สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาเล่าประสบการณ์และรีวิวการรักษา atopic dermatitis ในน้องหมา และค่าใช้จ่ายต่างๆในการรักษาจากมุมมองของเจ้าของสัตว์เลี้ยงครับ หากมีข้อมูลอะไรคลาดเคลื่อนไปจากทฤษฎีจริงรบกวนช่วยแก้ให้ผมด้วยนะครับ จะได้ช่วยเพิ่มความรู้กันต่อไป ^^
สุนัขของผมเป็นพันธุ์ Jack Russell Terrier เพศ หญิง มีอายุได้จวนจะ 8 ปีแล้ว ตอนที่น้องเริ่มมีอาการแรกๆ ตอนน้องประมาณ 3 ขวบ น้องจะคันมากๆ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ จะชอบเอาหลังไปเกากับท่อน้ำที่ติดกับกำแพง ตอนนั้นผมก็เอะใจว่าสุนัยผมนั้นแพ้แชมพู เลยลองเปลี่ยนชนิดแชมพูมาเป็นสูตร hypoallergenic บ้าง all natural บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการน้องเขาดีขึ้นเลย แต่เห็นว่าน้องอาการไม่ได้หนักอะไรและเป็นแค่ตอนหลังอาบน้ำเลยยังไม่ได้พาไปพบสัตวแพทย์
ตอนน้องอายุได้ประมาณ 6 ปี เริ่มมีอาการหนักขึ้น จะเกาตลอดเวลา จะชอบกัดอุ้งเท้าตัวเอง และเกาบริเวณตาอยู่บ่อยๆ และเป็นหนักจนกระทั่งเป็นแผลที่ตา ตอนนั้นก็เลยพาไปหาสัตวแพทย์ที่ รพ.สัตว์เอกชนแห่งหนึ่งบนถนนพหลโยธินมุ่งหน้าไปทางสะพานใหม่ ตอนนั้นก็ไปเจอคุณหมออายุรกรรม คุณหมอเลยให้ยาปฏิชีวนะ (cephalexin) มาทานเพื่อลดการติดเชื้อที่ตาพร้อมกับ antihistamine (ceterizine) และแนะนำว่าให้ลองอาบน้ำสุนัขและเป่าขนให้แห้งสนิทด้วยไดร์เป่าผมดู (ก่อนหน้านี้จขกท. เช็ดตัวให้อย่างเดียวไม่ได้เป่าแห้ง) เพราะว่าการที่เราไม่เป่าขนสุนัขสามารถทำให้เชื้อราที่อยู่บนผิวหนังสุนัขโดยธรรมชาติอยู่แล้ว (normal flora) สามารถเติบโตได้มากกว่าปกติ และทำให้เกิดการติดเชื้อ ขนร่วง และอาการคันได้ คุณหมอยังได้สั่งแชมพูแบบพิเศษให้ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด มีส่วนผสมของ Chlorhexidine ซึ่งช่วยในการฆ่าเชื้อ
หลังจากทานยาปฏิชีวนะ อาการที่ตาก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่อาการคันไม่ลดลงเลยถึงแม้ว่าจะทานยา antihistamine แล้วก็ตาม ตอนที่ไปปรึกษาหมอผิวหนัง ตอนที่เจอคุณหมอผิวหนังครั้งแรก คุณหมอก็ตรวจร่างกายน้องทั้งตัว เก็บตัวอย่างจากหูไปตรวจกล้องจุลทรรศ (wet smear) และซักประวัติการเลี้ยงดูอย่างละเอียด
