กังหันลมในปารีส

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

How A Timber Framed Windmill Works



Windmills of Montmartre, Maurice Utrillo


พื้นที่ปารีสส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบ มีควน(ภูเขาขนาดเล็ก)อยู่บ้าง
แต่มีจุดที่สูง 2-3 สามแห่งในเมือง จุดที่สามารถรับลมได้อย่างง่ายดาย
ย้อนกลับไปอดีต ยุคที่ปารีสมีอุตสาหกรรมการสีข้าวที่เฟื่องฟู
เนินเขาเหล่านี้มีโรงงานผลิตจากกำลังลมจำนวนมาก
มากกว่า 300 แห่ง ตามที่หลายคนบอกเล่ากัน

มีการนำเข้า ปริมาณธัญพืชจำนวนมหาศาลมาจากอเมริกา
(สหรัฐอเมริกามีการปลูกธัญพืชจำนวนมากในเขตตอนใต้)
และโรงสีในพื้นที่เหล่านี้ต่างโม่ข้าวสาลี
ให้ป่นจนกลายเป็นแป้งละเอียดเพื่อนำไปผลิตขนมปัง
เพราะขนมปังเป็นอาหารหลักสำหรับชาวฝรั่งเศสที่ยากจน
ในช่วงเวลาที่การนำเข้าข้าวสาลี มีราคาต่ำไม่สูงมากเกินไป
ผู้มีรายได้เฉลี่ยในฝรั่งเศสต้องจ่ายเงินค่าขนมปังถึง 2/3 ของรายรับ

แต่ในช่วงที่ข้าวสาลีขาดแคลน
ราคาสินค้าอาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของราคาเดิม
ทำให้การเงินของครอบครัวฝรั่งเศส แย่ลงอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้พ่อค้าข้าวจึงมักถูกรังเกียจและถูกตั้งข้อสงสัยว่า
พวกพ่อค้าปลอมปนแป้งและกักตุนข้าวสาลี
เพื่อขึ้นราคาสินค้าสำคัญนี้ อย่างโกรธเคืองและเลือดพล่าน
 
ในอดีต  กังหันลมเหล่านี้มีลักษณะเป็นเส้นขอบฟ้าของกรุงปารีส
ทำให้ทั้งเมืองดูแล้วมีสภาพเป็นทัศนอุจาด (มลภาวะทางสายตา)
ที่สร้างความไม่น่าประทับใจให้กับชาวต่างชาติที่มาเยี่ยมเยือน

ต่อมา กังหันลมเหล่านี้ต่างทะยอดหายไป
แต่ยังเหลืออีก 2  ตัวที่ยังคงสภาพเหมือนเดิม
แม้ว่าจะไม่ได้ใช้งานโม่แป้งตามเดิมแล้ว

กังหันลมที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Moulin de la Galette
หรือที่รู้จักกันในฉายาว่า Blute-fin (โชกเลือด)
ตั้งอยู่บนยอดเขาของ Montmartre
ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทนอกกำแพงเมืองปารีส
กังหันลม Moulin de la Galette
มีตำนานและประวัติที่ค่อนข้างน่าเศร้าสลด


Moulin de la Galette, circa 1885. 
.

ในปี 1622
กังหันลม Moulin de la Galette แห่งนี้สร้างขึ้น
และถูกนำมาใช้ในการผลิตธัญพืชทำผลิตแป้ง
และบดคั้นองุ่นสำหรับการผลิตไวน์

ในปี 1814
ระหว่างการถูกปิดล้อมกรุงปารีส
ใกล้จะสิ้นสุดสงครามนโปเลียน Napoleonic Wars
ตระกูล Debray ซึ่งเป็นเจ้าของกังหันลมแห่งนี้
ได้ทำการป้องกันกังหันลมอย่างเหนียวแน่น
ด้วยการรบกับพวกทหาร Cossacks ของรัสเซีย
สมาชิกหลายคนของครอบครัว Debray ถูกฆ่าตายในช่วงนี้
และหัวหน้าครอบครัว Debray ถูกจับตัวได้
จึงถูกสับร่างกายเป็นท่อน ๆ
แล้วนำชิ้นส่วนศพมัดติดกับปีกของกังหันลม
เพื่อให้กังหันลมหมุนวนพร้อมกับชิ้นส่วนศพ
เป็นการประจานและข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม

