Xiaomi ยังคงเดินหน้าลุยตลาดอุปกรณ์สวมใส่เน้นๆและในบรรดาตระกูล Mi Band ถือว่าเป็น Smartband ที่ได้รับความนิยมมากๆในบรรดา Smartband ทั้งหมด และ แน่นอนว่าแม้จะมีคู่แข่งอะไรเยอะแยะมากขึ้นแต่ความโดดเด่นความเก๋าของรุ่นนี้ยังคงนำหน้าคู่แข่งในงบราคาเท่ากัน ทั้งเรื่องของสเปก ฟีเจอร์ คุณภาพ และหน้าจอใช้งานต่างๆที่หาคู่แข่งได้ยาก และล่าสุดในไทยก็ได้เปิดตัว Mi Band 5 ไปแล้วนั้นเอง ในรุ่นนี้ต้องบอกว่าพัฒนาเพิ่มเติมจากเดิมจากรุ่น 4 มาแบบชัดเจนครับทั้งหน้าจอ และ ฟีเจอร์รวมถึงการพัฒนาการชาร์จแบบใหม่แล้วในรุ่นนี้ครับ
Xiaomi Mi Band 5 เปิดตัวมาด้วยการปรับปรุงจากรุ่นเดิมพอสมควรทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น 1.1 นิ้ว ซึ่งถือว่ามีขนาดหน้าจอใหญ่กว่ารุ่นที่ผ่านมาถึง 20% ทำให้สามารถแสดงผลได้ละเอียดมากขึ้น สำหรับฟังก์ชันกีฬาของเจ้า Mi Band 5 จะมีให้เลือกใช้งานถึง 11 โหมด และตัวเครื่องของมันยังกันน้ำได้ถึง 5ATM หรือว่า 50 เมตรนั่นเอง การตรวจจับการนอน 24 ชั่วโมงทั้งการงีบหลับ, light sleep และ REM deep sleep อีกทั้งยังมีการตรวจจับความเครียด, การฝึกการหายใจ และการตรวจจับ activity ต่าง ๆ นอกจากนี้ Mi Band 5 ยังมีการตรวจวัดสุขภาพของสุภาพสตรีอีกด้วย เช่น ช่วงเวลาการมีประจำเดือน เป็นต้น และมันยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถอยู่ได้นานสูงสุดถึง 20 วัน และ ยังออกแบบที่ชาร์จแบบใหม่ที่ไม่ต้องถอดสายเวลาชาร์จแล้วด้วยเช่นกันครับ และ ทางด้านราคาจำหน่ายในไทยนั้นจะอยู่ที่ 1,190 บาท พร้อมกับการรับประกับศูนย์ไทยครับผม
UNBOX
- ตัว MiBand 5
- สายยาง ซิลิโคน สีดำ
- ที่ชาร์จ แบบใหม่
- คู่มือ
DESIGN
การออกแบบนั้นถือว่าไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้มากถ้าดูรวมๆครับแต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดต่างๆของตัวเรือน และ ข้างในซะมากกว่าแน่นอนว่าหน้าจอนั้นที่แตกต่างกันชัดๆเลย จะเป็นหน้าจอแบบสีที่ใหญ่ขึ้นและมีความโค้งมนมากขึ้น ดูออกเลยว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า และยังคงใช้งานหน้าจอเรียบๆแบบนี้นั้นติดฟิล์มอะไรได้ง่ายๆและทำให้รักษาได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนขนาดต่างๆไม่ได้แตกต่างอะไรมาก แต่ะจะเห็นการออกแบบตัวสายรัดแบบใหม่ที่จะโชว์ตัวเรือนมากขึ้นกว่าเดิม และ มีความเป็นสายโมดูลแยกกันชัดเจนแต่มีเอกลักษณ์เดิมได้อย่างดีเลยครับ