ตอนตรวจร่างกายก็สังเกตว่าน้องมีรอยถลอกที่บริเวณท้อง มีอาการคัน(ขาขยับ)เมื่อขยี้ที่ปลายใบหู แต่ทาง wet smear ก็ไม่ได้พบอะไร คุณหมอสรุปว่าน้องอาจจะแพ้พวกแมลงนอกบ้าน เช่น ยุง แมลงสาบ หรือว่าตัวไรกลุ่ม Sarcoptes ได้ (จขกท. เป็นนศพ.เลยถามคุณหมอละเอียดหน่อย 555) เลยแนะนำว่าให้ลองทำความสะอาดพื้นที่ของน้องให้ดี ลองให้น้องนอนในพื้นที่ที่มีมุ้งลวดกั้น คุณหมอเลยสั่ง antihistamine ให้เช่นเดิมและลองให้ไปปรับการเลี้ยงดูน้องดู
หลังจากที่ลองปรับพื้นที่อยู่ของน้องแล้วสังเกตอาการมาประมาณ 2 สัปดาห์ อาการน้องยังไม่ดีขึ้นเลย คุณหมอเลยปรับยาให้ลองทานยากลุ่มสเตียรอยด์ (Prednisone) เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งอาการของน้องก็ยังไม่ดีขึ้นอีก จขกท. ก็เริ่มกลัวเรื่องผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์เพราะว่ายากลุ่มนี้กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย คุณหมอเลยแนะนำให้เริ่มยา Oclanitinib (ชื่อการค้า Apoquel) ซึ่งเป็น Interleukin 31 (IL-31) inhibitor
ตัว Interleukin นี้เป็นสารสั่งการในร่างกายแบบหนึ่ง ซึ่งตัว IL-31 ในสุนัขนั้นทำให้เกิดอาการคัน
การให้ยา Oclanitinib นั้นจะรักษาที่ปลายเหตุ ก็คือน้องจะไม่รู้สึกคัน แต่ว่ากระบวนการที่ทำให้เกิดการคันนั้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ คุณหมอยังอธิบายต่อว่า ถึงแม้ยาตัวนี้จะค่อยข้างปลอดภัยและทานในระยะยาวได้ ยาตัวนี้อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดเนื้องอกได้มากขึ้นในอนาคต หากถ้าน้องมีก้อนงอกมาใหม่ หรือว่าเป็นมะเร็ง จะต้องหยุดยาทันที
ผมก็ยอมที่จะรับความเสี่ยงนี้เพราะน้องอาการหนักมาก ก็เลยได้ยามาลองทาน ปรากฎว่า น้องอาการหายเป็นปลิดทิ้งเลย ไม่มีอาการคันใดๆทั้งสิ้น หลังจากทานยามาได้ 1 อาทิตย์ ก็เลยคุยกะคุณหมอว่าให้ทานยาตัวนี้ไปก่อน แล้วค่อยมาว่ากันอีกที (ค่ายาต่อเดือนประมาณ 2,000-3,000 บาท)
มาเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่าทางเราอาจจะไม่ได้สะดวกที่จะให้ยาน้องทุกวันเช้าเย็นไปตลอดชีวิต เลยมาคุยกับคุณหมอเรื่องการรักษาแบบหายขาด (Definitive Treatment) คุณหมอก็เลยถามว่า ปกติที่บ้านน้องกินอาหารยี่ห้ออะไร แล้วได้เปลี่ยนอาหารไหม และสังเกตว่าอาการคันสัมพันธุ์กับอาหารไหม ผมก็ตอบว่าไม่หมดเลย คุณหมอเลยบอกว่าถึงแม้จะไม่ได้มีประวัติที่ชัดเจน น้องก็สามารถแพ้อาหารได้ เพราะว่าอาการแพ้อาหาร (food hypersensitivity) และอาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง (atopic dermatitis) ในสุนัขนั้นแทบจะแยกอาการออกจากกันไม่ได้เลย
