ย้อนกลับไปเมื่อ 39 ปี ที่แล้ว อาจารย์ โยอิชิ ทาคาฮาชิ ได้เขียนการ์ตูนมังงะเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลขึ้นมาเรื่อง นึง ซึ่งในเวลาต่อมามังงะเรื่องนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมแก่วงการฟุตบอลทั่วโลกโดยเป็นแรงบันดาลใจให้ยอดแข้งในยุคปัจจุบันหลายคนจากผลงานปลายปากกาของ อาจารย์ ทาคาฮาชิ
หลังจากที่ อาจารย์ ทาคาฮาชิ จบมัธยมปลายเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะมาเป็นนักเขียนการ์ตูน แทนที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยการเริ่มต้นจาการเป็นมือสมัครเล่นจากนั้นก็ค่อยๆพัฒนาฝีมือขึ้นมา จากนั้นทาง อาจารย์ ทาคาฮาชิ ก็ได้นำผลงานของเขาไปยื่นให้กับสำนักพิมพ์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง ชูเอชะ และได้เข้าทำงานที่นั้นในเวลาต่อมา
โดยจุดเริ่มต้นของการ์ตูน "กัปตัน ซึบาสะ" เริ่มจากที่ อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้ดูการเล่นของ มาริโอ เคมเปส ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ในฟุตบอลโลกปี 1978 ที่เฉิดฉายมากในการแข่งขันครั้งนั้น จนทำให้เขาตันสินใจที่จะถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลลงในผลงานการ์ตูนมังงะของตัวเอง ต่อมา อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้ลงมือเขียนการ์ตูน กัปตัน ซึบาสะ และส่งผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาให้กับ ต้นสังกัด ชูเอชะ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ชนะของ Fresh Jump Award ครั้งที่ 10 ด้วยอายุแค่ 19 ปี เท่านั้น
ซึ่งผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกใน โชเน็นจัมป์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 18 ในวันที่ 13 เมษายน ปี 1981 ซึ่ง ณ ตอนนั้นการ์ตูนฟุตบอลถื่อว่าเป็นแนวต่างออกไปจากงานที่มีอยู่ในท้องตลาดทำให้มังงะเรื่องนี้มีได้รับการตอบรับที่ดีจนทำให้ต้นสังกัดของเขาอย่าง ชูเอชะ ไฟเขียวให้ อาจารย์ ทาคาฮาชิ เขียนซีรีส์ "กัปตัน ซึบาสะ" ต่อไป
ตอนนั้นแต่ละเรื่องใน โชเน็นจัมป์ รายสัปดาห์ ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ดราก้อนบอล, ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่, หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ, เซนต์ เซย่า และ คินนิคุแมน ทว่ามังงะน้องใหม่อย่าง "กัปตัน ซึบาสะ" ก็สามารถสอดแทรกขึ้นมาและเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์หลักในยุคทองของ โชเน็นจัมป์ได้
"กัปตัน ซึบาสะ" ได้รับความนิยมมากจนถูกนำไปทำเป็น อนิเมะ ในปี 1983 ซึ่งออกอากาศครั้งแรกโดย ทีวี โตเกียว สถานีโทรทัศน์ชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น โดยในตัวของ อนิเมะ เองก็ประสบความสำเร็จมากในแดนอาทิศอุทัยไม่แพ้ฉนับการ์ตูนมังงะเลย