ในส่วนของด้านหลังนั้นจะเห็นว่าเป็นเซนเซอร์การวัดชีพจรอะไรต่างๆ และ ในรุ่นนี้ก็ได้เพิ่มเซนเซอร์ต่างๆเข้ามาในตัวเรือน การชาร์จนั้นยังคงใช้แบบ แถบทองแดง 2 จุดครับ และที่ชาร์จแบบใหม่ทำให้ไม่ต้องถอดสายชาร์จแล้วนั้นเอง แม้จะเป็นตำแหน่งชาร์จแบบเดิมแต่ก็เปลี่ยนหัวใหม่ใช้ง่ายขึ้นเยอะ ส่วนด้านข้างนั้นจะเห็นว่าเรียบๆเช่นเดิมแต่มีการออกแบบสายใหม่ทำให้ตัวเครื่องดูบางขึ้น เห็นด้านหลัง และ หน้าจอได้พอดีกัน
ตัวเรือนยังคงสามารถถอดออกจากตัวสายได้เหมือนเดิมครับ ตัวสายอย่างที่บอกหน้าตาอะไรคุ้นๆกันรุ่นก่อนหน้าสามารถใช้งานด้วยกันได้ และการล็อกอะไรต่างๆนั้นยังทำได้ดีแน่นพอสมควรครับ ตัวสายวัสดุต่างๆยังทำได้ดีเหมือนเดิมเป็นซิลิโคนที่นิ่ม และ ใช้งานได้ดีเวลาสวมใส่ไม่ระคายหรือแพ้อะไรครับ ตัวล็อกต่างๆของสายนั้นยังเป็นแบบเดิมที่สามารถปรับได้ค่อนข้างเยอะและล็อกได้ดี ตัวสายสามารถเปลี่ยนได้ค่อนข้างหลากหลายทั้งสีและแบบสามารถสั่งได้ตามร้านข้างนอกทั่วไปที่ขายกับตามเว็บได้เลยครับ หรือจะสั่งออนไลน์จากต่างประเทศพวกนั้นก็มีให้เลือกเยอะมากๆ
ตัวเรือนของ Mi band 5 เมื่อถอดออกมาแล้วนั้นมีขนาดเล็กๆรูปทรงที่คุ้นเคยกันวัสดุเป็นพลาสติกหลักๆและหน้าจอนั้นก็เป็นวัสดุเงาที่มีขอบโค้งรอบๆแต่หน้าจอนั้นเรียบขึ้น และใหญ่กว่าเดิมเนื่องจากมันเป็นหน้าจอสี และเต็มตามากขึ้นกว่ารุ่น 4 และตัดขอบโค้งสวยงามมากครับ ก็ถือว่ายังมองได้ชัดเจนและสู้แสงได้ดีครับ สามารถสัมผัสได้แบบเต็มรูปแบบ และ มีปุ่มตรงด้านล่างคล้ายๆปุ่ม Home หลักนั้นเอง ด้านหลังก็เป็นเซนเซอร์ทั้งหมด และ แถบชาร์จแบต รวมถึงโลโก้ Mi ด้วย ส่วนตรงกลางนั้นจะเป็นเว้าเข้าไปเมื่อมองจากด้านข้างทำให้เพื่อที่จะล็อกกับตัวสายได้เมื่อเสียบเข้าไปครับงานออกแบบตัวเรือนนั้นคล้ายกับรุ่นก่อนๆแต่จะเปลี่ยนแนวสายที่ล็อกแบบใหม่ในด้านข้างเท่านั้นเองครับ
SPEC
- หน้าจอ AMOLED สี 24bit ขนาด 1.1 นิ้ว (126 x 294 พิกเซล) ที่มีความสว่างมากกว่า 450 nits, ใช้กระจกกันรอยแบบ 2.5D, เคลือบ AF coating
- แสดงเวลา, จำนวนก้าว, อัตราการเต้นของหัวใจ, activity, สภาพอากาศ, การแจ้งเตือนจากแอปและการโทร ฯลฯ
- เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และ มีเซนเซอร์ PPG
- ตรวจจับการนอน, การขยับร่างกาย และการอยู่นิ่งตลอด 24 ชั่วโมง
- โหมดกีฬา 11 โหมดได้แก่ วิ่งกลางแจ้ง, การเดิน, การปั่นจักรยาน, การวิ่งในร่ม, การว่ายน้ำ, การออกกำลัง, ปั่นจักรยานในร่ม, การใช้เครื่อง elliptical machine, การกระโดดเชือก, โยคะ และการใช้เครื่อง rowing machine
- ระบบวิเคราะห์ค่า PAI, การตรวจจับสุขภาพของสตรี : ช่วงเวลามีประจำเดือน, ช่วงเวลาตกไข่