คุณหมอเลยบอกให้ลองทำ food test ดู ก็คือการที่เราจำกัดอาหารที่สุนัขกินให้เหลือเพียงขนิดเดียวเป็นระยะเวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์แล้วดูว่าอาการของน้องนั้นดีขึ้นไหม และเพราะว่ากลไกของการแพ้อาหารจะเกิดจากการที่เราต้องเคยเจอกับอาหารชนิดนั้นมาก่อน คุณหมอเลยแนะนำให้ให้ซื้อ เนื้อจระเข้... ใช่ครับ... เนื้อจระเข้ ให้น้องเขากิน
ณ ตอนนั้นผมก็อ้าปากค้างสิครับ 555 แต่คุณหมอบอกว่าหากเจ้าของไม่สะดวกสามารถซื้ออาหารสูตรแพ้น้อย (hypoallergenic) และไม่แพ้เลย (anallergenic) ของยี่ห้อ Royal Canin มาแทนได้ ซึ่งคุณหมอแนะนำสูตร Anallergenic มากที่สุดเพราะว่าอาการชนิดนี้ไม่สามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้เลยเพราะทำมาจากกรดอะมิโนที่ย่อยแล้ว เมื่อเทียบกับสูตร Hypoallergenic ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองอยู่บ้างเลยสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ประมาณ 1-2%
ผมก็เลยคิดกับตัวเองว่า เอาไงก็เอาหว่ะ มาถึงขนาดนี้แล้ว เราจัดเต็มเลยแล้วกัน ผมก็เลยค้นหาร้านอาหารหมาออนไลน์ที่ขายอาหารหมาชนิดนี้ แล้วก็ตะลึงกับราคา... ถุงละ 3,000!!! บ้าไปแล้ว ... เออถ้ามันทำให้หมาเราหายแพ้ก็เอาวะ ... ก็เลยฝืนใจตัวเองกดปุ่มสั่งมาในที่สุด
หลังจากที่หยุดยา apoquel เพื่อการทดสอบ ผมก็บังคับให้น้องกินอาหารชนิดนี้อย่างเดียวเป็นเวลาเดือนครึ่ง ทุกมื้อ น้องก็จะมองหน้าผมด้วยตาแป๋วเหมือนพยายามจะบอกผมว่า อันนี้อีกแล้วหรอ... มันไม่อร่อยเลยนะ... ผมก็ต้องฝืนใจบังคับมันกินไป (มันดีกับตัวเธอเองนะ!!) ระหว่างนั้นน้ำหนักน้องลดจาก 8.3 กิโลเหลือ 7.5 กิโล ภายใน 4 สัปดาห์เพราะจากรสชาติอาหาร 555 คุณหมอก็แนะนำเรื่อง เนื้อจระเข้อีกรอบ จขกท. เลยตระเวณไป makro และ big C ประมาณ 10 สาขาได้ ปรากฏว่าหมดทุกสาขา (เป็นสัปดาห์กินเนื้อจระเข้แห่งปีหรือไงฟร้ะ) น้องก็เลยต้องฝืนใจกินอาหารเม็ดกลิ่นเหม็นเขียวต่อไป
6 สัปดาห์ผ่านไป น้องอาการก็แย่ลง กลับมาคันเหมือนเดิม คุณหมอก็สรุปว่าไม่เป็นจากการแพ้อาหารหมาแน่ๆ ก็เลยขยับไปการรักษาขั้นต่อไปก็คือ Immunotherapy หรือว่าการปรับระบบภูมิคุ้มกันนั่นเอง หลักการคือ เราจะต้องหาสารที่น้องแพ้ก่อนผ่าน skin test และนำสารนั้นมาทำให้เจือจางมากๆ เพื่อค่อยๆทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายนั้นชินกับสะสารนั้นๆ และไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้อีก ซึ่งฟังดูน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยล่ะครับ แต่ความมหัศจรรย์นี้ก็มาด้วยป้ายราคาที่หนักหน่วงเหลือเกิน... คุณหมอบอกว่าค่าใช้จ่ายในการทำ Skin test จะประมาณ 15,000++ และรวมค่าทำยาอีกประมาณ 35,000 ++ โดยรวมแล้วค่ารักษาทั้งหมดจะประมาณ 50,000++ และมีผลสำเร็จเพียง 60-70%
