สวัสดีครับ วันนี้ผมก็มีเรื่องดีๆและเป็นสิ่งที่คนเป็นภูมิแพ้ควรฉุกคิดมาเล่าให้ฟังกันครับ
ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ 3 เดือนของผมที่เริ่มป่วยเป็นโรคนี้ (บอกก่อนเลยว่าอาการจมูกของผมไม่รุนแรงมาก ไม่มีน้ำมูก ไม่เจ็บคอ ไม่ไอ และไม่ถึงขั้นไซนัสและหอบหืด และไม่เคยจมูกตันทั้งสองข้าง เป็นแค่ข้างเดียวครับ)
ยังไงก็ตาม อาการของ (ภูมิแพ้) ของผมไม่รุนแรงก็จริง อาจจะไม่เท่ากับคนที่จมูกตันทั้งสองข้างและคนที่เป็นไซนัสอักเสบ แต่มันก็รุนแรงมากขนาดที่ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกจนคิดอยากตายเหมือนกัน เหมือนกับหลายๆคนในห้องนี้ที่เป็นภูมิแพ้อันเป็นโรคน่ากลัวนี้ได้
....จริงหรือ? ภูมิแพ้น่ากลัวหรือ?
อาการวันแรกที่ผมเป็นนั้น เริ่มขึ้นเมื่อตอนตีหนึ่งของสามเดือนก่อน ตอนนั้นคือจู่ๆก็รู้สึกหายใจไม่ออก ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าคงเป็นแปปๆเดี๊ยวก็หาย .....ผ่านไปชั่วโมง จนตลอดทั้งคืนก็ยังหายใจไม่ออก เริ่มเวียนศีรษะและเกิดความเครียดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ สุดท้ายเช้ารุ่งขึ้นผมก็รีบไปหาหมอทันที คุณหมอก็บอกเป็นภูมิแพ้ครับ ให้ยาพ่นจมูกและยาแก้แพ้มา ผมก็กลับบ้านทานยาและใช้ยาพ่นไป2เดือน ตอนนั้นเริ่มใจชื้นขึ้นเพราะรู้ว่าเป็นแค่ภูมิแพ้ไม่ได้เป็นโรคอันตรายอะไร (ตอนนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องโรคภูมิแพ้เลยไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้)
ผล2เดือนคือดีขึ้นครับ แต่ไม่ถึงขนาดหายแล้ว ดีขึ้นแค่นิดเดียวเท่านั้น จะเรียกได้ว่ายังป่วยเหมือนเดิมก็ได้ ผมใช้ยาจนหมด ยาพ่นก็หมด ตอนนั้นคิดว่าใช้ขนาดนี้แล้วยังไม่หายมันคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมั้ง ผมเลยเลิกใช้เลย
3 วันต่อมา อาการทุกอย่างของวันแรกที่เป็นกลับมาครับ คือ2เดือนนี่สูญเปล่ามากครับ ยาทั้งหมดที่ใช้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ใช้ก็กลับมาหายใจไม่ออกเหมือนเดิม
คราวนี้ผมเลยไปโรงบาลอีกรอบ แต่เปลี่ยนเปนเอกชนเพราะคิดว่ามันคงจะดีกว่า (ที่เดิมเปนโรงบาลรัฐ)
คราวนี้ผมบอกหมอว่ามีอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด หมอก็พาไปตรวจหัวใจ (หมอคิดว่าเปนโรคหัวใจเพราะมีอาการแน่นหน้าอก) แต่ผลตรวจหัวใจปกติดี คราวนี้ก็พาไปเป่าลม (คิดว่าอาจเป็นหอบหืด) ผลก็ปกติครับ ปอดแข็งแรงราวคนปกติ สรุปเป็นแค่ภูมิแพ้ หมอก็ให้ยามา กลับบ้าน (ผมไม่บอกชื่อยานะครับเพราะคิดว่ามันไม่มีส่วนสำคัญในที่นี้ที่ผมจะเล่า ยาหมอให้มามี 4 ตัว แต่หลักๆที่ผมใช้มีตัวเดียวคือยาพ่น แล้วจะบอกทีหลังเดี๊ยวยาวครับ)