- ระบบ AI ผู้ช่วยส่วนตัว Xiao Ai’s voice assistant (ในรุ่น NFC )
- กันน้ำ 5ATM (50 เมตร)
- Bluetooth 5.0 LE, NFC (ในรุ่นที่มี)
- ขนาดตัวเครื่อง: 47.2 x 18.5 x 12.4mm; น้ำหนัก: 11.9g / 12.1g (ในรุ่น NFC)
- แบตเตอรี่ 125 mAh ที่ใช้งานได้ถึง 14 วันในโหมดปกติ และ 20 ในโหมดประหยัดแบตเตอรี่
SOFTWARE
ทางด้านระบบหน้าตาของตัวแอพยังคงใช้งานหลักๆเป็นแอพของ Mi Fit ครับ แต่หน้าตาดูดีใช้งานได้ง่ายขึ้นสามารถหาโหลดใช้งานได้จากทาง Playstore – Appstore ได้เลยสามารถลงทะเบียนและใช้งานได้ครับ ส่วนเรื่องของการเชื่อมต่อก็ทำตามขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ แต่แนะนำให้ชาร์จแบตไว้ก่อนสำหรับตัว Mi band ก่อนที่จะทำการซิงค์ ส่วนหน้าตาก็การใช้งานนั้นก็เข้าใจได้ง่ายครับไม่ยุ่งยากรองรับภาษาไทยได้สำหรับตัวแอป ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ตามภาษาหลักของเครื่องครับ แต่ถ้าบนตัวนาฬิกาพวกเมนูชื่อเมนูการใช้งานอาจจจะยังไม่รองรับในตอนนี้ รออัปเดตจะรองรับแน่นอนครับ แต่ถ้าการแจ้งเตือนอะไรพวกนี้นั้นสามารถใช้งานภาษาไทยได้ทันทีเลยครับไม่ต้องรออัปเดต
ตัวหน้าตาหลักๆนั้นจะเป็น 3 ส่วนครับคือหน้าหลัก บอกข้อมูล – หน้าเพื่อน – และหน้าการตั้งค่าครับ ซึ่งก็สามารถปรับแต่งและดูข้อมูลได้ง่าย หน้าตาใช้งานไม่ยากครับผม รองรับภาษาไทยได้ด้วยตามภาษาตัวเครื่อง และข้อมูลต่างๆนั้นเราต้องป้อนน้ำหนักส่วนสูงไปด้วยเพื่อที่จะคำนวณข้อมูลอะไรต่างๆออกมาได้ง่ายขึ้นเยอะครับ
ส่วนหน้าแรกนั้นถ้าเราเลือกแทบด้านบนก็จะสามารถเข้าไปในส่วนการออกกำลังได้เลยครับทั้งวิ่ง เดิน หรือ ปั่นจักรยาน และ ถ้าเข้ามาในตั้งค่าส่วนของตัว นาฬิกาสามารถปรับแต่งได้เยอะมากก ทั้งเรื่องข้อมูล การแจ้งเตือนอีกมากมายครับ เช่นในภาพตรงกลางก็จะสามารถตั้งค่าเรื่องการล็อกแบนด์ได้ แจ้งสายเรียกเข้า แจ้งกิจกรรม ปลุก แอปต่างๆได้ทั้งหมด รวมถึงการตั้งค่าการสวมใส่ โหมดกลางคืนที่จะหรี่แสงหน้าจอเอง หรือจะเป็นการยกข้อมือที่จะหน้าจอติดเองครับผม เป็นการตั้งค่าที่ปรับแต่งได้เยอะมากๆเลยครับ และหน้าตาของ Watchface ก็พัฒนาขึ้นเยอะด้วย
Watchface นั้นมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ และ มีแบบขยับได้ด้วยเช่นกันครับรวมถึงในบางหน้าตานั้นจะสามารถเปลี่ยนส่วนที่โชว์ได้ว่าจะให้โชว์อะไรทั้ง แคล ก้าว หรือ ชีพจรครับหลักๆที่เปลี่ยนได้จะเป็นหน้าตาเดิมๆจากเครื่องนั้นเอง ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีเพราะในรุ่นก่อนเราบ่นกันไปว่า ควรจะปรับเปลี่ยนเองได้บ้างและในรุ่นนี้ทำได้แล้วนั้นเองครับ