ผมก็คิดหนักเลยทีนี้ เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก และความสำเร็จในการรักษาก็ไม่ค่อยดีนัก คุณหมอเลยแนะนำอีกว่า น้องยังสามารถทาน apoquel ไปต่อเรื่อยๆได้ แต่ในระยะยาวถ้ารักษาด้วยวิธี immunotherapy แล้วมันได้ผล ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง
อีกอย่างคือ การทำ immunotherapy นั้นมี age limit (ประมาณ 8 ขวบ) เพราะว่าถ้าสุนัขยิ่งแก่ตัวลง โอกาสที่การรักษาจะไม่สำเร็จก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
สุดท้ายผมก็เลยยอมที่จะลองทำ skin test ดูเพราะน้องก็เริ่มมีอายุแล้วหากเปลี่ยนใจทีหลังคงไม่ทันแล้ว
หลังจากที่ให้น้องอดน้ำอดอาหารเป็นเวลา 6 ชม. ตามที่คุณหมอแนะนำ คุณหมอก็วางยาน้องเพื่อให้น้องอยู่นิ่งแต่ไม่สลบ และโกนขนบริเวณที่หลังของน้อยเพื่อที่จะได้เห็นรอยนูนจากการทดสอบได้ชัดเจนขึ้น
คุณหมอก็ลงทุนมากครับ อุตส่าห์เอา antigen หรือสะสารที่จะทดสอบการภูมิแพ้มาจากทั้ง ศิริราช จุฬา และ เกษตร เพื่อมาทดสอบให้น้องตัวนี้ตัวเดียว
คุณหมอก็วาดจุดลงไปบนหลังน้อง 17 จุดซึ่งแต่ละจุดจะฉีดสะสารที่ไม่เหมือนกันไปที่ใต้ชั้นผิวหนัง สะสารที่ใช้ก็มี น้ำเกลือ (negative control เพื่อไว้เปรียบเทียบว่าเป็นผลลบ), histamine (positive control เพื่อไว้เปรียบเทียบว่าเป็นผลบวก), Dermatophagoides farinae (ไรฝุ่นชนิดที่ 1), Dermatophagoides pteronyssinus (ไรฝุ่นชนิดที่ 2), Tyrophagus (ไรอาหาร), Mosquito antigen (สารสกัดจากยุง), Cockroach antigen (สารสกัดจากแมลงสาบ), ใบกระจับ และสะสารอีกหลายตัวที่ผมจำไม่ได้ 5555555 หลังจากฉีดสารทุกตัวครบ ก็รอ 15 นาทีเพื่อประเมินผล คุณหมอก็จะเขียนลงกระดาษว่า สารนี้ 3+, 4+, 2+ ขึ้นอยู่กับว่าทางผิวหนังน้อยหมามีปฏิกิริยามากน้อยแค่ไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รูปหลังทำ Skin Test เสร็จครับ
สุดท้ายแล้ว... ก็พบว่า... น้องหมาผมแพ้ ไรฝุ่น!! (ผมก็แอบคิดในใจว่า หมาอะไรวะแพ้ไรฝุ่น 55555) แพ้หนักมาก แบบว่า ผิวนูนกว่าตัว positive control ประมาณ 2 เท่า คุณหมอเลยบอกว่าให้รักษาเหมือนคนที่แพ้ไรฝุ่น คือ ซักที่นอน ผ้าห่มของน้องในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศา และทำความสะอาดบริเวณที่นอน
