่าเหงือกเอาฟันทั้ง 5 ซี่ออกมาค่า
โอ๊ยย แค่คิดก็เจ็บ คนไม่ค่อยหาหมอฟัน ไม่คุ้นเคยอะไรแบบนี้เล้ยยยย
ต้องมาผ่าฟัน 5 ซี่!!
คือฟันเกินเนี่ย ถ้าทิ้งไว้ ในอนาคตอาจจะพัฒนากลายเป็นถุงน้ำในกระดูก!!

ละถ้าเคลื่อนฟันไปโดน อาจจะเกิดการละลายของรากฟันข้างเคียงได้ เลยเอาออกไปให้หมดเลยทีเดียวนี่แหละค่ะ
แทนที่จะเริ่มจัดฟันได้ เราก็ต้องผ่าตัดฟันเอาฟันเกินออกก่อน และรอให้หายระบมก่อน ค่อยเริ่มใส่ Invisalign ค่ะ
ขอบอกว่า ผ่าฟันที่ฝังในเหงือกคือเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่สุดแล้วค่ะ
เพราะตอนผ่า ฉีดยาชาที่เหงือก มันไม่เจ็บ แต่เรารู้สึกค่ะว่าหมอกำลังแงะฟัน เลื่อยฟันเราออกมาอยู่ค่ะ ในเคสของเราฟันยาวมากกกก หมอที่ผ่าให้ เหนื่อยมากค่ะ ต้องเติมยาชา2-3รอบเลย เราเองก็ให้กำลังใจหมอตอนผ่า ทั้งน้ำตา 5555
ที่ผ่านมาได้ เพราะโชคดีที่ได้หมอผ่าที่ละมุนมาก หมอใจดี ค่อยๆปลอบใจตลอดการผ่า คงเห็นเราน้ำตาไหล สงสาร
(ภาพหลังผ่าจะเห็นไหมแพลมๆ)
หลังจากเอาฟันเกินออกไปจากเหงือกได้แล้ว (ผ่า 2 รอบ/ทีละข้าง)...เหงือกหายระบมแล้ว ถอดไหม...ก็ได้เริ่มจัดฟันซะที!
โดยวิธีการ คือ
หมอเขาจะพิมพ์ฟันเรา (เหมือนเอาดินน้ำมันมาปั๊มทรงฟันเรา) ส่งไปให้ทางบ. Invisalign ที่เมืองนอก
ทางบ. เขาก็จะคำนวณ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์และความเห็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่งชิ้นงานพลาสติกที่ครอบ(ดัด)ฟันเรากลับมาให้หมอเรา 1 กล่อง
ที่ชิ้นงานจะมีเลขเขียนกำกับค่ะว่า เป็นเซ็ทที่เท่าไร ชิ้นไหนใส่ข้างบน/ล่าง
ของเรามี 14 เซ็ต เปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์
พอชิ้นงานมาถึง หมอจะติดปุ่มบนฟันเราตามแผนที่เขาวางกันมา ให้ลงล็อคกับชิ้นงานพลาสติก
ปุ่มนี่จะยึดฟันเราไว้ให้ไปในทิศทางที่ถูกที่ควร พอติดปุ่มเสร็จ ก็เริ่มใส่ชิ้นงานพลาสติกได้ค่ะ
(ภาพเวลาใส่ Invisalign)

แรกๆหมอก็ให้เราเอากลับไปใส่ ทีละ 2 เซ็ตก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาเซ็ต 3-4 อีกที เพื่อให้เรากลับมาให้หมอตรวจฟันเรา ว่าผิดแผนไหม พร้อมเช็คว่าเรามีวินัยในการใส่ชิ้นงานไหม
วินัยคือสิ่งสำคัญที่สุดของการจัดฟันแบบนี้เลยค่ะ เพราะถ้าเราใส่แล้ว ถอดตอนทานข้าว แล้วลืม หรือขี้เกียจใส่กลับเข้าไปใหม่หลังทานเสร็จ ปล่อยฟันสบายถึงเย็น ปัญหาเกิดแน่ๆค่ะ
เพราะเมื่อฟันไม่ได้รับการดัดในเวลาที่เพียงพอ ฟันจะไม่ลงล็อคกับเซ็ตถัดไปในเวลาที่สมควร พอเราใส่เซ็ตถัดไป จะปวดมากกกกก
เราจึงต้องเตือนตัวเองให้รีบใส่ชิ้นงานทันทีหลังทานอะไรเสร็จเสมอค่ะ
***ความรู้สึกระหว่างจัดฟันแบบใสคือ***
2 วันแรกที่ใส่เซ็ตใหม่จะปวดฟันปวดเหงือกมากค่ะ เพราะฟันโดนดันให้เคลื่อนตัว วิธีแก้คือ ยาแก้ปวด และอาหารอ่อนๆค่ะ
วันที่ 3-5 อาจจะยังตึงๆฟัน แต่พอวันที่ 6-14 ก็จะสบายแล้วค่ะ
เป็นแบบนี้ วนลูปไป เซ็ตแล้ว เซ็ตเล่า
จนมาถึงเซ็ตที่ 12 เราก็นึกว่าจะจบสิ้นกันที ฟันเป็นอิสระเสรีแล้ว
แต่!!