การตั้งค่านั้นปรับแต่งได้เยอะขึ้นครับในส่วนของฟีเจอร์รวมถึงการรองรับการออกกำลังที่จัดเต็มมากขึ้น และ ปรับแต่งหน้าตาได้เยอะพอสมควร รวมถึงดารตั้งค่าการแจ้งเตือนตามแอป แน่นอนว่าตัวนี้รองรับภาษาไทยพร้อมใช้งาน
SCREEN
อีกจุดของเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดคงเป็นเรื่องของหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.10 นิ้ว AMOLED พร้อมกับ 126 x 294 pixels และรองรับความสว่าง สูงสุด 450 nits และสามารถปรับความสว่างได้ ครอบทับด้วยกระจก 2.5D และแน่นอนว่าการเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบสีต่อยอดจากเดิม เพิ่มเติมคือขนาดใหญ่กว่าเดิมชัดเจน ของเดิม 0.96 นิ้วครับ และแน่นอนว่าขอบหน้าจอตัดมุมโค้งสวยงามขึ้นดูดีขึ้นมา และในเรื่องของความสว่างและการสู้แสงครับ หน้าจอนั้นสู้แสงได้ดีมากๆเมื่อปรับระดับสูงสุด มองเห็นได้สบายๆครับ ส่วนเรื่องของสีสันต่างๆนั้นทำได้ดีสมกับ AMOLED และสีค่อนข้างสวยและมีความละเอียดอยู่ในระดับที่รับได้และไม่ได้แย่เลยครับ และโทนสีสวยชัดเจนมาก
ส่วนเรื่องของการสู้แสงแดดนั้น ปรับทั้งหมด 5 ระดับและบอกเลยว่าระดับสูงสุดนั้นสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดีมากๆ หรือเจอแสงสะท้อนก็ทำได้ดีแบบในภาพแม้จะเจอแสงรบกวนก็สามารถมองเห็นตัวเล็กได้ดีและสีสันอะไรยังคงมาครบ ตัวจอรองรับมุมมองได้กว้างมากๆครับคือมองแบบเอียงๆหรือเฉียงๆแค่ไหนก็ยังไม่เจอผิดเพี้ยนหรือมองไม่เห็นเลยแม้จะเอียงเยอะแล้วก็ตามครับ ส่วนหน้าจอนั้นเปลี่ยนให้มีการออกแบบสวยขึ้นเต็มมากขึ้นขนาดใหญ่กว่าเดิม ขอบโค้งสวย
TOUCH
การสัมผัสนั้นรุ่นนี้จะสามารถแตะสัมผัสได้ทั้งหมด และอิสระมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่ปุ่มข้างล่างหรือแตะเลื่อนแล้วยังสามารถกดเป็นส่วนๆ ปุ่มได้เช่นเวลากดควบคุมเพลงอะไรแบบนั้นเนื่องด้วยการใช้หน้าจอแบบสี AMOLED ที่ใหญ่ขึ้นทำให้การสัมผัสนั้นทำได้ดีขึ้นเยอะครับ ปุ่มหลักๆด้านล่างก็ยังคงมีมาให้อยู่ นอกเหนือจากการสัมผัสด้านหน้าจอครับ การควบคุมหลักๆคือ หน้าหลัก ปัดมาซ้ายเป็นแจ้งเตือน วนไปเรื่อยๆจนมาหน้าหลักได้ ปัดไปขวาจะเป็นควบคุมเพลง ส่วนปัดขึ้นลงก็เป็นการเข้าโหมดเมนูข้างๆครับ ส่วนถ้าจะเข้าหน้าหลักก็กดปุ่ม โฮมด้านล่างครับ และถ้าจะดับหน้าจอก็เอามือทับนาฬิกาทั้งหมดก็จะดับไปเลยครับเป็นการปิดหน้าจอแบบเร็วครับทำได้ดีตอบสนองได้ไวเช่นเดิมเลย
[SR] รีวิว XIAOMI MI BAND 5 จอใหญ่ขึ้น พร้อมที่ชาร์จแบบใหม่ ราคาคุ้ม !