หลังจากที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น อนิเมะ เรื่องนี้ก็ได้ไปโอกาสไปฉายในต่างประเทศ จากนั้นการ์ตูนเรื่องนี้ก็เริ่มเป็นแรงบันดาลให้กับนักฟุตบอลวัยเยาว์ก่อนจะเติบโตมาเป็นยอดแข้งในปัจจุบันหลายคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในปี 2012 เฟร์นานโด ตอร์เรส อดีตดาวยิงทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลก ที่ได้มายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อลงทำการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลกกับต้นสังกัดของเขาอย่าง เชลซี ได้ให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ว่า "ผมจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็กสัญญาณในทีวีของเราไม่ค่อยดีนัก แต่ทุกคนในโรงเรียนก็ยังพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับฟุตบอลจากญี่ปุ่น ซีรีย์นี้ในสเปนชื่อว่า Oliver y Benji ผู้เล่นสองคนนี้เริ่มด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนจากนั้นได้เข้าสู่ทีมชาติ แถมชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลก และย้ายไปบาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนความฝัน " ตอร์เรสเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน และได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "ผมเริ่มเล่นฟุตบอลเพราะเหตุนี้ ผมอยากเป็นโอลิเวอร์"
ส่วนแฟนอีกคนที่มีชื่อเสียงคือ อเล็กซิส ซานเชซ กองหน้าของ อินเตอร์ มิลาน โดยทาง นิโคลัส โอเลอา นักเขียนชีวประวัติได้เผยว่า "สมัยที่ อเล็กซิส อยู่กับบาร์เซโลน่าเขามีของสะสมทั้งหมดทุกซีรี่ส์" โอเลอา กล่าว "และผมคิดว่า อเล็กซิส กับอาชีพของเขาเชื่อมโยงกับโลกในจินตนาการนี้ เขามองว่าตัวเองเป็นเหมือนตัวละครวิ่งตลอดไปบนสนามที่ไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อตามเป้าหมายสูงสุดของเขา"
การ์ตูน กัปตัน ซึบาสะ ฉบับอะนิเมะถือว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ยอดแข้งในปัจจุบันหลายคนไม่ว่าจะเป็น ซีเนดีน ซีดาน ตำนานจอมทัพทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี1998 หรือ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ดาวยิงดีกรีแชมป์โลกอีกคนที่เผยว่าตนชื่นบอกการ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังมี ลิโอเนล เมสซี่ หัวหอกกัปตันทีมของบาร์เซโลน่า และอดีตแข้งอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า ที่เปิดใจว่าเขาเป็นอีกคนที่เป็นแฟนบอยของการ์ตูนชุดนี้เช่นกัน
อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้เปรียบเทียบคาแร็คเตอร์ตัวละครกับ 2 นักเตะแห่งยุคอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยเปรียบดาวยิงชาวอาเจนไตน์ เป็นเหมือนกับ โอโซระ ซึบาสะ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ด้านซุปตาร์ชาวโปรตุกีส ถูกเปรียบให้เหมือนกับ เฮียวงะ โคจิโร่ ที่เป็นนักเตะทรงพลัง ดุดัน และมีสัญชาตญาณอันเป็นเลิส
ปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ครองเบอร์ 4 ของอันดับดาวยิงสูงสุดตลอดกาล โดยตามอันดับ 3 อย่าง "ไข่มุกดำ" เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล 17 ประตู หลังจากที่เขากดไป 750 ประตู จากการลงสนามให้กับระดับสโมสรและทีมชาติ ด้าน ลิโอเนล เมสซี่ เองก็ติดท็อป 10 เช่นกัน โดยตอนนี้ ดาวยิงกัปตันทีมบาร์เซโลน่า อยู่รั้งอันดับ 7 หลังจากที่เขาซัดไป 727 ประตู ตามหลัง แกร์ด มุลเลอร์ อันดับ 6 อยู่ 8 ประตู โดยตลอด 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมาทั้งคู่ได้ครองความยิ่งใหญ่และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ซึ่งกัปตันทีมของ "อาซูลกราน่า" คว้า รางวัล บัลลง ดอร์ 6 สมัย ส่วนดาวยิงของ "เบียงโคเนรี่" เองก็ไม่น้อยหน้าคว้าไป 5 สมัย
ซึ่งในแต่ละประเทศที่ทางอะนิเมะ "กัปตัน ซึบาสะ" ได้ถูกนำไปฉายจะมาถูกเปลียนชื่อไปตามท้องถิ่นนั้นๆ ไล่ไปตั้งแต่ ฝรั่งเศส ที่ใช้ชื่อว่า "Olive et Tom" - สเปน : "Campeones: Oliver y Benji" - โปรตุเกสและบราซิล : "Capitao Falcao" - อิตาลี : "Holly e Benji" - โปแลนด์ : "Captain Hawk" - เยอรนี : "Die tollen Fussball Stars"
นอกจากประสบความสําเร็จในแล้วต่างแล้ว ในญี่ปุ่นเองก็ได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนเรื่องน้องไม่น้อยทั้งด้านนักเตะและลีกอาชีพของแดนปลาดิบ อาจารย์ ทาคาฮาชิ เคยให้สัมภาษณ์กับ นิปปอน เว็บไซต์ของประเทศญี่ปุ่น โดยที่เขาถูกถามว่า " การถือกำเนิดของ ซึบาสะ ก่อให้เกิดกระแสของฟุตบอลในประเทศและการพัฒนาของวงการกีฬาญี่ปุ่น ? " ซึ่งเขาได้ตอบอย่างสุภาพและถ่อมตัวว่า "ผมคิดว่ามันไม่ได้มาจากอิทธิพลของ กัปตันซึบาสะ มากสักเท่าไหร่ แต่อาจจะด้วยเสน่ห์ของฟุตบอลนั่นเอง ที่นำไปสู่การยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นกีฬาสนุกมากในทุกวันนี้ " อาจารย์ ทาคาฮาชิ กล่าว พร้อมกับทิ้งท้ายว่า "แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ผู้คนพูดอย่างนั้น และมันก็ทำให้ผมดีใจที่จะคิดว่าผมมีส่วนส่งเสริมวงการฟุตบอลญี่ปุ่นในระดับหนึ่งได้"
ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าเยาวชนของญี่ปุ่นคือชายที่มีชื่อว่า "ฮิเดโตชิ นากาตะ" ถือว่าเป็นผลผลิตที่ยอดเยี่ยมของวงการฟุตบอลแดนปลาดิบเลยก็ว่าได้ โดยเขาเคยค้าแข้งกับสโมสรดังหลายทีมไม่ว่าจะเป็น อาร์เอส โรม่า, ปาร์ม่า, โบโลญญ่า, ฟิออเรนติน่า หรือแม้แต่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส
ฮิเดโตชิ นากาตะ อดีตกองกลางทีมชาติญี่ปุ่น ได้เผยว่า "ในญี่ปุ่นเมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อนเบสบอลมีขนาดใหญ่มากและฟุตบอลเพิ่งจะเริ่มต้น ดังนั้นผมจึงไม่มีฮีโร่กับทีมในฝันใดๆ" อดีตกองกลางเลือดซามูไรกล่าวขณะสัมภาษณ์ ฟีฟ่า "แต่มีการ์ตูนที่มีชื่อว่า กัปตัน ซึบาสะ และเมื่อผมอ่านมันผมรักในฟุตบอลจริงๆ ผมกำลังคิดว่าจะเล่นเบสบอลหรือฟุตบอล และสุดท้ายผมก็เลือกฟุตบอล"
มีบทสนทนานึงในเรื่องที่สามารถสร้างความตราตรึงให้แก่ผู้ชมมากโดยทาง ตัวเอกอย่าง โอโซระ ซึบาสะ ได้ถูกถามว่า "ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อไหร่ ? " ซึ่ง ซึบาสะ ได้ตอบพร้อมสีหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจว่า "วันหนึ่งผมจะทำให้มันเป็นจริง! "