เราลืมไปค่ะว่า หมอเคยบอกว่า เคสของเราที่ฟันหน้าห่างก็เพราะ มีตัวติ่งเหงือกคั่นตรงกลาง
หมอเรียกว่า ฟรีนุ่ม มาเสิชทีหลัง ภาษาไทยเรียกว่า เอ็นยึดร่องเหงือก มันเป็นพังผืดที่ยึดปากบนเราไว้กับเหงือกค่ะ
ไม่รู้ว่าธรรมชาติสร้างเอาไว้ทำอะไร แต่เราต้องตัดมันออกค่ะ!!!
หมอเห็นว่าเราใกล้จะจัดฟันถึงเซ็ตสุดท้ายแล้วจึงเรียกเราไปผ่าพังผืดนี้ก่อนค่ะ เพราะมันจะระบม ใส่รีเทนเนอร์ไม่ได้ (รีเทนเนอร์จะหุ้มขึ้นมาถึงเหงือก ส่วน Invisalign จะหุ้มแค่ฟัน)
เราก็มาผ่าคิดว่า ผ่านการผ่าเหงือก เอาฟัน 5 ซี่ออกได้แล้ว เรื่องแค่นี้สบ๊ายยยยย
แต่ๆๆ พอผ่าเสร็จเห็นแผลคือ ช็อค! เพราะไม่ใช่แค่ตัดติ่งระหว่างฟันออก
แต่หมอต้องผ่าขึ้นไปถึงปากบนของเราค่ะ แผลยาวกว่าที่คิด
ผ่ารอบนี้เราลืมประคบเย็น ตื่นมาปากบวมค่า
หลังจากประคบเย็น หายบวม อีก 1 สัปดาห์ก็ไปตัดไหม ตามปกติค่ะ
พอหายระบมเราก็กลับมาใส่ Invisalign จนครบ 14 เซ็ต
จึงนัดเข้าไปให้หมอตรวจ และเริ่มพิมพ์ปากทำรีเทนเนอร์
หมอก็จะเอา ปุ่ม บนฟันเราออก ตรวจและเก็บงานในช่องปากเรา ให้สวยกิ๊ง
วันนั้นเราก็ส่องกระจกดูฟันอีกที รู้สึกเลยว่าฟันเรียงตัวสวยงามขึ้นมาก ประทับใจจนต้องถ่ายภาพทันที

ไม่นานหมอส่งภาพเปรียบเทียบฟันเรามาให้ดูค่ะ เพิ่งเห็นว่า ฟันเราหุบเข้าหากันขนาดนี้!