เนี่ย วันนี้พึ่งพาไปตรวจมาสดๆร้อนๆ ก็เลยจะลองไปปรับดู หากมีผลดีร้ายยังไงจะมาอัพเดทให้ฟังนะครับบ (ปล. หากเผลอสะกดคำไหนผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ พิมพ์จนตาลายแล้วครับ 55)
[CR] รีวิวการรักษาโรคภูมิแพ้ทางผิวหนังในน้องหมา (Canine Atopic Dermatitis) และการทำ Skin Test
สุนัขของผมเป็นพันธุ์ Jack Russell Terrier เพศ หญิง มีอายุได้จวนจะ 8 ปีแล้ว ตอนที่น้องเริ่มมีอาการแรกๆ ตอนน้องประมาณ 3 ขวบ น้องจะคันมากๆ หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ จะชอบเอาหลังไปเกากับท่อน้ำที่ติดกับกำแพง ตอนนั้นผมก็เอะใจว่าสุนัยผมนั้นแพ้แชมพู เลยลองเปลี่ยนชนิดแชมพูมาเป็นสูตร hypoallergenic บ้าง all natural บ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อาการน้องเขาดีขึ้นเลย แต่เห็นว่าน้องอาการไม่ได้หนักอะไรและเป็นแค่ตอนหลังอาบน้ำเลยยังไม่ได้พาไปพบสัตวแพทย์
ตอนน้องอายุได้ประมาณ 6 ปี เริ่มมีอาการหนักขึ้น จะเกาตลอดเวลา จะชอบกัดอุ้งเท้าตัวเอง และเกาบริเวณตาอยู่บ่อยๆ และเป็นหนักจนกระทั่งเป็นแผลที่ตา ตอนนั้นก็เลยพาไปหาสัตวแพทย์ที่ รพ.สัตว์เอกชนแห่งหนึ่งบนถนนพหลโยธินมุ่งหน้าไปทางสะพานใหม่ ตอนนั้นก็ไปเจอคุณหมออายุรกรรม คุณหมอเลยให้ยาปฏิชีวนะ (cephalexin) มาทานเพื่อลดการติดเชื้อที่ตาพร้อมกับ antihistamine (ceterizine) และแนะนำว่าให้ลองอาบน้ำสุนัขและเป่าขนให้แห้งสนิทด้วยไดร์เป่าผมดู (ก่อนหน้านี้จขกท. เช็ดตัวให้อย่างเดียวไม่ได้เป่าแห้ง) เพราะว่าการที่เราไม่เป่าขนสุนัขสามารถทำให้เชื้อราที่อยู่บนผิวหนังสุนัขโดยธรรมชาติอยู่แล้ว (normal flora) สามารถเติบโตได้มากกว่าปกติ และทำให้เกิดการติดเชื้อ ขนร่วง และอาการคันได้ คุณหมอยังได้สั่งแชมพูแบบพิเศษให้ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิด มีส่วนผสมของ Chlorhexidine ซึ่งช่วยในการฆ่าเชื้อ
หลังจากทานยาปฏิชีวนะ อาการที่ตาก็ดีขึ้นเล็กน้อย แต่อาการคันไม่ลดลงเลยถึงแม้ว่าจะทานยา antihistamine แล้วก็ตาม ตอนที่ไปปรึกษาหมอผิวหนัง ตอนที่เจอคุณหมอผิวหนังครั้งแรก คุณหมอก็ตรวจร่างกายน้องทั้งตัว เก็บตัวอย่างจากหูไปตรวจกล้องจุลทรรศ (wet smear) และซักประวัติการเลี้ยงดูอย่างละเอียด
ตอนตรวจร่างกายก็สังเกตว่าน้องมีรอยถลอกที่บริเวณท้อง มีอาการคัน(ขาขยับ)เมื่อขยี้ที่ปลายใบหู แต่ทาง wet smear ก็ไม่ได้พบอะไร คุณหมอสรุปว่าน้องอาจจะแพ้พวกแมลงนอกบ้าน เช่น ยุง แมลงสาบ หรือว่าตัวไรกลุ่ม Sarcoptes ได้ (จขกท. เป็นนศพ.เลยถามคุณหมอละเอียดหน่อย 555) เลยแนะนำว่าให้ลองทำความสะอาดพื้นที่ของน้องให้ดี ลองให้น้องนอนในพื้นที่ที่มีมุ้งลวดกั้น คุณหมอเลยสั่ง antihistamine ให้เช่นเดิมและลองให้ไปปรับการเลี้ยงดูน้องดู