ในปี 1870
ในระหว่างสงครามฝรั่งเศส - ปรัสเซีย Franco-Prussian War 
Moulin de la Galette ก็ถูกโจมตีอย่างหนัก
จากทหารปรัสเซียร่วม 20,000 นาย
ประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอยอีกครั้ง
Pierre Charles Debray  ซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวในตอนนั้น
ถูกฆ่าตายแล้วนำศพขึ้นไปผูกติดกับปีกของกังหันลม
เพื่อให้กังหันลมหมุนไปพร้อมกับศพ
พร้อมกับมีการทำลายหลุมฝังศพตระกูลนี้จนเหี้ยนเต้

หลังจากสิ้นสุดสงครามและการปิดล้อมแล้ว
บุตรชายของผู้ตายที่รอดชีวิต
จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนโรงงานโม่แป้งเป็น Guinguette
สถานที่ดื่มที่ได้รับความนิยมตั้งอยู่ใน
เขตชานเมืองของกรุงปารีสและเมืองอื่น ๆ ในประเทศฝรั่งเศส
Guinguettes มักจะทำหน้าที่เป็นร้านอาหาร
และบ่อยครั้งเป็นสถานที่เต้นรำ ต้นกำเนิดของคำนี้
มาจาก guinguet ซึ่งบ่งบอกถึงไวน์ขาวในท้องถิ่น
ที่ได้รับความนิยมกันอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 19

ในที่สุดโรงงานกังหันลมก็กลายเป็นสถานเริงรมย์
ชาวปารีสผู้มั่งคั่งมักจะเดินทางไปที่ Montmartre
เพื่อความเพลิดเพลินทางตากับทางใจ
กับความสุขในเขตพื้นที่ชนบท
ดื่มด่ำกับไวน์ และ ขนมปังอบสดใหม่
และมุมมองระเบียงของปารีสและแม่น้ำ Seine ด้านล่าง
ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ เช่น Renoir Van Gogh และ Pissarro 
ต่างชอบวาดภาพพื้นที่/บรรยายกาศ Moulin de la Galette

จากประวัติที่ผ่านมา โรงงานแห่งนี้มีการดัดแปลงใช้งานหลายประเภท
ตั้งแต่ร้านกาแฟและร้านอาหาร ห้องดนตรีและสตูดิโอโทรทัศน์

ในปี 1924 เจ้าของได้ย้ายกังหันลมไปยังที่ตั้งปัจจุบัน
ตรงหัวมุมถนน Girardon และ Lepic และเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล


Moulin Radet อยู่ด้านบนภัตตาคาร  Moulin de la Galette © Kiev.Victor/Shutterstock.com


กังหันลมอันนี้ตั้งอยู่ที่ Montmartre
ชื่อ Moulin Radet ยังเป็นของตระกูล Debray
ตอนนี้กังหันลมวางอยู่บนร้านอาหารที่ตั้งชื่อ
Moulin de la Galette ที่เคยเป็นชื่อดั้งเดิม
ทุกวันนี้ Moulin Radet ได้รับความนิยม
เพราะมีร้านอาหาร Moulin de la Galette
ที่ใกล้กับพื้นที่สาธารณะ/มีถนนสายหลักผ่าน

Moulin Radet  ด้านบนภัตตาคาร Moulin de la Galette © vvoe/Shutterstock.com


Moulin Radet © Arnaud Malon/Flickr



Moulin d'Orgemont © Julie Kertesz/Flickr
.
ใน Argenteuil พื้นที่ชนบทสำหรับชาวปารีส
ตั้งอยู่ประมาณ 12 กม. ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปารีส
มีโรงสีเก่า Moulin d'Orgemont อีกแห่งหนึ่ง
เดิมเป็นหอคอยเก่าแก่ของ Blanche de Castille
ซึ่งสืบต่อเนื่องมาจากศตวรรษที่ 13
และได้กลายเป็นร้านอาหารกลางศตวรรษที่ 19

ในปี 1999  หอคอยกังหันลมแห่งนี้ถูกไฟไหม้
ก่อนที่จะมีการบูรณะให้กลับคืนสู่ลักษณะปัจจุบัน
และยังคงมีร้านอาหารอยู่ที่นั่น