ภาพแอบสยอง ทำใจก่อนกดดูในสปอยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้(ภาพ Before-After จากคลินิก เราปรับสีนิดนึงให้ไม่น่ากลัวค่ะ)


(กลับไปเทียบกับตอนจัดฟันแรกๆก็ต่างชัด)
หลังจากดัดฟันเสร็จ เพื่อนทุกคนทักค่ะว่า ฟันสวยมาก ฟันดูต่างจากเมื่อก่อนเลย มีเพื่อนคนนึงเม้นว่าฟันเรียงตัวน่ารัก!? 5555
โดยสรุป คือจัดฟันไปแค่ 7 เดือน เห็นความต่างชัดเลย (ไม่รวมเวลาผ่าตัดฟันเกินในช่วงแรก)
ตอนนี้ก็เลยฝึกยิ้มแบบเห็นฟันอยู่ค่ะ เพราะไม่ได้ยิ้มมานานมาก เวลายิ้มแล้วดูเกร็ง ดูแปลกๆ
ถึงจะยังเกร็งๆบ้าง พอยิ้มแบบเห็นฟันแล้ว เพื่อนๆก็บอกว่าดูสดใสมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ
เล่ามาซะยืดยาว ตอนแรกว่าจะรีวิวสั้นๆ
จริงๆก็เพราะรู้สึกเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งสำคัญ เลยตื่นเต้นในทุกขั้นตอน อยากแชร์
จากคนที่ไม่ค่อยไปหาหมอฟัน กลายเป็นว่า ผ่านมาทุกกระบวนการแล้ว
ในเวลาไม่ถึงปี ผ่า ถอน เลื่อย ดัด ตัด เย็บ

รู้สึกเก๋า 5555
โดยรวมรู้สึกว่าการจัดฟันครั้งนี้ คุ้มค่ามาก เพราะทำแล้วเรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง ได้ยิ้มสดใส มั่นใจมากกว่าเดิม ได้ฝึกวินัยตัวเองด้วย หมอก็ใจดีทุกคน พูดคุยเข้าใจกันดี ทั้งหมอจัดฟัน หมอผ่า ทุกคนเชี่ยวชาญน่าไว้ใจ คนนอยอย่างเราเลยกล้าฝากไข้ ฝากฟันค่ะ
หวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังสนใจการจัดฟันแบบ Invisalign ไม่มากก็น้อยนะคะ :]
[SR] (รีวิว) ประสบการณ์จัดฟันแบบใส Invisalign ฉบับคนขี้นอยและไม่ค่อยชอบหาหมอฟัน
ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ที่จะมาขอแชร์ประสบการณ์ที่เราตื่นเต้นสุดๆๆๆ
นั่นก็คือ การจัดฟัน!!
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า โดยพื้นฐานเราเป็นคนไม่ค่อยไปหาหมอฟัน คือจะไปเมื่อเกิดปัญหาเท่านั้น ไม่ได้ไปหาทุกปีแบบที่ทุกคนแนะนำ
ก็คือเท่าที่จำได้ เคยไปถอนฟันผุ หนึ่งที ถอนฟันกรามซี่สุดท้าย 4 ซี่ (ไม่เคยอุดฟัน แล้วก็น่าจะไปขูดหินปูน ครั้ง 2 ครั้ง ประมาณนี้
แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!
เรื่องเกิดจาก ไปดูหมอ ค่ะ...หมอดู ไม่ใช่หมอฟัน
คือเราไปดูดวงกับเพื่อน แล้วมีจังหวะนึง เขาก็ทักโหงวเฮ้งเราว่า เนี่ย ถ้าไปดัดฟันได้ ก็ไปนะ ไปดัดฟันที่ห่างข้างหน้า
หลังจากดูดวงเสร็จ เราก็เก็บเรื่องที่เขาแนะนำต่างๆมาทบทวน ทั้งเรื่องทำบุญ ทำทาน และ ทำฟัน...