หลังจากที่ลองปรับพื้นที่อยู่ของน้องแล้วสังเกตอาการมาประมาณ 2 สัปดาห์ อาการน้องยังไม่ดีขึ้นเลย คุณหมอเลยปรับยาให้ลองทานยากลุ่มสเตียรอยด์ (Prednisone) เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ ซึ่งอาการของน้องก็ยังไม่ดีขึ้นอีก จขกท. ก็เริ่มกลัวเรื่องผลข้างเคียงของยาสเตียรอยด์เพราะว่ายากลุ่มนี้กดภูมิคุ้มกันของร่างกาย คุณหมอเลยแนะนำให้เริ่มยา Oclanitinib (ชื่อการค้า Apoquel) ซึ่งเป็น Interleukin 31 (IL-31) inhibitor
ตัว Interleukin นี้เป็นสารสั่งการในร่างกายแบบหนึ่ง ซึ่งตัว IL-31 ในสุนัขนั้นทำให้เกิดอาการคัน
การให้ยา Oclanitinib นั้นจะรักษาที่ปลายเหตุ ก็คือน้องจะไม่รู้สึกคัน แต่ว่ากระบวนการที่ทำให้เกิดการคันนั้นยังคงเกิดขึ้นอยู่ คุณหมอยังอธิบายต่อว่า ถึงแม้ยาตัวนี้จะค่อยข้างปลอดภัยและทานในระยะยาวได้ ยาตัวนี้อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดเนื้องอกได้มากขึ้นในอนาคต หากถ้าน้องมีก้อนงอกมาใหม่ หรือว่าเป็นมะเร็ง จะต้องหยุดยาทันที
ผมก็ยอมที่จะรับความเสี่ยงนี้เพราะน้องอาการหนักมาก ก็เลยได้ยามาลองทาน ปรากฎว่า น้องอาการหายเป็นปลิดทิ้งเลย ไม่มีอาการคันใดๆทั้งสิ้น หลังจากทานยามาได้ 1 อาทิตย์ ก็เลยคุยกะคุณหมอว่าให้ทานยาตัวนี้ไปก่อน แล้วค่อยมาว่ากันอีกที (ค่ายาต่อเดือนประมาณ 2,000-3,000 บาท)
มาเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่าทางเราอาจจะไม่ได้สะดวกที่จะให้ยาน้องทุกวันเช้าเย็นไปตลอดชีวิต เลยมาคุยกับคุณหมอเรื่องการรักษาแบบหายขาด (Definitive Treatment) คุณหมอก็เลยถามว่า ปกติที่บ้านน้องกินอาหารยี่ห้ออะไร แล้วได้เปลี่ยนอาหารไหม และสังเกตว่าอาการคันสัมพันธุ์กับอาหารไหม ผมก็ตอบว่าไม่หมดเลย คุณหมอเลยบอกว่าถึงแม้จะไม่ได้มีประวัติที่ชัดเจน น้องก็สามารถแพ้อาหารได้ เพราะว่าอาการแพ้อาหาร (food hypersensitivity) และอาการภูมิแพ้ทางผิวหนัง (atopic dermatitis) ในสุนัขนั้นแทบจะแยกอาการออกจากกันไม่ได้เลย
คุณหมอเลยบอกให้ลองทำ food test ดู ก็คือการที่เราจำกัดอาหารที่สุนัขกินให้เหลือเพียงขนิดเดียวเป็นระยะเวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์แล้วดูว่าอาการของน้องนั้นดีขึ้นไหม และเพราะว่ากลไกของการแพ้อาหารจะเกิดจากการที่เราต้องเคยเจอกับอาหารชนิดนั้นมาก่อน คุณหมอเลยแนะนำให้ให้ซื้อ เนื้อจระเข้... ใช่ครับ... เนื้อจระเข้ ให้น้องเขากิน