ผมกลับบ้านมาใช้ยาหมอ 4 ตัวนี้ไปในวันนั้นเลยก็อาการดีขึ้นเลยครับ ใจนึงตอนนั้นเพราะคิดว่าเปนโรงบาลเอกชนด้วยเลยคิดว่าเขามันของจริงๆ สรุปอาการก็ดีขึ้นเลย แต่......มันก็แค่วันนั้น อาการหายใจไม่ออกต่างๆนาๆมันก็ยังตามมาเหมือนเดิม ผมเริ่มเครียด เป็นมาจะ2เดือนกว่าแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาการไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้ท้อแล้วครับ
เอาล่ะ คราวนี้คือส่วนสำคัญนะครับ
หลังจากผ่านหมอมา2ที่ เริ่มไม่โฟกัสไปที่ไปหาหมออีก (คิดว่าให้ยาอะไรมาผมก็คงไม่ดีขึ้นแล้ว) เปลืองตังด้วย
หลังจากวันนั้นที่เริ่มท้อ ผมเลิกสนใจวิธีหมอครับ ผมเปิดกูเกิลเสริชหาความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิ อะไรคือสาเหตุ อะไรคือวิธีรักษา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมหายใจไม่ออก ก็โป๊ะแตกครับ ได้ความรู้มากมาย ได้รู้ว่ายามันไม่ช่วยอาการภูมิแพ้ครับ แค่บรรเทา ไม่ใช่แก้ให้หายไปได้ สิ่งที่จะแก้ภูมิแพ้ (อย่างน้อยก็สำหรับผม) อยู่ด้านล่างนี้ครับ
ผมได้วิธีแก้ภูมิแพ้มา 3 อย่าง (สิ่งนี้สำคัญทุกข้อ และเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าช่วยผมจากจมูกตันได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับยา) เพราะใช้ยามา2เดือนกว่า ผมลอง3วิธีนี้ แค่2อาทิตย์อาการผมดีขึ้นจนแทบจะเกือบหายใจได้เหมือนตอนเป็นปกติ
1.ผมคิดว่าทุกคนที่อยู่ในทู้นี้คงพอจะเดาออกครับ ผมเชื่อว่าคนที่ได้มาอ่านกระทู้นี้ได้ผ่านความทรมานและเสริชข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ทุกอย่างมาหมดแล้วเลยพอจะรู้แกวว่าผมจะบอกว่าสิ่งแรกที่ช่วยนั้นคือ....ออกกำลังกาย เอาล่ะอย่าเพิ่งปิดหนีนะครับ ผมรู้ว่าหลายๆคนในห้องนี้ออกกำลังกายกันหมดทุกคนแล้วซึ่งบางท่านก็อาการดีขึ้นจนหายจากโรคนี้ไปแล้ว แต่บางท่านอาการก็ยังเหมือนเดิม (อันนี้สำคัญ คนที่ยังมีอาการ ช่วยอ่านต่อไปในประเด็นที่ 2 ต่อจากนี้ด้วยนะครับ)
ส่วนใครอยากรู้ระยะเวลาออกกำลังกายของผมนั้น ก็ไม่มากครับ ผมออกแค่วันละ 30 นาที เช้า 10 นาที เย็น 20 นาที แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ระยะเวลาแต่เป็นทำยังไงก็ได้ให้เหงื่อออกมากที่สุดและเหนื่อยมากที่สุดครับ
2.อาหาร พยายามงดของหวาน (น้ำตาลคือตัวทำลายภูมิต้านทานซึ่งเป็นสาเหตุของโรค) พยายามดื่มนมถั่วเหลืองที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากๆ แต่อย่ากินนมวัว มันกระตุ้นภูมิ จากนั้นก็พยายามกินวิตามินซี ดีสำหรับภูมิคุ้มกัน แนะนำส้มครับ เพราะเปลือกมันสำคัญมากในประเด็นที่2 ที่จะพูดต่อไปสำหรับคนออกกำลังกายแล้วแต่ยังหายใจไม่ออก
3.(สิ่งนี้สำคัญมาก อาจจะทรมานหลายๆคน แต่ห้ามเปิดพัดลมครับ เปิดใส่เท้าก็ไม่ได้ครับ) การเปิดพัดลมจะทำให้ไรฝุ่นในอากาสกระจายไปทั่วห้อง ทำให้อาการไม่ดีขึ้นหรืออาจจะแย่ลง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆก็เปิดจากมุมบนไล่ลงมาที่ปลายเท้าก็ได้ครับ คือให้ลมมันพัดไปทางตรงกันข้ามกับจมูก หรือใครมีแอร์ก็เปิดแอร์ก็ได้ถ้าไม่แพ้อากาสหนาว