ฟันบนคู่หน้าสุดของเรา จะห่างนิดๆมาตั้งแต่เด็กค่ะ
แล้วนับวันมันก็ยิ่งห่างขึ้นเรื่อยๆ ฟันล่างเองก็เริ่มห่างตามมาติดๆ
เวลาทานอะไรก็จะมีเศษอาหารไปติดเสมอ แล้วยิ่งใช้ไม้จิ้มฟันเขี่ย รู้สึกเองว่า ฟันยิ่งห่าง
เวลาถ่ายภาพเราก็เขินๆฟันห่างเรา จนเราติดนิสัยถ่ายรูปแบบยิ้มไม่เปิดปาก ก็จะไม่ค่อยมีรูปแนวแจกความสดใสเท่าไร
(นี่คือภาพก่อนจัดฟันค่ะ / รูปยิ้มเห็นฟันหายากหน่อย เก่าหน่อย)
ก็พยายามคิดว่าเป็นเอกลักษณ์ดี เหมือนพวกนางแบบ มาดอนน่าไรงี้ แต่เอาจริงๆ ก็จะนอยตลอดว่าจะมีไรติดร่องฟันเราอยู่ป่าวนะ
เลยมีความตั้งใจไว้ว่า ถ้ามีเงินพอจ่ายเมื่อไรจะไปดัดฟัน
แต่ด้วยความที่ มันไม่ใช่เหตุด่วน เหตุร้ายอะไร เราก็จะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ไม่ได้ทำสักที
เนี่ยแหละ พอมีคนมากระตุกปมที่ค้างในใจมานาน แถมคนนั้นยังเป็นหมอดู!
เราเลยมีเหตุผลมากพอที่จะไปหาหมอฟัน กิจกรรมที่เราไม่คุ้นเคยอย่างแรง!
เอาล่ะค่ะ จะเริ่มรีวิวแล้วจริงๆ (ขอโทษที่เล่าปูเรื่องมายาวเหยียดค่ะ)
เริ่มจากเรารีเสิชก่อนว่าจัดฟันมีกี่แบบ
ก็มาเจอแบบ Invisalign ที่ดูแพง!! แต่ก็ดูเหมาะกับจริตเรา เพราะมันไม่ต้องเจอหมอฟันบ่อย ไม่ต้องระแวงว่าจะมีไรติดฟันเราไหม
ในเมื่อปัญหาเดียวคือราคา เราก็เลยรีเสิชต่อว่าที่ไหนราคาเท่าไร ผ่อนได้บ้างไหม จะเลือกหมอยังไงดี
ก่อนอื่นเราก็เลือกที่ใกล้ที่ทำงาน (สีลม) โทร.ไป เดินแวะไป 2-3ร้านดูราคา สอบถามการบริการ
จากนั้นเราก็โทร.ไปหาร้านดังต่างๆที่เขาโปรโมท และทำเลดูไปได้ไม่ยากมาก
จากการค้นข้อมูลในเกิ้ล+ติดต่อหลายๆที่ (แต่ยังไม่ได้เข้าพบหมอนะคะ) สรุปเอาเองได้ว่า
1. ราคาทุกที่แทบไม่ต่างกันค่ะ แล้วแต่โปร แต่ละช่วง บางที่ก็จะให้แบ่งจ่าย 3 งวด ถ้าจ่ายเงินสด แบ่ง 10งวดก็มี ขึ้นอยู่กับบัตรเครดิตที่เขาดีลกัน แต่ก็พบว่า ถ้ามีโปรบัตรเครดิต มักจะเป็นคลินิกที่คิดแพงกว่านิดหน่อย
2. ข้อนี้สำคัญมากกก หมอที่จัดฟันแบบ Invisalign ได้ ทุกคนจะต้องผ่านการรับรองจาก บ. Invisalign
แต่เราก็ต้องดูอีกที ควรเลือกคุณหมอที่จบเฉพาะทางด้านจัดฟันมาดูแลเคสเรา เพราะถึงแม้ว่าการจัดฟันใส จะใช้นวัตกรรม เทคโนโลยี มาช่วย แต่เรายังต้องพึ่งพาความรู้ หลักการ การจัดฟัน ที่ควรจะเป็นคุณหมอที่จบเฉพาะทางจากด้านนี้