แม้ว่า อาจารย์ ทาคาฮาชิ จะถ่อมตัวพร้อมบอกปัดทุกครั้งเมื่อถูกถามถึงเรื่องอิทธิพลของการ์ตูนต่อวงการฟุตบอล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานชิ้นนี้ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่รักในกีฬาฟุตบอลมากมายทั้งในบ้านเกิดของเขาและต่างแดน ซึ่งมันทำให้ อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้บรรลุเป้าหมายเดิมของเขาจากปลายปากกาสู้โลกที่สุดยิ่งใหญ่ในจินตนาการ
cr : www.siamsport.co.th
จากนักเขียนโนเนมสู่ผู้สร้างแรงบันดาลใจสุดยิ่งใหญ่ในโลกฟุตบอล
หลังจากที่ อาจารย์ ทาคาฮาชิ จบมัธยมปลายเขาก็ได้ตัดสินใจที่จะมาเป็นนักเขียนการ์ตูน แทนที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัย โดยการเริ่มต้นจาการเป็นมือสมัครเล่นจากนั้นก็ค่อยๆพัฒนาฝีมือขึ้นมา จากนั้นทาง อาจารย์ ทาคาฮาชิ ก็ได้นำผลงานของเขาไปยื่นให้กับสำนักพิมพ์ชื่อดังของญี่ปุ่นอย่าง ชูเอชะ และได้เข้าทำงานที่นั้นในเวลาต่อมา
โดยจุดเริ่มต้นของการ์ตูน "กัปตัน ซึบาสะ" เริ่มจากที่ อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้ดูการเล่นของ มาริโอ เคมเปส ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ ในฟุตบอลโลกปี 1978 ที่เฉิดฉายมากในการแข่งขันครั้งนั้น จนทำให้เขาตันสินใจที่จะถ่ายทอดกีฬาฟุตบอลลงในผลงานการ์ตูนมังงะของตัวเอง ต่อมา อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้ลงมือเขียนการ์ตูน กัปตัน ซึบาสะ และส่งผลงานชิ้นโบว์แดงของเขาให้กับ ต้นสังกัด ชูเอชะ และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้ชนะของ Fresh Jump Award ครั้งที่ 10 ด้วยอายุแค่ 19 ปี เท่านั้น
ซึ่งผลงานของเขาได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกใน โชเน็นจัมป์ รายสัปดาห์ ฉบับที่ 18 ในวันที่ 13 เมษายน ปี 1981 ซึ่ง ณ ตอนนั้นการ์ตูนฟุตบอลถื่อว่าเป็นแนวต่างออกไปจากงานที่มีอยู่ในท้องตลาดทำให้มังงะเรื่องนี้มีได้รับการตอบรับที่ดีจนทำให้ต้นสังกัดของเขาอย่าง ชูเอชะ ไฟเขียวให้ อาจารย์ ทาคาฮาชิ เขียนซีรีส์ "กัปตัน ซึบาสะ" ต่อไป
ตอนนั้นแต่ละเรื่องใน โชเน็นจัมป์ รายสัปดาห์ ล้วนแต่ยิ่งใหญ่ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น ดราก้อนบอล, ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่, หมัดเทพเจ้าดาวเหนือ, เซนต์ เซย่า และ คินนิคุแมน ทว่ามังงะน้องใหม่อย่าง "กัปตัน ซึบาสะ" ก็สามารถสอดแทรกขึ้นมาและเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์หลักในยุคทองของ โชเน็นจัมป์ได้
"กัปตัน ซึบาสะ" ได้รับความนิยมมากจนถูกนำไปทำเป็น อนิเมะ ในปี 1983 ซึ่งออกอากาศครั้งแรกโดย ทีวี โตเกียว สถานีโทรทัศน์ชื่อดังในประเทศญี่ปุ่น โดยในตัวของ อนิเมะ เองก็ประสบความสำเร็จมากในแดนอาทิศอุทัยไม่แพ้ฉนับการ์ตูนมังงะเลย