ณ ตอนนั้นผมก็อ้าปากค้างสิครับ 555 แต่คุณหมอบอกว่าหากเจ้าของไม่สะดวกสามารถซื้ออาหารสูตรแพ้น้อย (hypoallergenic) และไม่แพ้เลย (anallergenic) ของยี่ห้อ Royal Canin มาแทนได้ ซึ่งคุณหมอแนะนำสูตร Anallergenic มากที่สุดเพราะว่าอาการชนิดนี้ไม่สามารถกระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้เลยเพราะทำมาจากกรดอะมิโนที่ย่อยแล้ว เมื่อเทียบกับสูตร Hypoallergenic ที่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองอยู่บ้างเลยสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้ประมาณ 1-2%
ผมก็เลยคิดกับตัวเองว่า เอาไงก็เอาหว่ะ มาถึงขนาดนี้แล้ว เราจัดเต็มเลยแล้วกัน ผมก็เลยค้นหาร้านอาหารหมาออนไลน์ที่ขายอาหารหมาชนิดนี้ แล้วก็ตะลึงกับราคา... ถุงละ 3,000!!! บ้าไปแล้ว ... เออถ้ามันทำให้หมาเราหายแพ้ก็เอาวะ ... ก็เลยฝืนใจตัวเองกดปุ่มสั่งมาในที่สุด
หลังจากที่หยุดยา apoquel เพื่อการทดสอบ ผมก็บังคับให้น้องกินอาหารชนิดนี้อย่างเดียวเป็นเวลาเดือนครึ่ง ทุกมื้อ น้องก็จะมองหน้าผมด้วยตาแป๋วเหมือนพยายามจะบอกผมว่า อันนี้อีกแล้วหรอ... มันไม่อร่อยเลยนะ... ผมก็ต้องฝืนใจบังคับมันกินไป (มันดีกับตัวเธอเองนะ!!) ระหว่างนั้นน้ำหนักน้องลดจาก 8.3 กิโลเหลือ 7.5 กิโล ภายใน 4 สัปดาห์เพราะจากรสชาติอาหาร 555 คุณหมอก็แนะนำเรื่อง เนื้อจระเข้อีกรอบ จขกท. เลยตระเวณไป makro และ big C ประมาณ 10 สาขาได้ ปรากฏว่าหมดทุกสาขา (เป็นสัปดาห์กินเนื้อจระเข้แห่งปีหรือไงฟร้ะ) น้องก็เลยต้องฝืนใจกินอาหารเม็ดกลิ่นเหม็นเขียวต่อไป
6 สัปดาห์ผ่านไป น้องอาการก็แย่ลง กลับมาคันเหมือนเดิม คุณหมอก็สรุปว่าไม่เป็นจากการแพ้อาหารหมาแน่ๆ ก็เลยขยับไปการรักษาขั้นต่อไปก็คือ Immunotherapy หรือว่าการปรับระบบภูมิคุ้มกันนั่นเอง หลักการคือ เราจะต้องหาสารที่น้องแพ้ก่อนผ่าน skin test และนำสารนั้นมาทำให้เจือจางมากๆ เพื่อค่อยๆทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายนั้นชินกับสะสารนั้นๆ และไม่ทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้อีก ซึ่งฟังดูน่ามหัศจรรย์ใช่มั้ยล่ะครับ แต่ความมหัศจรรย์นี้ก็มาด้วยป้ายราคาที่หนักหน่วงเหลือเกิน... คุณหมอบอกว่าค่าใช้จ่ายในการทำ Skin test จะประมาณ 15,000++ และรวมค่าทำยาอีกประมาณ 35,000 ++ โดยรวมแล้วค่ารักษาทั้งหมดจะประมาณ 50,000++ และมีผลสำเร็จเพียง 60-70%