(โดยส่วนตัว นอกจากความถนัด เราจะมองหาหมอที่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจ เห็นภาพ แต่ละขั้นตอนได้อย่าง ละเอียดด้วยค่ะ)
และในที่สุด เราก็เลือกคลินิกที่อนุสาวรีย์ ที่เราขับรถไปได้ไม่ไกล
ถ้าไม่ขับรถก็นั่ง BTS ไปได้สะดวกค่ะ ชื่อ คลินิกสไมล์ลอฟท์ (Smile Loft)
ที่นี่มีโปรผ่อน พนักงานพูดจาน่ารัก หมอคุยกันได้ เข้าใจกันดีค่ะ
ขั้นแรกเราก็ปรึกษาหมอฟันก่อนค่ะ ว่าเราอยากจัดฟัน เราเป็นคนแบบนอยกลัวเศษอาหารติดเหล็กนะ กลัวฟันจะผุไปใหญ่ถ้าแปรงไม่ดี หมอตรวจดูฟันเราแล้วก็บอกว่า ได้! ทำ Invisalign ได้เลยถ้าเธอต้องการ
หมอก็จะอธิบายว่าจริงๆแล้ว Invisalign มีหลายระดับ แล้วแต่เคส แล้วแต่ความยากของฟันเรา
ตัวเราน่าจะเป็นระดับ Invisalign Lite
คือระดับที่รองจากเบาสุด ไม่ต้องจัดฟันนาน เพราะตรวจดูภายนอกแล้ว แค่ฟันห่าง เอียงนิดหน่อย แต่ไม่ทับซ้อน มีแค่ฟันเกินเล็กๆที่เบียดฟันหลักอยู่ ถอนออก แล้วค่อยจัดฟัน เจ็บแค่นิดเดียว...
แต่ไม่ค่ะ ไม่นิดแบบที่คิด!!!
เพราะเมื่อหมอส่งเราไป x-ray เตรียมเคลียร์ช่องปาก
พบฟันเกินฝังในเหงือกเรา 5 ซี่!!
ตอนหมอเห็นภาพ x-ray ฟันเรา หมอถึงกับทำหน้าสงสารเราค่ะ
เพราะปกติ คนอื่นเขามีฟันเกิน แต่ก็แค่ 1-2ซี่ค่ะ....
ที่ต้องสงสารเรา ก็เพราะ เราต้องผ่าเหงือกเอาฟันทั้ง 5 ซี่ออกมาค่า
โอ๊ยย แค่คิดก็เจ็บ คนไม่ค่อยหาหมอฟัน ไม่คุ้นเคยอะไรแบบนี้เล้ยยยย ต้องมาผ่าฟัน 5 ซี่!!
คือฟันเกินเนี่ย ถ้าทิ้งไว้ ในอนาคตอาจจะพัฒนากลายเป็นถุงน้ำในกระดูก!!
ละถ้าเคลื่อนฟันไปโดน อาจจะเกิดการละลายของรากฟันข้างเคียงได้ เลยเอาออกไปให้หมดเลยทีเดียวนี่แหละค่ะ
แทนที่จะเริ่มจัดฟันได้ เราก็ต้องผ่าตัดฟันเอาฟันเกินออกก่อน และรอให้หายระบมก่อน ค่อยเริ่มใส่ Invisalign ค่ะ
ขอบอกว่า ผ่าฟันที่ฝังในเหงือกคือเป็นอะไรที่ตื่นเต้นที่สุดแล้วค่ะ
เพราะตอนผ่า ฉีดยาชาที่เหงือก มันไม่เจ็บ แต่เรารู้สึกค่ะว่าหมอกำลังแงะฟัน เลื่อยฟันเราออกมาอยู่ค่ะ ในเคสของเราฟันยาวมากกกก หมอที่ผ่าให้ เหนื่อยมากค่ะ ต้องเติมยาชา2-3รอบเลย เราเองก็ให้กำลังใจหมอตอนผ่า ทั้งน้ำตา 5555
ที่ผ่านมาได้ เพราะโชคดีที่ได้หมอผ่าที่ละมุนมาก หมอใจดี ค่อยๆปลอบใจตลอดการผ่า คงเห็นเราน้ำตาไหล สงสาร
(ภาพหลังผ่าจะเห็นไหมแพลมๆ)
หลังจากเอาฟันเกินออกไปจากเหงือกได้แล้ว (ผ่า 2 รอบ/ทีละข้าง)...เหงือกหายระบมแล้ว ถอดไหม...ก็ได้เริ่มจัดฟันซะที!
