ทฤษฎี "การตกหลุมรัก" ในหนังแอ็คชั่น-ผจญภัย

ภาพยนตร์แนวแอ็คชั่น-ผจญภัยไม่ว่าจะเก่าใหม่นอกจากการบู๊ฝ่าฟันอันตรายแล้วนั้นยังมีเรื่องราวความสัมพันธ์ของคู่พระนางที่ก่อตัวท่ามกลางสถานการณ์ที่สุดแสนจะอันตรายแทบเอาชีวิตไม่รอด เคยมีคนสงสัยแบบผมมั๊ยครับว่าไอ้เหตุการณ์ประเภทนี้มันเกิดได้อย่างไร เขาไปเอาเวลาไหนมารักกันได้ ? อันดับแรกในส่วนเกริ่นนำผมขอยกตัวอย่างหนังที่เราเห็นภาพได้ชัดสุดๆ คือ Speed ครับ 
 
หนังแอ็คชั่นระทึกขวัญในตำนานของ คีอานู ริฟส์ ถ้าใครเคยดูจะรู้เลยว่าเหตุการณ์ในเรื่องแทบจะเกิดอันตรายตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ในเรื่องเอื้อให้ทั้งคู่มีมีความรู้สึกดีๆให้แก่กันแม้ว่าเวลามันอาจจะดูเร็วไปนักก็ตาม ส่วนอีกเรื่องก็คือ Edge of tomorrow 
 
หนังแอ็คชั่น-ไซไฟที่โคตรเจ๋ง สถานการณ์ในเรื่องคล้ายๆ speed ครับเพียงแต่เรื่องนี้หลายๆอย่างไม่ได้อำนวยให้พระนางเกิดความรู้สึกดีๆได้แบบนั้น แต่มันเป็นแบบเรื่อยๆต่างฝ่ายต่างค่อยๆรู้ตัว ซึ่งในตอนท้ายแม้ว่าหนังจะไม่ได้ให้ทั้งคู่รักกัน แต่เรารู้แน่ๆว่าพระเอกตกหลุมรักนางเอกเข้าแล้ว                      (มีประโยคนึงที่ผมชอบมาก “ถ้าเลือกได้ ผมก็ไม่อยากรู้จักคุณ... แต่รู้จักแล้ว” ) 
 
เชื่อว่าต้องมีคนสงสัยแน่นอนว่าเหตุการณ์ประเภทนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ก็อย่างที่บอกไปข้างต้นครับว่าผมพอจะให้คำตอบหาคำอธิบายได้ แต่อาจจะไม่เป๊ะ100% เป็นเหมือนทฤษฎีที่ผมคิดเอง แต่ถือว่าเป็นทฤษฎีที่มีความเป็นไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ซึ่งทฤษฎีแนวคิดที่ผมจะนำมาอธิบายเรื่องราวข้างต้นก็มาจากหนังสือ " THEORY OF US เหตุนี้จึงมีเรา " หนังสือที่ว่าด้วยเรื่องราวความรักความสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในมุมมองวิทยาศาสตร์ เป็นผลงานของ นพ.ปีย์​ เชษฐ์โชติศักดิ์ ครับ
 
ในส่วนของเล่มนี้จะมีช่วงนึงครับที่คุณหมอปีย์ได้นำผลงานการทดลองทฤษฎีสะพานแขวน ของดร.Donald dutton และ ดร.Arthur aron  มาเล่าให้ฟัง ทั้งสองได้ทำการทดลองโดยการให้นักจิตวิทยาสาวสุดสวยมาทำการสัมภาษณ์ชายหนุ่มที่มาเดินป่าเกี่ยวกับงานวิจัยเรื่อง"อาการกลัวความสูง" ในขณะที่คนทั้งคู่กำลังยืนอยู่บนสะพานข้ามเหวสูงแถมยังสั่นไหวอีกด้วย ซึ่งในท้ายสุดของการสัมภาษณ์นักจิตวิทยาสาวจะให้เบอร์โทรแก่ชายหนุ่มในกรณีที่มีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม  ซึ่งการทดลองนี้มีเป้าหมายที่ต้องการอยากรู้ก็คือ "จะมีชายหนุ่มกี่คนที่โทรมาหานักวิจัยสาว" โดยการทดลองนี้จะแบ่งเป็น2กลุ่มนะครับแต่สถานการณ์เหมือนกันเป๊ะ ถ้าจะแตกต่างกันก็คือจะมีกลุ่มนึงจะเป็นสะพานที่เตี้ยและมั่นคงกว่า จากนั้นก็เทียบกันว่าชายหนุ่มจากสะพานสูงแถมยังสั่นไหวและชายหนุ่มสะพานที่เตี้ยและมั่นคง ชายหนุ่มจากสะพานแบบไหนจะโทรหานักจิตวิทยาสาวมากกว่ากัน 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ซึ่งเราจะได้คำตอบว่า ชายหนุ่มจากสะพานสูงแถมยังสั่นไหว โทรหานักจิตวิทยาสาวมากกว่าและมากว่าถึง4เท่าตัว (50% ต่อ 12.5%) หรือจะบอกได้อีกอย่างว่า หนุ่มสะพานสูงปิ๊งนักวิจัยสาวมากกว่าหนุ่มสะพานเตี้ย 
 