Xiaomi ยังคงเดินหน้าลุยตลาดอุปกรณ์สวมใส่เน้นๆและในบรรดาตระกูล Mi Band ถือว่าเป็น Smartband ที่ได้รับความนิยมมากๆในบรรดา Smartband ทั้งหมด และ แน่นอนว่าแม้จะมีคู่แข่งอะไรเยอะแยะมากขึ้นแต่ความโดดเด่นความเก๋าของรุ่นนี้ยังคงนำหน้าคู่แข่งในงบราคาเท่ากัน ทั้งเรื่องของสเปก ฟีเจอร์ คุณภาพ และหน้าจอใช้งานต่างๆที่หาคู่แข่งได้ยาก และล่าสุดในไทยก็ได้เปิดตัว Mi Band 5 ไปแล้วนั้นเอง ในรุ่นนี้ต้องบอกว่าพัฒนาเพิ่มเติมจากเดิมจากรุ่น 4 มาแบบชัดเจนครับทั้งหน้าจอ และ ฟีเจอร์รวมถึงการพัฒนาการชาร์จแบบใหม่แล้วในรุ่นนี้ครับ
Xiaomi Mi Band 5 เปิดตัวมาด้วยการปรับปรุงจากรุ่นเดิมพอสมควรทางด้านหน้าจอนั้นใช้งานหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น 1.1 นิ้ว ซึ่งถือว่ามีขนาดหน้าจอใหญ่กว่ารุ่นที่ผ่านมาถึง 20% ทำให้สามารถแสดงผลได้ละเอียดมากขึ้น สำหรับฟังก์ชันกีฬาของเจ้า Mi Band 5 จะมีให้เลือกใช้งานถึง 11 โหมด และตัวเครื่องของมันยังกันน้ำได้ถึง 5ATM หรือว่า 50 เมตรนั่นเอง การตรวจจับการนอน 24 ชั่วโมงทั้งการงีบหลับ, light sleep และ REM deep sleep อีกทั้งยังมีการตรวจจับความเครียด, การฝึกการหายใจ และการตรวจจับ activity ต่าง ๆ นอกจากนี้ Mi Band 5 ยังมีการตรวจวัดสุขภาพของสุภาพสตรีอีกด้วย เช่น ช่วงเวลาการมีประจำเดือน เป็นต้น และมันยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ที่สามารถอยู่ได้นานสูงสุดถึง 20 วัน และ ยังออกแบบที่ชาร์จแบบใหม่ที่ไม่ต้องถอดสายเวลาชาร์จแล้วด้วยเช่นกันครับ และ ทางด้านราคาจำหน่ายในไทยนั้นจะอยู่ที่ 1,190 บาท พร้อมกับการรับประกับศูนย์ไทยครับผม
UNBOX
- ตัว MiBand 5
- สายยาง ซิลิโคน สีดำ
- ที่ชาร์จ แบบใหม่
- คู่มือ
DESIGN
การออกแบบนั้นถือว่าไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้านี้มากถ้าดูรวมๆครับแต่จะแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดต่างๆของตัวเรือน และ ข้างในซะมากกว่าแน่นอนว่าหน้าจอนั้นที่แตกต่างกันชัดๆเลย จะเป็นหน้าจอแบบสีที่ใหญ่ขึ้นและมีความโค้งมนมากขึ้น ดูออกเลยว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า และยังคงใช้งานหน้าจอเรียบๆแบบนี้นั้นติดฟิล์มอะไรได้ง่ายๆและทำให้รักษาได้ง่ายกว่าเดิมอีกด้วย ส่วนขนาดต่างๆไม่ได้แตกต่างอะไรมาก แต่ะจะเห็นการออกแบบตัวสายรัดแบบใหม่ที่จะโชว์ตัวเรือนมากขึ้นกว่าเดิม และ มีความเป็นสายโมดูลแยกกันชัดเจนแต่มีเอกลักษณ์เดิมได้อย่างดีเลยครับ