หลังจากที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น อนิเมะ เรื่องนี้ก็ได้ไปโอกาสไปฉายในต่างประเทศ จากนั้นการ์ตูนเรื่องนี้ก็เริ่มเป็นแรงบันดาลให้กับนักฟุตบอลวัยเยาว์ก่อนจะเติบโตมาเป็นยอดแข้งในปัจจุบันหลายคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในปี 2012 เฟร์นานโด ตอร์เรส อดีตดาวยิงทีมชาติสเปนชุดแชมป์โลก ที่ได้มายังประเทศญี่ปุ่นเพื่อลงทำการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรโลกกับต้นสังกัดของเขาอย่าง เชลซี ได้ให้สัมภาษณ์กับ ผู้สื่อข่าวท้องถิ่น ว่า "ผมจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็กสัญญาณในทีวีของเราไม่ค่อยดีนัก แต่ทุกคนในโรงเรียนก็ยังพูดถึงการ์ตูนเรื่องนี้ที่เกี่ยวกับฟุตบอลจากญี่ปุ่น ซีรีย์นี้ในสเปนชื่อว่า Oliver y Benji ผู้เล่นสองคนนี้เริ่มด้วยการเป็นนักเตะเยาวชนจากนั้นได้เข้าสู่ทีมชาติ แถมชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลก และย้ายไปบาร์เซโลน่า และ บาเยิร์น มิวนิค ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนความฝัน " ตอร์เรสเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน และได้ทิ้งท้ายไว้ว่า "ผมเริ่มเล่นฟุตบอลเพราะเหตุนี้ ผมอยากเป็นโอลิเวอร์"
ส่วนแฟนอีกคนที่มีชื่อเสียงคือ อเล็กซิส ซานเชซ กองหน้าของ อินเตอร์ มิลาน โดยทาง นิโคลัส โอเลอา นักเขียนชีวประวัติได้เผยว่า "สมัยที่ อเล็กซิส อยู่กับบาร์เซโลน่าเขามีของสะสมทั้งหมดทุกซีรี่ส์" โอเลอา กล่าว "และผมคิดว่า อเล็กซิส กับอาชีพของเขาเชื่อมโยงกับโลกในจินตนาการนี้ เขามองว่าตัวเองเป็นเหมือนตัวละครวิ่งตลอดไปบนสนามที่ไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อตามเป้าหมายสูงสุดของเขา"
การ์ตูน กัปตัน ซึบาสะ ฉบับอะนิเมะถือว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ยอดแข้งในปัจจุบันหลายคนไม่ว่าจะเป็น ซีเนดีน ซีดาน ตำนานจอมทัพทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี1998 หรือ อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ ดาวยิงดีกรีแชมป์โลกอีกคนที่เผยว่าตนชื่นบอกการ์ตูนเรื่องนี้ นอกจากนั้นยังมี ลิโอเนล เมสซี่ หัวหอกกัปตันทีมของบาร์เซโลน่า และอดีตแข้งอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า ที่เปิดใจว่าเขาเป็นอีกคนที่เป็นแฟนบอยของการ์ตูนชุดนี้เช่นกัน
อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้เปรียบเทียบคาแร็คเตอร์ตัวละครกับ 2 นักเตะแห่งยุคอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โดยเปรียบดาวยิงชาวอาเจนไตน์ เป็นเหมือนกับ โอโซระ ซึบาสะ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ด้านซุปตาร์ชาวโปรตุกีส ถูกเปรียบให้เหมือนกับ เฮียวงะ โคจิโร่ ที่เป็นนักเตะทรงพลัง ดุดัน และมีสัญชาตญาณอันเป็นเลิส
ปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ครองเบอร์ 4 ของอันดับดาวยิงสูงสุดตลอดกาล โดยตามอันดับ 3 อย่าง "ไข่มุกดำ" เปเล่ ตำนานทีมชาติบราซิล 17 ประตู หลังจากที่เขากดไป 750 ประตู จากการลงสนามให้กับระดับสโมสรและทีมชาติ ด้าน ลิโอเนล เมสซี่ เองก็ติดท็อป 10 เช่นกัน โดยตอนนี้ ดาวยิงกัปตันทีมบาร์เซโลน่า อยู่รั้งอันดับ 7 หลังจากที่เขาซัดไป 727 ประตู ตามหลัง แกร์ด มุลเลอร์ อันดับ 6 อยู่ 8 ประตู โดยตลอด 1 ทศวรรษ ที่ผ่านมาทั้งคู่ได้ครองความยิ่งใหญ่และกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ซึ่งกัปตันทีมของ "อาซูลกราน่า" คว้า รางวัล บัลลง ดอร์ 6 สมัย ส่วนดาวยิงของ "เบียงโคเนรี่" เองก็ไม่น้อยหน้าคว้าไป 5 สมัย