3 วิธีนี้คือวิธีแก้อาการภูมิแพ้ซึ่งเป็นประเด็นที่1 ที่ผมลองกับตัวเองมา ใน2อาทิตย์ ผมออกกำลังกายทุกวัน ทานส้มและนอนปิดพัดลม แน่นอนว่าผมไม่มีแอร์ เหงื่อแตกทรมานมากครับ แต่ความร้อนนั้นทำให้จมูกผมสามารถกลับมาเริ่มหายใจได้เกือบเป็นปกติอีกครั้ง ระวังเป็นฮีทสโตคนะครับ ใครทนไม่ไหวก็อย่าฝืน ไม่ไหวก็เปิดใส่ขาโดยให้ลมมันพัดไปทิศทางตรงกันข้ามกับจมูกครับ หลายคนอาจจะสงสัยและอยากถามว่านอนปิดพัดลมมันเกี่ยวอะไร คำตอบคือมัน
เป็นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในห้องครับ แน่นอนว่าห้องหนึ่งยังไงก็มีไรฝุ่นและหลีกเลี่ยงที่จะไม่สัมผัสยาก แต่มันก็ยังดีที่คุณไม่ใช้พัดลมพัดไรฝุ่นเข้ามาทำลายจมูกคุณมากขึ้น นี่คือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกับการออกกำลังกายครับ เพราะสองอย่างนี้คือต้นตอที่จะแก้โรคนี้ได้ ไม่ใช่ยาที่แก้ปลายเหตุ ยังไงก็ตามหลังจากนั้นผมลองใช้มือปิดจมูกข้างหนึ่งแล้วใช้รูจมูกอีกข้างสูดอากาศเข้าก็รู้สึกว่ามันโล่งขึ้นต่างจากตอนแรกที่อุดตันแล้ว ดีใจมากครับ เมื่อรู้สึกว่าอาการเริ่มดีขึ้น ใครที่มีปัญหาที่รูจมูกและอยากรู้ว่ามันตันข้างไหนก็ใช้วิธีนี้นะครับ ถ้าคุณสามารถสูดลมเข้าได้ง่ายๆและตอนปล่อยลมสามารถสัมผัสลมหายใจออกได้ ถึงจะเหมือนมีอะไรยังตันอยู่ แต่นั่นเท่ากับว่าตอนนี้จมูกคุณเริ่มหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว สำหรับคนที่มีปัญหาจมูกตันให้ลอง 3 วิธีที่ผมว่าก่อน แล้วลองเช็คความคืบหน้าด้วยวิธีการเอามือปิดจมูกข้างหนึ่งและสูดลมหายใจอีกข้างหนึ่งดูนะครับ
นี่คือ3วิธีแก้ภูมิแพ้ของผม เป็น 3 วิธีที่จะทำให้จมูกคุณโล่งขึ้นจนแทบจะกลับมาเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าจะได้ผลทุกคนไหม แต่มันได้ผลกับผมครับ
เอาล่ะ คราวนี้มาเริ่มสู่ประเด็นที่ 2
ในประเด็นนี้จะบอกวิธีแก้และปัญหาที่แท้จริงสำหรับคนที่ลอง 3 วิธีข้างบนแล้ว จมูกโล่งแล้ว แต่ยังหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอกและอึดอัดเหมือนมีคนมานั่งทับหน้าอก
สำหรับคนที่อยู่ในกรณีนี้ครับ (ผมก็เป็น)
สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้เมื่อมีอาการพวกนี้ ทั้งๆที่จมูกก็โล่งแล้ว ต่อให้ไม่โล่งจนสมบูรณ์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่ามันดูดอากาสเข้ามาได้โดยไม่รู้สึกตันจนหายใจเข้าออกลำบาก แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังอึดอัดและแน่นหน้าอก
คำตอบคือ ในภาวะนี้คุณไม่ได้มีปัญหากับภูมิแพ้แล้วครับ แต่กำลังเผชิญอยู่กับความเครียด
นี่คือโรคที่สองที่คุณกำลังเจอแต่คิดว่าตัวเองกำลังสู้กับภูมิแพ้ ถ้าคุณทดสอบจมูกแบบวิธีที่ผมบอกและรู้สึกว่ามันโล่งขึ้นจนสัมผัสลมหายใจเข้าออกได้โดยไม่ต้องออกแรงหายใจมาก นั่นเท่ากับภูมิแพ้มันหายแล้วครับ (ไม่ได้หายขาด คือยังเป็นอยู่ แต่ที่กำลังทรมานจริงๆนี้ไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้แล้ว)