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดงานวิจัยนี้? 
สาเหตุของมาจากการที่นักวิจัยสงสัยว่า "เวลาที่เราชอบใครสักคนหรือตกหลุมรักใครสักคน เรามักจะเกิดอาการใจสั่นไหว เหงื่อแตก หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกที แล้วปัยจัยที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้จะทำให้เราตกหลุมรักใครสักคนรึป่าว" นั้นทำให้นักวิจัยจำลองเหตุการณ์ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้โดยใช้สะพานสูงและสะพานเตี้ย ซึ่งผลที่ได้จากงานวิจัยนี้ก็บอกเราได้ว่า ปัยจัยที่ทำให้เกิดอาการใจสั่นไหว เหงื่อแตก หัวใจเต้นแรง หน้าแดงทุกทีมีส่วนทำให้เราตกหลุมรักใครสักคนได้ นอกจากเรื่องความสูงแล้ว สภาวะที่เราออกกำลังกายก็ทำให้เกิดผลแบบนี้ได้เช่นกัน(มีงานวิจัยแบบเดียวกันกับคนที่วิ่งลู่วิ่ง) 
 
ข้อสรุปที่เราได้
เราสามารถสรุปได้ง่ายๆเลยว่า การได้มีกิจกรรมอะไรที่ทำให้หัวใจเต้นแรงร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นการทำกิจกรรมอะไรที่หวาดเสียว หรือการออกกำลังก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสการปิ๊งกันของคุณมากขึ้น เรื่องนี้ชัดเจนมากในกรณีออกเดตครับ ดังนั้นกิจกรรมหรือสถานที่ที่เราจะออกเดตควรเป็นกิจกรรมหรือสถานที่เน้นแนวแอดเวนเจอร์ต่างๆ เพราะว่าจะได้ทำให้การเดตครั้งนี้ส่งผลให้โอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์มีมากขึ้นครับ
ต่อมามีการอธิบายปรากฏการณ์นี้เพิ่มว่า ชายที่รู้สึกกังวลอยู่ในภาวะที่ไม่ปลอดภัย จะตีความว่าเขากำลังอยู่ในความรู้สึกคล้ายตกหลุมรักใครสักคน ก็จะมีความว้าวุ่นใจ เหมือนปัจจัยทางกายภาพแปรผันตรงกับจิตวิทยาในแง่ที่ความสูง ความหวาดเสียวทำให้ใจเต้นแรง เลือดสูบฉีดส่งผลให้ใจเต้นตุ้มต่อม
โดยเราอาจเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Misattribution of Arousal มันคือการที่เรามักจะตัดสินใจผิด ๆ หลังจากประสบพบเจอกับการตอบสนองต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายเราป่วนปั่น (ข้อมูลเพิ่มเติมจาก @sliceitoff)
 