Moulin de la Tour ที่ Ivry เหนือแม่น้ำ Seine  ©  PaolaBe/Shutterstock.com
.
Moulin de la Tour ใน Ivry-sur-Seine
ชานเมืองทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงปารีส
เป็นโรงงานกังหันลมในภูมิภาคที่ทำงานจนวาระสุดท้าย
โรงงานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17
และเปิดให้บริการจนถึงต้นศตวรรษที่ 19
ต่อมาได้ขายให้ Charles Mortier
จากนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็กลายเป็นคลังสินค้า
และปีกของกังหันลมพังเสียหาย
อาคารก็มีสภาพชำรุดทรุดโทรม
จนเกือบจะถูกสั่งให้ทำลายทิ้ง

แต่เมื่อชาวเมืองตัดสินใจว่า
ที่นี่คือ อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์
และควรได้รับการบูรณะฟื้นฟูให้เหมือนเดิม
จึงได้ปรับปรุงโรงงานกังหันลม Moulin de la Tour
เพื่อใช้สาธิตการผลิต น้ำมันวอลนัท
ให้กับผู้เข้าเยี่ยมชมได้รู้และได้เห็นการทำงาน




ยามค่ำคืนของ Old Longchamp Windmill  © Sander Groffen/Shutterstock.com
.
Old Longchamp Windmill  ปัจจุบันตั้งอยู่ที่
สนามแข่งม้า Longchamp ใน Bois de Boulogne
เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ในบริเวณพื้นที่เดิม
ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของอาราม
คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิค
โรงงานกังหันลมแห่งนี้สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13

ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส
บรรดานักบวชถูกเนรเทศออกจากโบสถ์
พร้อมกับมีการยึดทรัพย์เป็นของรัฐ
กังหันลมจึงมีสภาพพังเสียหายยับเยิน

ในปี 1856 จึงได้รับการสร้างขึ้นใหม่
บนรากฐานเดิมและมีการปรับปรุงขึ้นมาใหม่

เรียบเรียง/ที่มา

https://bit.ly/3f3Ppzq




Windmills of Paris in Art


Le Moulin de la Galette, Van Gogh




Le Moulin de La Galette, Van Gogh




Windmills on Montmartre, Van Gogh




Montmartre the Quarry and Windmills, Van Gogh


 
Windmills at Montmartre, George Michel (1763 - 1843)





สงครามกลางเมืองของฝรั่งเศส
ระหว่างฝ่ายปฏิวัติของรัฐกับฝ่ายศาสนา
ฝ่ายปฏิวัติต้องการบีบบังคับให้บาทหลวงนิกายโรมันคาทอลิคยอมรับอำนาจรัฐ
บาทหลวงบางคนก็ยอมรับ  บางคนก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ
คนที่ปฏิเสธไม่ยอมรับจะถูกจับกุมตัวไปลงโทษ
บางคนก็ถูกประหารชีวิต และแล้วจะยึดทรัพย์สินของโบสถ์เป็นของรัฐ
หลุมศพชาวบ้านก็ห้ามปักไม้กางเขน 
มีการทุบทำลายทิ้งไม้กางเขนจนหมด

ทำให้ชาวบ้านบางส่วนไม่พอใจที่พวกปฏิวัติทำลายศาสนา
จึงลุกฮือขึ้นตั้งกองทัพนักรบคาทอลิค เพื่อต่อสู้กับพวกปฏิวัติ 
เลยถูกตราหน้าว่าพวกนิยมเจ้า
แต่ชาวบ้านพวกนี้ต่างต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด
มีการฆ่าชาวเมืองและข่มขืนสตรีเมือง Nantes อย่างโหดสัตว์รัสเซีย
สมดังคำทำนายนอสตราดามุสว่า
เลือดและการผสมพันธุ์ที่ไม่มีความสุข

ศึกครั้งนี้ ทำให้ฝรั่งเศสเป็นชาติแรกในยุโรป
ที่แยกศาสนาออกจากการเมือง

ในปี พ.ศ. 2466 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1
จักรพรรดิเมห์เหม็ดที่ 6 เป็นทั้งกาหลิบ/จักรพรรดิองค์สุดท้าย
เพราะ มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ปฏิวัติแล้วเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
ล้มล้างอำนาจทั้งหมดแล้วแยกการเมืองออกจากศาสนา
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่