ผมก็คิดหนักเลยทีนี้ เพราะว่าค่าใช้จ่ายสูงมาก และความสำเร็จในการรักษาก็ไม่ค่อยดีนัก คุณหมอเลยแนะนำอีกว่า น้องยังสามารถทาน apoquel ไปต่อเรื่อยๆได้ แต่ในระยะยาวถ้ารักษาด้วยวิธี immunotherapy แล้วมันได้ผล ก็จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง
อีกอย่างคือ การทำ immunotherapy นั้นมี age limit (ประมาณ 8 ขวบ) เพราะว่าถ้าสุนัขยิ่งแก่ตัวลง โอกาสที่การรักษาจะไม่สำเร็จก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
สุดท้ายผมก็เลยยอมที่จะลองทำ skin test ดูเพราะน้องก็เริ่มมีอายุแล้วหากเปลี่ยนใจทีหลังคงไม่ทันแล้ว
หลังจากที่ให้น้องอดน้ำอดอาหารเป็นเวลา 6 ชม. ตามที่คุณหมอแนะนำ คุณหมอก็วางยาน้องเพื่อให้น้องอยู่นิ่งแต่ไม่สลบ และโกนขนบริเวณที่หลังของน้อยเพื่อที่จะได้เห็นรอยนูนจากการทดสอบได้ชัดเจนขึ้น
คุณหมอก็ลงทุนมากครับ อุตส่าห์เอา antigen หรือสะสารที่จะทดสอบการภูมิแพ้มาจากทั้ง ศิริราช จุฬา และ เกษตร เพื่อมาทดสอบให้น้องตัวนี้ตัวเดียว
คุณหมอก็วาดจุดลงไปบนหลังน้อง 17 จุดซึ่งแต่ละจุดจะฉีดสะสารที่ไม่เหมือนกันไปที่ใต้ชั้นผิวหนัง สะสารที่ใช้ก็มี น้ำเกลือ (negative control เพื่อไว้เปรียบเทียบว่าเป็นผลลบ), histamine (positive control เพื่อไว้เปรียบเทียบว่าเป็นผลบวก), Dermatophagoides farinae (ไรฝุ่นชนิดที่ 1), Dermatophagoides pteronyssinus (ไรฝุ่นชนิดที่ 2), Tyrophagus (ไรอาหาร), Mosquito antigen (สารสกัดจากยุง), Cockroach antigen (สารสกัดจากแมลงสาบ), ใบกระจับ และสะสารอีกหลายตัวที่ผมจำไม่ได้ 5555555 หลังจากฉีดสารทุกตัวครบ ก็รอ 15 นาทีเพื่อประเมินผล คุณหมอก็จะเขียนลงกระดาษว่า สารนี้ 3+, 4+, 2+ ขึ้นอยู่กับว่าทางผิวหนังน้อยหมามีปฏิกิริยามากน้อยแค่ไหน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สุดท้ายแล้ว... ก็พบว่า... น้องหมาผมแพ้ ไรฝุ่น!! (ผมก็แอบคิดในใจว่า หมาอะไรวะแพ้ไรฝุ่น 55555) แพ้หนักมาก แบบว่า ผิวนูนกว่าตัว positive control ประมาณ 2 เท่า คุณหมอเลยบอกว่าให้รักษาเหมือนคนที่แพ้ไรฝุ่น คือ ซักที่นอน ผ้าห่มของน้องในอุณหภูมิที่สูงกว่า 60 องศา และทำความสะอาดบริเวณที่นอน
เนี่ย วันนี้พึ่งพาไปตรวจมาสดๆร้อนๆ ก็เลยจะลองไปปรับดู หากมีผลดีร้ายยังไงจะมาอัพเดทให้ฟังนะครับบ (ปล. หากเผลอสะกดคำไหนผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ พิมพ์จนตาลายแล้วครับ 55)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้