ความเครียดนี้จะทำให้คุณเวียนหัว ความทรงจำสั้นลง รู้สึกโลกแคบขึ้น มีความรู้สึกชัดเจนว่าสมองทำงานต่างจากเดิม แน่นอกและอึดอัดปอด เหมือนกับหายใจเข้าอากาสไม่ถึงปอด ทั้งหมดก็เป็นเพราะความเครียดครับ
หลายคนอาจจะว่าผมบ้าและกำลังจะบอกว่าความเครียดมันทำให้หายใจไม่ออกไม่ได้ ความเครียดบ้านไหนเกี่ยวกับปอด ส่งผลกับจมูกได้ไง
ใช่แล้วครับ ความเครียดไม่ได้ส่งผลกับอวัยวะพวกนั้นตามที่พวกคุณคิด แต่ที่จริงแล้วมันส่งผลกับสมองครับ
ความเครียดทำให้คุณหลั่งสารบางอย่าง (จำชื่อไม่ได้) ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายและมันทำให้ระบบการสื่อสารของสมองรวนครับ อยากอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้แต่ผมอ่านมาและจำได้แค่นี้ครับ ลืมแล้วว่าอ่านเว็บไหน
หลายคนคงคิดว่าความเครียดเป็นเรื่องเล็ก แค่เครียดจะถึงกับเป็นขนาดนี้ได้ไง เครียดแค่หาอะไรชอบทำคลายเครียดก็สิ้นเรื่อง
แต่ความจริงนั้นความเครียดไม่ใช่เรื่องเล็กครับ ถ้าคุณเครียดสะสมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกับการทรมานจากโรคเรื้อรังแบบนี้นานๆ คุณมีโอากาสสูงที่จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าหรือเครียดเรื้อรังไปแล้วครับ มันคือโรคครับ ไม่ใช่แค่เครียดธรรมดาๆ
ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นโรคเครียดตามที่ผมบอกรึเปล่า คุณลองนึกเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณเครียดดูครับ จากนั้นสังเกตุอาการครับว่าแน่นหน้าอกไหม จู่ๆรู้สึกเพลียหรือเวียนศีรษะไหม อึดอัดไหม
ถ้าเป็นก็หมายความว่าคุณมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคเครียดที่เกิดจากภูมิแพ้เหมือนผม
ถ้าไม่เป็นคุณก็อาจจะไม่ได้เป็นโรคเครียดครับ ให้กดปิดได้เลยครับ จากนี้จะอธิบายถึงสำหรับกรณีที่คนเป็นโรคเครียดแล้วหายใจไม่ออก
เรื่องส้มที่อธิบายไว้ในประเด็นแรกก็ขอเอามาอธิบายต่อตรงนี้เลยนะครับ ถ้าคุณอยากมั่นใจเพิ่มว่าเป็นโรคเครียดจริงรึเปล่า ก็ขอให้ลองเอาเปลือกส้มมาดมดูครับ ถ้ารู้สึกเหมือนหายใจออกและโล่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาดก็มาถูกทางแล้ว นี่คือข้อบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคเครียดครับ สาเหตุที่จู่ๆหายใจโล่งขึ้นเพราะเปลือกส้มมันช่วยให้ลดความเครียดได้ครับ
เอาล่ะ เปลือกส้มก็ส่วนหนึ่ง แต่จะขออธิบายวิธีจริงๆที่จะช่วยลดความเครียดครับ
ที่จริงยาก็เป็นตัวเลือก แต่ผมไม่เคยลอง ดังนั้นจะไม่ขอพูดถึง วิธีที่ผมจะพูดและแนะนำให้ทำก็คือ......ออกกำลังกายครับ เพราะการออกกำลังจะช่วยปล่อยสาร....ตัวนั้นที่ความเครียดมันสร้างขึ้นมาออกไป จากนั้นยังช่วยเราหลั่งสารความสุขอีกด้วย วิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมได้ลองมาครับ