ในส่วนของด้านหลังนั้นจะเห็นว่าเป็นเซนเซอร์การวัดชีพจรอะไรต่างๆ และ ในรุ่นนี้ก็ได้เพิ่มเซนเซอร์ต่างๆเข้ามาในตัวเรือน การชาร์จนั้นยังคงใช้แบบ แถบทองแดง 2 จุดครับ และที่ชาร์จแบบใหม่ทำให้ไม่ต้องถอดสายชาร์จแล้วนั้นเอง แม้จะเป็นตำแหน่งชาร์จแบบเดิมแต่ก็เปลี่ยนหัวใหม่ใช้ง่ายขึ้นเยอะ ส่วนด้านข้างนั้นจะเห็นว่าเรียบๆเช่นเดิมแต่มีการออกแบบสายใหม่ทำให้ตัวเครื่องดูบางขึ้น เห็นด้านหลัง และ หน้าจอได้พอดีกัน
ตัวเรือนยังคงสามารถถอดออกจากตัวสายได้เหมือนเดิมครับ ตัวสายอย่างที่บอกหน้าตาอะไรคุ้นๆกันรุ่นก่อนหน้าสามารถใช้งานด้วยกันได้ และการล็อกอะไรต่างๆนั้นยังทำได้ดีแน่นพอสมควรครับ ตัวสายวัสดุต่างๆยังทำได้ดีเหมือนเดิมเป็นซิลิโคนที่นิ่ม และ ใช้งานได้ดีเวลาสวมใส่ไม่ระคายหรือแพ้อะไรครับ ตัวล็อกต่างๆของสายนั้นยังเป็นแบบเดิมที่สามารถปรับได้ค่อนข้างเยอะและล็อกได้ดี ตัวสายสามารถเปลี่ยนได้ค่อนข้างหลากหลายทั้งสีและแบบสามารถสั่งได้ตามร้านข้างนอกทั่วไปที่ขายกับตามเว็บได้เลยครับ หรือจะสั่งออนไลน์จากต่างประเทศพวกนั้นก็มีให้เลือกเยอะมากๆ
ตัวเรือนของ Mi band 5 เมื่อถอดออกมาแล้วนั้นมีขนาดเล็กๆรูปทรงที่คุ้นเคยกันวัสดุเป็นพลาสติกหลักๆและหน้าจอนั้นก็เป็นวัสดุเงาที่มีขอบโค้งรอบๆแต่หน้าจอนั้นเรียบขึ้น และใหญ่กว่าเดิมเนื่องจากมันเป็นหน้าจอสี และเต็มตามากขึ้นกว่ารุ่น 4 และตัดขอบโค้งสวยงามมากครับ ก็ถือว่ายังมองได้ชัดเจนและสู้แสงได้ดีครับ สามารถสัมผัสได้แบบเต็มรูปแบบ และ มีปุ่มตรงด้านล่างคล้ายๆปุ่ม Home หลักนั้นเอง ด้านหลังก็เป็นเซนเซอร์ทั้งหมด และ แถบชาร์จแบต รวมถึงโลโก้ Mi ด้วย ส่วนตรงกลางนั้นจะเป็นเว้าเข้าไปเมื่อมองจากด้านข้างทำให้เพื่อที่จะล็อกกับตัวสายได้เมื่อเสียบเข้าไปครับงานออกแบบตัวเรือนนั้นคล้ายกับรุ่นก่อนๆแต่จะเปลี่ยนแนวสายที่ล็อกแบบใหม่ในด้านข้างเท่านั้นเองครับ
SPEC
- หน้าจอ AMOLED สี 24bit ขนาด 1.1 นิ้ว (126 x 294 พิกเซล) ที่มีความสว่างมากกว่า 450 nits, ใช้กระจกกันรอยแบบ 2.5D, เคลือบ AF coating
- แสดงเวลา, จำนวนก้าว, อัตราการเต้นของหัวใจ, activity, สภาพอากาศ, การแจ้งเตือนจากแอปและการโทร ฯลฯ
- เซนเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และ มีเซนเซอร์ PPG
- ตรวจจับการนอน, การขยับร่างกาย และการอยู่นิ่งตลอด 24 ชั่วโมง
- โหมดกีฬา 11 โหมดได้แก่ วิ่งกลางแจ้ง, การเดิน, การปั่นจักรยาน, การวิ่งในร่ม, การว่ายน้ำ, การออกกำลัง, ปั่นจักรยานในร่ม, การใช้เครื่อง elliptical machine, การกระโดดเชือก, โยคะ และการใช้เครื่อง rowing machine