ซึ่งในแต่ละประเทศที่ทางอะนิเมะ "กัปตัน ซึบาสะ" ได้ถูกนำไปฉายจะมาถูกเปลียนชื่อไปตามท้องถิ่นนั้นๆ ไล่ไปตั้งแต่ ฝรั่งเศส ที่ใช้ชื่อว่า "Olive et Tom" - สเปน : "Campeones: Oliver y Benji" - โปรตุเกสและบราซิล : "Capitao Falcao" - อิตาลี : "Holly e Benji" - โปแลนด์ : "Captain Hawk" - เยอรนี : "Die tollen Fussball Stars"
นอกจากประสบความสําเร็จในแล้วต่างแล้ว ในญี่ปุ่นเองก็ได้รับอิทธิพลจากการ์ตูนเรื่องน้องไม่น้อยทั้งด้านนักเตะและลีกอาชีพของแดนปลาดิบ อาจารย์ ทาคาฮาชิ เคยให้สัมภาษณ์กับ นิปปอน เว็บไซต์ของประเทศญี่ปุ่น โดยที่เขาถูกถามว่า " การถือกำเนิดของ ซึบาสะ ก่อให้เกิดกระแสของฟุตบอลในประเทศและการพัฒนาของวงการกีฬาญี่ปุ่น ? " ซึ่งเขาได้ตอบอย่างสุภาพและถ่อมตัวว่า "ผมคิดว่ามันไม่ได้มาจากอิทธิพลของ กัปตันซึบาสะ มากสักเท่าไหร่ แต่อาจจะด้วยเสน่ห์ของฟุตบอลนั่นเอง ที่นำไปสู่การยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นกีฬาสนุกมากในทุกวันนี้ " อาจารย์ ทาคาฮาชิ กล่าว พร้อมกับทิ้งท้ายว่า "แต่ผมรู้สึกขอบคุณที่ผู้คนพูดอย่างนั้น และมันก็ทำให้ผมดีใจที่จะคิดว่าผมมีส่วนส่งเสริมวงการฟุตบอลญี่ปุ่นในระดับหนึ่งได้"
ข้อพิสูจน์ที่เห็นได้ชัดในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าเยาวชนของญี่ปุ่นคือชายที่มีชื่อว่า "ฮิเดโตชิ นากาตะ" ถือว่าเป็นผลผลิตที่ยอดเยี่ยมของวงการฟุตบอลแดนปลาดิบเลยก็ว่าได้ โดยเขาเคยค้าแข้งกับสโมสรดังหลายทีมไม่ว่าจะเป็น อาร์เอส โรม่า, ปาร์ม่า, โบโลญญ่า, ฟิออเรนติน่า หรือแม้แต่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส
ฮิเดโตชิ นากาตะ อดีตกองกลางทีมชาติญี่ปุ่น ได้เผยว่า "ในญี่ปุ่นเมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อนเบสบอลมีขนาดใหญ่มากและฟุตบอลเพิ่งจะเริ่มต้น ดังนั้นผมจึงไม่มีฮีโร่กับทีมในฝันใดๆ" อดีตกองกลางเลือดซามูไรกล่าวขณะสัมภาษณ์ ฟีฟ่า "แต่มีการ์ตูนที่มีชื่อว่า กัปตัน ซึบาสะ และเมื่อผมอ่านมันผมรักในฟุตบอลจริงๆ ผมกำลังคิดว่าจะเล่นเบสบอลหรือฟุตบอล และสุดท้ายผมก็เลือกฟุตบอล"
มีบทสนทนานึงในเรื่องที่สามารถสร้างความตราตรึงให้แก่ผู้ชมมากโดยทาง ตัวเอกอย่าง โอโซระ ซึบาสะ ได้ถูกถามว่า "ญี่ปุ่นจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อไหร่ ? " ซึ่ง ซึบาสะ ได้ตอบพร้อมสีหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจว่า "วันหนึ่งผมจะทำให้มันเป็นจริง! "
แม้ว่า อาจารย์ ทาคาฮาชิ จะถ่อมตัวพร้อมบอกปัดทุกครั้งเมื่อถูกถามถึงเรื่องอิทธิพลของการ์ตูนต่อวงการฟุตบอล แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลงานชิ้นนี้ของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่รักในกีฬาฟุตบอลมากมายทั้งในบ้านเกิดของเขาและต่างแดน ซึ่งมันทำให้ อาจารย์ ทาคาฮาชิ ได้บรรลุเป้าหมายเดิมของเขาจากปลายปากกาสู้โลกที่สุดยิ่งใหญ่ในจินตนาการ
cr : www.siamsport.co.th