ทุกคนคงจะเกิดคำถามอีกว่า อ้าว ออกกำลังกายอีกแล้ว? แต่ถ้าออกกำลังซึ่งก็เป็นวิธีที่เสนอไปแล้วแต่ยังมาเจอความเครียดอีก แถมพวกเราก็ออกกำลังกายกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังหายใจไม่ออกอยู่ งั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรเลยน่ะสิ
มันช่วยครับ อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ เพราะผมสามารถสัมผัสความแตกต่างได้หลังออกกำลังกายเลยว่าความทรมานทางจิตและความผิดปกติของสมองที่เกิดขึ้นตอนแรกและหลังนั้นต่างกัน
ตอนแรกอึดอัดแน่นหน้าอกจนอยากฆ่าตัวตาย (แต่ยังอึดอัดแน่นหน้าอกอยู่)
ตอนหลังความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหายไปและรู้เริ่มรู้สึกปลอดโปล่งขึ้นแล้ว (แต่ยังอึดอัดแน่นหน้าอกอยู่)
ก็คือผมยังแน่นหน้าอกเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ในเสตทที่ทรมานมากๆเหมือนก่อนแล้ว ก็คือดีขึ้นนิดนึง (เท่านี้ผมก็ชื้นใจแล้วครับ)
สิ่งที่คุณควรรู้คือโรคเครียดมันค่อนข้างอันตราย เพียงแค่คุณกังวลหรือเกิดความรู้สึกด้านลบนิดหน่อย ความรู้สึกแน่นหน้าอกก็จะกลับมาอยู่ดี ยิ่งคุณเครียดมากแค่ไหน สาร....นั้นที่มาจากความเครียดจะสร้างขึ้นในตัวคุณเรื่อยๆและยิ่งทำให้คุณทรมานขึ้นเรื่อยๆๆๆ นี่เป็นสาเหตุที่คุณออกกำลังกายมามาก แต่คุณก็ยังหายใจไม่ออกและทรมานเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะคุณออกกำลังกายและปล่อยสาร....นั้นที่เกิดจากความเครียดไปแล้ว แต่คุณก็ยังคอยกังวลและเครียดที่คุณยังหายใจได้ไม่เป็นปกติสักที นันทำให้สารนั้นถูกสร้างขึ้นมาอีก เป็นแบบนี้วนไป
ทางที่ดีออกกำลังกายต่อไป รู้สึกทรมานก็นอนดมเปลือกส้มให้หยุดคิดเรื่องเครียด นั่งสมาธิ ปล่อยวางบ้าง
ยังไงก็ตามโรคเครียดคือโรคอันตรายโรคหนึ่ง ดังนั้นพบแพทย์เพื่อขอข้อชี้แนะด้วยจะดีกว่า ยังไงผมก็แค่คนที่ไม่มีความรู้เฉพาะทางด้านนี้ ดังนั้นอาจจะมีหลายอย่างที่ผมอธิบายพลาดไป ก็เพียงแค่อยากจะมาเล่าถึงวิธีที่มันได้ผลกับผมเท่านั้น
โปรดพิจารณาอย่างมีสติ
แก้ภูมิแพ้ใน 2 สัปดาห์ หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก
ทั้งหมดมาจากประสบการณ์ 3 เดือนของผมที่เริ่มป่วยเป็นโรคนี้ (บอกก่อนเลยว่าอาการจมูกของผมไม่รุนแรงมาก ไม่มีน้ำมูก ไม่เจ็บคอ ไม่ไอ และไม่ถึงขั้นไซนัสและหอบหืด และไม่เคยจมูกตันทั้งสองข้าง เป็นแค่ข้างเดียวครับ)
ยังไงก็ตาม อาการของ (ภูมิแพ้) ของผมไม่รุนแรงก็จริง อาจจะไม่เท่ากับคนที่จมูกตันทั้งสองข้างและคนที่เป็นไซนัสอักเสบ แต่มันก็รุนแรงมากขนาดที่ทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก แน่นหน้าอกจนคิดอยากตายเหมือนกัน เหมือนกับหลายๆคนในห้องนี้ที่เป็นภูมิแพ้อันเป็นโรคน่ากลัวนี้ได้
....จริงหรือ? ภูมิแพ้น่ากลัวหรือ?