- ระบบวิเคราะห์ค่า PAI, การตรวจจับสุขภาพของสตรี : ช่วงเวลามีประจำเดือน, ช่วงเวลาตกไข่
- ระบบ AI ผู้ช่วยส่วนตัว Xiao Ai’s voice assistant (ในรุ่น NFC )
- กันน้ำ 5ATM (50 เมตร)
- Bluetooth 5.0 LE, NFC (ในรุ่นที่มี)
- ขนาดตัวเครื่อง: 47.2 x 18.5 x 12.4mm; น้ำหนัก: 11.9g / 12.1g (ในรุ่น NFC)
- แบตเตอรี่ 125 mAh ที่ใช้งานได้ถึง 14 วันในโหมดปกติ และ 20 ในโหมดประหยัดแบตเตอรี่
SOFTWARE
ทางด้านระบบหน้าตาของตัวแอพยังคงใช้งานหลักๆเป็นแอพของ Mi Fit ครับ แต่หน้าตาดูดีใช้งานได้ง่ายขึ้นสามารถหาโหลดใช้งานได้จากทาง Playstore – Appstore ได้เลยสามารถลงทะเบียนและใช้งานได้ครับ ส่วนเรื่องของการเชื่อมต่อก็ทำตามขั้นตอนไม่ยุ่งยากครับ แต่แนะนำให้ชาร์จแบตไว้ก่อนสำหรับตัว Mi band ก่อนที่จะทำการซิงค์ ส่วนหน้าตาก็การใช้งานนั้นก็เข้าใจได้ง่ายครับไม่ยุ่งยากรองรับภาษาไทยได้สำหรับตัวแอป ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ตามภาษาหลักของเครื่องครับ แต่ถ้าบนตัวนาฬิกาพวกเมนูชื่อเมนูการใช้งานอาจจจะยังไม่รองรับในตอนนี้ รออัปเดตจะรองรับแน่นอนครับ แต่ถ้าการแจ้งเตือนอะไรพวกนี้นั้นสามารถใช้งานภาษาไทยได้ทันทีเลยครับไม่ต้องรออัปเดต
ตัวหน้าตาหลักๆนั้นจะเป็น 3 ส่วนครับคือหน้าหลัก บอกข้อมูล – หน้าเพื่อน – และหน้าการตั้งค่าครับ ซึ่งก็สามารถปรับแต่งและดูข้อมูลได้ง่าย หน้าตาใช้งานไม่ยากครับผม รองรับภาษาไทยได้ด้วยตามภาษาตัวเครื่อง และข้อมูลต่างๆนั้นเราต้องป้อนน้ำหนักส่วนสูงไปด้วยเพื่อที่จะคำนวณข้อมูลอะไรต่างๆออกมาได้ง่ายขึ้นเยอะครับ
ส่วนหน้าแรกนั้นถ้าเราเลือกแทบด้านบนก็จะสามารถเข้าไปในส่วนการออกกำลังได้เลยครับทั้งวิ่ง เดิน หรือ ปั่นจักรยาน และ ถ้าเข้ามาในตั้งค่าส่วนของตัว นาฬิกาสามารถปรับแต่งได้เยอะมากก ทั้งเรื่องข้อมูล การแจ้งเตือนอีกมากมายครับ เช่นในภาพตรงกลางก็จะสามารถตั้งค่าเรื่องการล็อกแบนด์ได้ แจ้งสายเรียกเข้า แจ้งกิจกรรม ปลุก แอปต่างๆได้ทั้งหมด รวมถึงการตั้งค่าการสวมใส่ โหมดกลางคืนที่จะหรี่แสงหน้าจอเอง หรือจะเป็นการยกข้อมือที่จะหน้าจอติดเองครับผม เป็นการตั้งค่าที่ปรับแต่งได้เยอะมากๆเลยครับ และหน้าตาของ Watchface ก็พัฒนาขึ้นเยอะด้วย
Watchface นั้นมีเยอะขึ้นเรื่อยๆ และ มีแบบขยับได้ด้วยเช่นกันครับรวมถึงในบางหน้าตานั้นจะสามารถเปลี่ยนส่วนที่โชว์ได้ว่าจะให้โชว์อะไรทั้ง แคล ก้าว หรือ ชีพจรครับหลักๆที่เปลี่ยนได้จะเป็นหน้าตาเดิมๆจากเครื่องนั้นเอง ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ดีเพราะในรุ่นก่อนเราบ่นกันไปว่า ควรจะปรับเปลี่ยนเองได้บ้างและในรุ่นนี้ทำได้แล้วนั้นเองครับ