โดยวิธีการ คือ
หมอเขาจะพิมพ์ฟันเรา (เหมือนเอาดินน้ำมันมาปั๊มทรงฟันเรา) ส่งไปให้ทางบ. Invisalign ที่เมืองนอก
ทางบ. เขาก็จะคำนวณ ด้วยระบบคอมพิวเตอร์และความเห็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่งชิ้นงานพลาสติกที่ครอบ(ดัด)ฟันเรากลับมาให้หมอเรา 1 กล่อง
ที่ชิ้นงานจะมีเลขเขียนกำกับค่ะว่า เป็นเซ็ทที่เท่าไร ชิ้นไหนใส่ข้างบน/ล่าง
ของเรามี 14 เซ็ต เปลี่ยนทุก 2 สัปดาห์
พอชิ้นงานมาถึง หมอจะติดปุ่มบนฟันเราตามแผนที่เขาวางกันมา ให้ลงล็อคกับชิ้นงานพลาสติก
ปุ่มนี่จะยึดฟันเราไว้ให้ไปในทิศทางที่ถูกที่ควร พอติดปุ่มเสร็จ ก็เริ่มใส่ชิ้นงานพลาสติกได้ค่ะ
(ภาพเวลาใส่ Invisalign)
แรกๆหมอก็ให้เราเอากลับไปใส่ ทีละ 2 เซ็ตก่อน แล้วค่อยกลับมาเอาเซ็ต 3-4 อีกที เพื่อให้เรากลับมาให้หมอตรวจฟันเรา ว่าผิดแผนไหม พร้อมเช็คว่าเรามีวินัยในการใส่ชิ้นงานไหม
วินัยคือสิ่งสำคัญที่สุดของการจัดฟันแบบนี้เลยค่ะ เพราะถ้าเราใส่แล้ว ถอดตอนทานข้าว แล้วลืม หรือขี้เกียจใส่กลับเข้าไปใหม่หลังทานเสร็จ ปล่อยฟันสบายถึงเย็น ปัญหาเกิดแน่ๆค่ะ
เพราะเมื่อฟันไม่ได้รับการดัดในเวลาที่เพียงพอ ฟันจะไม่ลงล็อคกับเซ็ตถัดไปในเวลาที่สมควร พอเราใส่เซ็ตถัดไป จะปวดมากกกกก
เราจึงต้องเตือนตัวเองให้รีบใส่ชิ้นงานทันทีหลังทานอะไรเสร็จเสมอค่ะ
***ความรู้สึกระหว่างจัดฟันแบบใสคือ***
2 วันแรกที่ใส่เซ็ตใหม่จะปวดฟันปวดเหงือกมากค่ะ เพราะฟันโดนดันให้เคลื่อนตัว วิธีแก้คือ ยาแก้ปวด และอาหารอ่อนๆค่ะ
วันที่ 3-5 อาจจะยังตึงๆฟัน แต่พอวันที่ 6-14 ก็จะสบายแล้วค่ะ
เป็นแบบนี้ วนลูปไป เซ็ตแล้ว เซ็ตเล่า
จนมาถึงเซ็ตที่ 12 เราก็นึกว่าจะจบสิ้นกันที ฟันเป็นอิสระเสรีแล้ว
แต่!!
เราลืมไปค่ะว่า หมอเคยบอกว่า เคสของเราที่ฟันหน้าห่างก็เพราะ มีตัวติ่งเหงือกคั่นตรงกลาง
หมอเรียกว่า ฟรีนุ่ม มาเสิชทีหลัง ภาษาไทยเรียกว่า เอ็นยึดร่องเหงือก มันเป็นพังผืดที่ยึดปากบนเราไว้กับเหงือกค่ะ
ไม่รู้ว่าธรรมชาติสร้างเอาไว้ทำอะไร แต่เราต้องตัดมันออกค่ะ!!!