อาการวันแรกที่ผมเป็นนั้น เริ่มขึ้นเมื่อตอนตีหนึ่งของสามเดือนก่อน ตอนนั้นคือจู่ๆก็รู้สึกหายใจไม่ออก ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแค่ว่าคงเป็นแปปๆเดี๊ยวก็หาย .....ผ่านไปชั่วโมง จนตลอดทั้งคืนก็ยังหายใจไม่ออก เริ่มเวียนศีรษะและเกิดความเครียดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ สุดท้ายเช้ารุ่งขึ้นผมก็รีบไปหาหมอทันที คุณหมอก็บอกเป็นภูมิแพ้ครับ ให้ยาพ่นจมูกและยาแก้แพ้มา ผมก็กลับบ้านทานยาและใช้ยาพ่นไป2เดือน ตอนนั้นเริ่มใจชื้นขึ้นเพราะรู้ว่าเป็นแค่ภูมิแพ้ไม่ได้เป็นโรคอันตรายอะไร (ตอนนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องโรคภูมิแพ้เลยไม่คิดว่ามันจะน่ากลัวขนาดนี้)
ผล2เดือนคือดีขึ้นครับ แต่ไม่ถึงขนาดหายแล้ว ดีขึ้นแค่นิดเดียวเท่านั้น จะเรียกได้ว่ายังป่วยเหมือนเดิมก็ได้ ผมใช้ยาจนหมด ยาพ่นก็หมด ตอนนั้นคิดว่าใช้ขนาดนี้แล้วยังไม่หายมันคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วมั้ง ผมเลยเลิกใช้เลย
3 วันต่อมา อาการทุกอย่างของวันแรกที่เป็นกลับมาครับ คือ2เดือนนี่สูญเปล่ามากครับ ยาทั้งหมดที่ใช้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่ใช้ก็กลับมาหายใจไม่ออกเหมือนเดิม
คราวนี้ผมเลยไปโรงบาลอีกรอบ แต่เปลี่ยนเปนเอกชนเพราะคิดว่ามันคงจะดีกว่า (ที่เดิมเปนโรงบาลรัฐ)
คราวนี้ผมบอกหมอว่ามีอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด หมอก็พาไปตรวจหัวใจ (หมอคิดว่าเปนโรคหัวใจเพราะมีอาการแน่นหน้าอก) แต่ผลตรวจหัวใจปกติดี คราวนี้ก็พาไปเป่าลม (คิดว่าอาจเป็นหอบหืด) ผลก็ปกติครับ ปอดแข็งแรงราวคนปกติ สรุปเป็นแค่ภูมิแพ้ หมอก็ให้ยามา กลับบ้าน (ผมไม่บอกชื่อยานะครับเพราะคิดว่ามันไม่มีส่วนสำคัญในที่นี้ที่ผมจะเล่า ยาหมอให้มามี 4 ตัว แต่หลักๆที่ผมใช้มีตัวเดียวคือยาพ่น แล้วจะบอกทีหลังเดี๊ยวยาวครับ)
ผมกลับบ้านมาใช้ยาหมอ 4 ตัวนี้ไปในวันนั้นเลยก็อาการดีขึ้นเลยครับ ใจนึงตอนนั้นเพราะคิดว่าเปนโรงบาลเอกชนด้วยเลยคิดว่าเขามันของจริงๆ สรุปอาการก็ดีขึ้นเลย แต่......มันก็แค่วันนั้น อาการหายใจไม่ออกต่างๆนาๆมันก็ยังตามมาเหมือนเดิม ผมเริ่มเครียด เป็นมาจะ2เดือนกว่าแล้วยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาการไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้ท้อแล้วครับ
เอาล่ะ คราวนี้คือส่วนสำคัญนะครับ
หลังจากผ่านหมอมา2ที่ เริ่มไม่โฟกัสไปที่ไปหาหมออีก (คิดว่าให้ยาอะไรมาผมก็คงไม่ดีขึ้นแล้ว) เปลืองตังด้วย
หลังจากวันนั้นที่เริ่มท้อ ผมเลิกสนใจวิธีหมอครับ ผมเปิดกูเกิลเสริชหาความรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับภูมิ อะไรคือสาเหตุ อะไรคือวิธีรักษา อะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมหายใจไม่ออก ก็โป๊ะแตกครับ ได้ความรู้มากมาย ได้รู้ว่ายามันไม่ช่วยอาการภูมิแพ้ครับ แค่บรรเทา ไม่ใช่แก้ให้หายไปได้ สิ่งที่จะแก้ภูมิแพ้ (อย่างน้อยก็สำหรับผม) อยู่ด้านล่างนี้ครับ