การตั้งค่านั้นปรับแต่งได้เยอะขึ้นครับในส่วนของฟีเจอร์รวมถึงการรองรับการออกกำลังที่จัดเต็มมากขึ้น และ ปรับแต่งหน้าตาได้เยอะพอสมควร รวมถึงดารตั้งค่าการแจ้งเตือนตามแอป แน่นอนว่าตัวนี้รองรับภาษาไทยพร้อมใช้งาน
SCREEN
อีกจุดของเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดคงเป็นเรื่องของหน้าจอ AMOLED ขนาด 1.10 นิ้ว AMOLED พร้อมกับ 126 x 294 pixels และรองรับความสว่าง สูงสุด 450 nits และสามารถปรับความสว่างได้ ครอบทับด้วยกระจก 2.5D และแน่นอนว่าการเปลี่ยนมาใช้งานหน้าจอแบบสีต่อยอดจากเดิม เพิ่มเติมคือขนาดใหญ่กว่าเดิมชัดเจน ของเดิม 0.96 นิ้วครับ และแน่นอนว่าขอบหน้าจอตัดมุมโค้งสวยงามขึ้นดูดีขึ้นมา และในเรื่องของความสว่างและการสู้แสงครับ หน้าจอนั้นสู้แสงได้ดีมากๆเมื่อปรับระดับสูงสุด มองเห็นได้สบายๆครับ ส่วนเรื่องของสีสันต่างๆนั้นทำได้ดีสมกับ AMOLED และสีค่อนข้างสวยและมีความละเอียดอยู่ในระดับที่รับได้และไม่ได้แย่เลยครับ และโทนสีสวยชัดเจนมาก
ส่วนเรื่องของการสู้แสงแดดนั้น ปรับทั้งหมด 5 ระดับและบอกเลยว่าระดับสูงสุดนั้นสู้แสงแดดกลางแจ้งได้ดีมากๆ หรือเจอแสงสะท้อนก็ทำได้ดีแบบในภาพแม้จะเจอแสงรบกวนก็สามารถมองเห็นตัวเล็กได้ดีและสีสันอะไรยังคงมาครบ ตัวจอรองรับมุมมองได้กว้างมากๆครับคือมองแบบเอียงๆหรือเฉียงๆแค่ไหนก็ยังไม่เจอผิดเพี้ยนหรือมองไม่เห็นเลยแม้จะเอียงเยอะแล้วก็ตามครับ ส่วนหน้าจอนั้นเปลี่ยนให้มีการออกแบบสวยขึ้นเต็มมากขึ้นขนาดใหญ่กว่าเดิม ขอบโค้งสวย
TOUCH
การสัมผัสนั้นรุ่นนี้จะสามารถแตะสัมผัสได้ทั้งหมด และอิสระมากกว่าเดิมไม่ใช่แค่ปุ่มข้างล่างหรือแตะเลื่อนแล้วยังสามารถกดเป็นส่วนๆ ปุ่มได้เช่นเวลากดควบคุมเพลงอะไรแบบนั้นเนื่องด้วยการใช้หน้าจอแบบสี AMOLED ที่ใหญ่ขึ้นทำให้การสัมผัสนั้นทำได้ดีขึ้นเยอะครับ ปุ่มหลักๆด้านล่างก็ยังคงมีมาให้อยู่ นอกเหนือจากการสัมผัสด้านหน้าจอครับ การควบคุมหลักๆคือ หน้าหลัก ปัดมาซ้ายเป็นแจ้งเตือน วนไปเรื่อยๆจนมาหน้าหลักได้ ปัดไปขวาจะเป็นควบคุมเพลง ส่วนปัดขึ้นลงก็เป็นการเข้าโหมดเมนูข้างๆครับ ส่วนถ้าจะเข้าหน้าหลักก็กดปุ่ม โฮมด้านล่างครับ และถ้าจะดับหน้าจอก็เอามือทับนาฬิกาทั้งหมดก็จะดับไปเลยครับเป็นการปิดหน้าจอแบบเร็วครับทำได้ดีตอบสนองได้ไวเช่นเดิมเลย
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้