ดั้งนั้นเราก็ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไม พระเอกและนางเอกในหนังจำพวกแอ็คชั่น-ผจญภัยถึงปิ๊งกันได้ เพราะสถานการณ์ที่ตัวละครทั้งสองตัวเจอนั้นมันที่ทำให้หัวใจเต้นแบบสุดๆเลยล่ะครับ ไม่ได้ตื่นเต้นอย่างเดียวเท่านั้นนะ เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทีเดียว 5555 
นอกจากหนังสองเรื่องนั้น ยังมีอีกหลายเรื่องเลยครับที่เข้าข่ายอะไรลักษณะนี้
 - ผจญภัยล่าขุมทรัพย์ เห็นหลายเรื่องเลยครับ 
The Mummy หนังแอ็คชั่นผจญภัยปราบมัมมี่สุดมันส์ พระเอกจอมบุ๊กับนางเอกสายโก๊ะ     
National Treasure หนังไขปริศนาตามหาขุมทรัพย์ของคู่พระนางเนิร์ดประวัติศาสตร์สุดยอดของความพ่อแง่ยิ้มอน 
ไอคอนแห่งหนังผจญภัยล่าสมบัติ Indiana Jones and the Temple of Doom ภาคที่ดร.โจนส์และนางเอกสาวประจำภาคต้องผจญภัยกันตั้งแต่ต้นจนจบทีเดียว 
- เหล่าฮีโร่ผู้พิทักษ์จักรวาลของ Marvel Cinematic Universe อย่าง Guardians of the galaxy ก็เข้าข่ายครับ กับความรักที่แตกต่างแต่ก็ลงตัวของ สตาร์ ลอร์ด และ กาโมร่า 
- พูดถึงมาเวลแล้วอีกค่ายอย่าง DC Extended Universe ก็ต้องมาสิครับ เรื่องที่เหมาะสุดไม่พ้น Aquaman หนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ครบรสเรื่องนึง ด้านความรักของคู่พระนางนี่ก็อย่างกับดูละครไทยเลย 555   
 - มหากาพย์สงครามอวกาศในตำนานอย่าง Star wars ในภาค Empire strikes back ความรักสุดโรแมนติกระหว่างสลัดอวกาศหนุ่มและเจ้าหญิงแห่งกองกำลังกบฎ ฮาน โซโล และ เจ้าหญิงเลอา ภาคนี้เป็นครั้งแรกที่ให้ตัวละครทั้งคู่ได้ผจญภัยเคียงบ่าเคียงไหล่กันและบอกรักกัน 
ไตรภาค Jumanji เองก็มีครับทั้งคู่ที่เข้าไปในเกมหรือคู่ที่เล่นเกมข้างนอก ซึ่งไม่ว่าจะเล่นเกมนี้ในรูปแบบไหนต่างกันอย่างไร สิ่งที่เหมือนๆกันก็ไม่พ้นการทำให้ชายหญิงสักคู่มีโอกาสปิ๊งกัน 
- หนังจำพวกที่พระเอกนางต้องมาหยุดยั้งแผนการร้ายต่างๆไม่ว่าจะเป็นเพราะหน้าที่หรือการตกกะไดพลอยโจร เช่น 
Broken Arrow (1996) คู่มหากาฬ หั่นนรก 
Executive Decision (1996) ยุทธการดับฟ้า 
The Peacemaker (1997) หยุดนิวเคลียร์มหาภัยถล่มโลก 
Hard Rain (1998) อึดท่วมนรก 
หนังสัตว์โลกน่ารัก(สัตว์ประหลาด)ที่พระเอกและนางเอกต้องประสบพบเจอ ก็มีครับ 
Deep Rising (1998) เลื้อยทะลวง 20000 โยชน์ 
Rampage (2018) ใหญ่ชนยักษ์ 
 
แต่มีหนังบางเรื่องครับที่มีลักษณะแบบนี้เพียงแต่คู่รักในหนังเป็น "ถ่านไฟเก่า" แล้วเมื่อเหตุการณ์หลายๆอย่างคลี่คายลง "ถ่านไฟเก่า" ก็กลับมาปะทุอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทฤษฎีในบทความนี้มันจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์พวกนี้รึป่าวนะ เพราะเห็นหลายเรื่องเหลือเกิน 555 
Outbreak (1995) วิกฤติไวรัสสูบนรก 
Twister (1996) ทวิสเตอร์ ทอร์นาโดมฤตยูถล่มโลก 
2012 (2009) วันสิ้นโล
ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะการได้ใกล้ชิดกันอีกครั้งและการได้กลับมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันอีกหนเลยทำให้ "ถ่านไฟเก่า" ก็กลับมาปะทุขึ้นอีกครั้ง 
ปล.ใครที่มีหนังที่ให้ความรู้สึกถึงความรักที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ขับขันก็มาแชร์กันได้ครับ ผมนึกได้แค่นี้ 555 คิดเห็นอย่างไรบอกได้เลยนะครับ
 