ผมได้วิธีแก้ภูมิแพ้มา 3 อย่าง (สิ่งนี้สำคัญทุกข้อ และเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าช่วยผมจากจมูกตันได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับยา) เพราะใช้ยามา2เดือนกว่า ผมลอง3วิธีนี้ แค่2อาทิตย์อาการผมดีขึ้นจนแทบจะเกือบหายใจได้เหมือนตอนเป็นปกติ
1.ผมคิดว่าทุกคนที่อยู่ในทู้นี้คงพอจะเดาออกครับ ผมเชื่อว่าคนที่ได้มาอ่านกระทู้นี้ได้ผ่านความทรมานและเสริชข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ทุกอย่างมาหมดแล้วเลยพอจะรู้แกวว่าผมจะบอกว่าสิ่งแรกที่ช่วยนั้นคือ....ออกกำลังกาย เอาล่ะอย่าเพิ่งปิดหนีนะครับ ผมรู้ว่าหลายๆคนในห้องนี้ออกกำลังกายกันหมดทุกคนแล้วซึ่งบางท่านก็อาการดีขึ้นจนหายจากโรคนี้ไปแล้ว แต่บางท่านอาการก็ยังเหมือนเดิม (อันนี้สำคัญ คนที่ยังมีอาการ ช่วยอ่านต่อไปในประเด็นที่ 2 ต่อจากนี้ด้วยนะครับ)
ส่วนใครอยากรู้ระยะเวลาออกกำลังกายของผมนั้น ก็ไม่มากครับ ผมออกแค่วันละ 30 นาที เช้า 10 นาที เย็น 20 นาที แต่สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ระยะเวลาแต่เป็นทำยังไงก็ได้ให้เหงื่อออกมากที่สุดและเหนื่อยมากที่สุดครับ
2.อาหาร พยายามงดของหวาน (น้ำตาลคือตัวทำลายภูมิต้านทานซึ่งเป็นสาเหตุของโรค) พยายามดื่มนมถั่วเหลืองที่มีสารต้านอนุมูลอิสระมากๆ แต่อย่ากินนมวัว มันกระตุ้นภูมิ จากนั้นก็พยายามกินวิตามินซี ดีสำหรับภูมิคุ้มกัน แนะนำส้มครับ เพราะเปลือกมันสำคัญมากในประเด็นที่2 ที่จะพูดต่อไปสำหรับคนออกกำลังกายแล้วแต่ยังหายใจไม่ออก
3.(สิ่งนี้สำคัญมาก อาจจะทรมานหลายๆคน แต่ห้ามเปิดพัดลมครับ เปิดใส่เท้าก็ไม่ได้ครับ) การเปิดพัดลมจะทำให้ไรฝุ่นในอากาสกระจายไปทั่วห้อง ทำให้อาการไม่ดีขึ้นหรืออาจจะแย่ลง แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆก็เปิดจากมุมบนไล่ลงมาที่ปลายเท้าก็ได้ครับ คือให้ลมมันพัดไปทางตรงกันข้ามกับจมูก หรือใครมีแอร์ก็เปิดแอร์ก็ได้ถ้าไม่แพ้อากาสหนาว
3 วิธีนี้คือวิธีแก้อาการภูมิแพ้ซึ่งเป็นประเด็นที่1 ที่ผมลองกับตัวเองมา ใน2อาทิตย์ ผมออกกำลังกายทุกวัน ทานส้มและนอนปิดพัดลม แน่นอนว่าผมไม่มีแอร์ เหงื่อแตกทรมานมากครับ แต่ความร้อนนั้นทำให้จมูกผมสามารถกลับมาเริ่มหายใจได้เกือบเป็นปกติอีกครั้ง ระวังเป็นฮีทสโตคนะครับ ใครทนไม่ไหวก็อย่าฝืน ไม่ไหวก็เปิดใส่ขาโดยให้ลมมันพัดไปทิศทางตรงกันข้ามกับจมูกครับ หลายคนอาจจะสงสัยและอยากถามว่านอนปิดพัดลมมันเกี่ยวอะไร คำตอบคือมัน