หมอเห็นว่าเราใกล้จะจัดฟันถึงเซ็ตสุดท้ายแล้วจึงเรียกเราไปผ่าพังผืดนี้ก่อนค่ะ เพราะมันจะระบม ใส่รีเทนเนอร์ไม่ได้ (รีเทนเนอร์จะหุ้มขึ้นมาถึงเหงือก ส่วน Invisalign จะหุ้มแค่ฟัน)
เราก็มาผ่าคิดว่า ผ่านการผ่าเหงือก เอาฟัน 5 ซี่ออกได้แล้ว เรื่องแค่นี้สบ๊ายยยยย
แต่ๆๆ พอผ่าเสร็จเห็นแผลคือ ช็อค! เพราะไม่ใช่แค่ตัดติ่งระหว่างฟันออก
แต่หมอต้องผ่าขึ้นไปถึงปากบนของเราค่ะ แผลยาวกว่าที่คิด
ผ่ารอบนี้เราลืมประคบเย็น ตื่นมาปากบวมค่า
หลังจากประคบเย็น หายบวม อีก 1 สัปดาห์ก็ไปตัดไหม ตามปกติค่ะ
พอหายระบมเราก็กลับมาใส่ Invisalign จนครบ 14 เซ็ต
จึงนัดเข้าไปให้หมอตรวจ และเริ่มพิมพ์ปากทำรีเทนเนอร์
หมอก็จะเอา ปุ่ม บนฟันเราออก ตรวจและเก็บงานในช่องปากเรา ให้สวยกิ๊ง
วันนั้นเราก็ส่องกระจกดูฟันอีกที รู้สึกเลยว่าฟันเรียงตัวสวยงามขึ้นมาก ประทับใจจนต้องถ่ายภาพทันที
ไม่นานหมอส่งภาพเปรียบเทียบฟันเรามาให้ดูค่ะ เพิ่งเห็นว่า ฟันเราหุบเข้าหากันขนาดนี้!
ภาพแอบสยอง ทำใจก่อนกดดูในสปอยนะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(กลับไปเทียบกับตอนจัดฟันแรกๆก็ต่างชัด)
หลังจากดัดฟันเสร็จ เพื่อนทุกคนทักค่ะว่า ฟันสวยมาก ฟันดูต่างจากเมื่อก่อนเลย มีเพื่อนคนนึงเม้นว่าฟันเรียงตัวน่ารัก!? 5555
โดยสรุป คือจัดฟันไปแค่ 7 เดือน เห็นความต่างชัดเลย (ไม่รวมเวลาผ่าตัดฟันเกินในช่วงแรก)
ตอนนี้ก็เลยฝึกยิ้มแบบเห็นฟันอยู่ค่ะ เพราะไม่ได้ยิ้มมานานมาก เวลายิ้มแล้วดูเกร็ง ดูแปลกๆ
ถึงจะยังเกร็งๆบ้าง พอยิ้มแบบเห็นฟันแล้ว เพื่อนๆก็บอกว่าดูสดใสมาก ไม่เหมือนเมื่อก่อนค่ะ
เล่ามาซะยืดยาว ตอนแรกว่าจะรีวิวสั้นๆ
จริงๆก็เพราะรู้สึกเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งสำคัญ เลยตื่นเต้นในทุกขั้นตอน อยากแชร์
จากคนที่ไม่ค่อยไปหาหมอฟัน กลายเป็นว่า ผ่านมาทุกกระบวนการแล้ว
ในเวลาไม่ถึงปี ผ่า ถอน เลื่อย ดัด ตัด เย็บ
โดยรวมรู้สึกว่าการจัดฟันครั้งนี้ คุ้มค่ามาก เพราะทำแล้วเรารู้สึกสบายใจกับตัวเอง ได้ยิ้มสดใส มั่นใจมากกว่าเดิม ได้ฝึกวินัยตัวเองด้วย หมอก็ใจดีทุกคน พูดคุยเข้าใจกันดี ทั้งหมอจัดฟัน หมอผ่า ทุกคนเชี่ยวชาญน่าไว้ใจ คนนอยอย่างเราเลยกล้าฝากไข้ ฝากฟันค่ะ
หวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังสนใจการจัดฟันแบบ Invisalign ไม่มากก็น้อยนะคะ :]
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้