ส่งท้าย 
  จากทฤษฎีนี้มีอย่างนึงที่ไม่เคยมีคนให้ความเห็นหรือตั้งข้อสังเกตเลยก็คือ ทฤษฎีนี้เป็นเครื่องมือที่จะรับประกันความสำเร็จของความสัมพันธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้หรือไม่ ? ผมเชื่อว่าหลายคนคงรู้คำตอบแน่นอน คำตอบที่ว่านั้นก็คือ "ไม่" อย่างแน่นอน เพราะคำอธิบายเพิ่มเติมของทฤษฎีนี้สามารถบอกได้ง่ายๆว่า เป็นการหลอกตัวเอง และเราเห็นได้จากประสบการณ์ตรง คนรอบตัว หนัง ละคร หนังสือ ซีรี่ย์ ต่างๆ ได็ให้คำตอบไว้แล้วครับ เพราะยังไงความรักที่มันฉาบฉวยย่อมไม่มั่นคงแข็งแรงอยู่แล้ว 
  ผมมีสิ่งหนึ่งที่จะมายืนยันครับ มันมาจากหนังที่สื่อภาพของทฤษฎีนี้ได้มากที่สุด หนังที่จั่วหัวของกระทู้นี้ Speed ไงครับ ในช่วงท้ายของเรื่องหลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลายลง ทั้งพระเอกกับนางเอกรู้แล้วแน่ๆว่าต่างก็ตกหลุมรักซึ่งกันและกัน แต่กระนั้นพระเอกได้เอ่ยคำพูดประโยคนึงที่อมตะเอามากๆ   
" ความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นยามขับขันมันไม่ยั่งยืนรู้มั๊ย " มันจี๊ดมากกับคำพูดนี้เพราะมันจริงและประโยคนี้ยิ่งตอกย้ำมากที่สุดเมื่อภาคต่อมาของเรื่องเปลี่ยนพระเอก เพราะในเรื่องนางเอกเลิกกับพรเอกคนเก่าเพราะความไม่เข้าใจกันในหลายเรื่องๆ ที่จริงหนังไม่ได้กะทำให้บทพูดมันสมจริงมากขึ้นหรอกครับ 
แต่เพราะป๋าคีนูแกไม่เล่นภาคต่อเลยต้องมีการเปลี่ยนพระเอกใหม่ 555 แต่ถ้าป๋าคีนูแกเล่นภาคต่อแล้วให้สถานะทั้งคู่เลิกกันเหมือนเดิมแล้วสถานการณ์ในภาค2ทำให้ทั้งคู่กลับมารักกัน แบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกันนะผมว่า
  แม้ว่าความสัมพันธ์ที่ก่อตัวขึ้นยามขับขันมันไม่ยั่งยืนก็จริง แต่หลายครั้งหลายคราวคนเราก็ทำให้มันยั่งยืนได้ ถ้าจะอ้างอิงขออ้างอิงจากละครเรื่อง
"อังกอร์" ล่ะกันครับ แม้ว่าจะกี่ภาคกี่เวอร์ชั่นช่อง3หรือช่อง7สิ่งที่เราเห็นได้เสมอจากละครเรื่องนี้คือการฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆของพระเอกนางเอกที่หลบกระสุนหลบระเบิดเจอเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติและลงท้ายที่ความรักที่มั่นคงแข็งแรง แม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าตามสูตรละครมันก็ต้องสมหวังซึ่งมันก็จริง แต่ถ้าดูดีๆจะพบว่าการที่ทั้งคู่มีความรักที่มั่นคงแข็งแรงได้ก็เพราะทั้งคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกันอีกทั้งรู้ถึงน้ำใจนิสัยกันและกันแล้วงี้รักของทั้งคู่จะไม่มั่นคงได้ไง เพราะงั้นผมเลยอยากบอกว่าสถานการณ์ที่เอื้อให้เราปิ๊งกันนั้น เป็นปัจจัยต้นๆที่ทำให้เราพัฒนาความรู้สึกดีๆกับใครสักคนได้แต่มันมักจะไม่ยั่งยืน ถ้าหากเราต้องการเพิ่มความเข้มข้นของความรู้สึกดีๆเพิ่มโอกาสในความสัมพันธ์นั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือการเข้าไปร่วมทุกข์ร่วมสุขในชีวิตของกันและกันทำความเข้าใจถึงนิสัยและน้ำใจของกันและกันก่อน อย่างนี้มันอาจจะไม่ใช่แค่ "การตกหลุมรัก" แต่มันเพิ่มโอกาสให้เราเจอ "รักแท้" ก็ได้
จากทฤษฎีนี้มีคำนึงทีผมคิดว่าครอบคลุมใจความและเนื้อหาได้มากที่สุดและสรุปได้ง่ายๆเลยก็คือ "รักแท้มักแพ้ใกล้ชิด"
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่