เป็นการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในห้องครับ แน่นอนว่าห้องหนึ่งยังไงก็มีไรฝุ่นและหลีกเลี่ยงที่จะไม่สัมผัสยาก แต่มันก็ยังดีที่คุณไม่ใช้พัดลมพัดไรฝุ่นเข้ามาทำลายจมูกคุณมากขึ้น นี่คือการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเหมือนกับการออกกำลังกายครับ เพราะสองอย่างนี้คือต้นตอที่จะแก้โรคนี้ได้ ไม่ใช่ยาที่แก้ปลายเหตุ ยังไงก็ตามหลังจากนั้นผมลองใช้มือปิดจมูกข้างหนึ่งแล้วใช้รูจมูกอีกข้างสูดอากาศเข้าก็รู้สึกว่ามันโล่งขึ้นต่างจากตอนแรกที่อุดตันแล้ว ดีใจมากครับ เมื่อรู้สึกว่าอาการเริ่มดีขึ้น ใครที่มีปัญหาที่รูจมูกและอยากรู้ว่ามันตันข้างไหนก็ใช้วิธีนี้นะครับ ถ้าคุณสามารถสูดลมเข้าได้ง่ายๆและตอนปล่อยลมสามารถสัมผัสลมหายใจออกได้ ถึงจะเหมือนมีอะไรยังตันอยู่ แต่นั่นเท่ากับว่าตอนนี้จมูกคุณเริ่มหายกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว สำหรับคนที่มีปัญหาจมูกตันให้ลอง 3 วิธีที่ผมว่าก่อน แล้วลองเช็คความคืบหน้าด้วยวิธีการเอามือปิดจมูกข้างหนึ่งและสูดลมหายใจอีกข้างหนึ่งดูนะครับ
นี่คือ3วิธีแก้ภูมิแพ้ของผม เป็น 3 วิธีที่จะทำให้จมูกคุณโล่งขึ้นจนแทบจะกลับมาเป็นปกติ ผมไม่รู้ว่าจะได้ผลทุกคนไหม แต่มันได้ผลกับผมครับ
เอาล่ะ คราวนี้มาเริ่มสู่ประเด็นที่ 2
ในประเด็นนี้จะบอกวิธีแก้และปัญหาที่แท้จริงสำหรับคนที่ลอง 3 วิธีข้างบนแล้ว จมูกโล่งแล้ว แต่ยังหายใจไม่ออก รู้สึกแน่นหน้าอกและอึดอัดเหมือนมีคนมานั่งทับหน้าอก
สำหรับคนที่อยู่ในกรณีนี้ครับ (ผมก็เป็น)
สิ่งสำคัญที่คุณต้องรู้เมื่อมีอาการพวกนี้ ทั้งๆที่จมูกก็โล่งแล้ว ต่อให้ไม่โล่งจนสมบูรณ์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้ว่ามันดูดอากาสเข้ามาได้โดยไม่รู้สึกตันจนหายใจเข้าออกลำบาก แต่ทั้งอย่างนั้นก็ยังอึดอัดและแน่นหน้าอก
คำตอบคือ ในภาวะนี้คุณไม่ได้มีปัญหากับภูมิแพ้แล้วครับ แต่กำลังเผชิญอยู่กับความเครียด
นี่คือโรคที่สองที่คุณกำลังเจอแต่คิดว่าตัวเองกำลังสู้กับภูมิแพ้ ถ้าคุณทดสอบจมูกแบบวิธีที่ผมบอกและรู้สึกว่ามันโล่งขึ้นจนสัมผัสลมหายใจเข้าออกได้โดยไม่ต้องออกแรงหายใจมาก นั่นเท่ากับภูมิแพ้มันหายแล้วครับ (ไม่ได้หายขาด คือยังเป็นอยู่ แต่ที่กำลังทรมานจริงๆนี้ไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้แล้ว)
ความเครียดนี้จะทำให้คุณเวียนหัว ความทรงจำสั้นลง รู้สึกโลกแคบขึ้น มีความรู้สึกชัดเจนว่าสมองทำงานต่างจากเดิม แน่นอกและอึดอัดปอด เหมือนกับหายใจเข้าอากาสไม่ถึงปอด ทั้งหมดก็เป็นเพราะความเครียดครับ
หลายคนอาจจะว่าผมบ้าและกำลังจะบอกว่าความเครียดมันทำให้หายใจไม่ออกไม่ได้ ความเครียดบ้านไหนเกี่ยวกับปอด ส่งผลกับจมูกได้ไง
ใช่แล้วครับ ความเครียดไม่ได้ส่งผลกับอวัยวะพวกนั้นตามที่พวกคุณคิด แต่ที่จริงแล้วมันส่งผลกับสมองครับ
ความเครียดทำให้คุณหลั่งสารบางอย่าง (จำชื่อไม่ได้) ที่ส่งผลเสียต่อร่างกายและมันทำให้ระบบการสื่อสารของสมองรวนครับ อยากอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้แต่ผมอ่านมาและจำได้แค่นี้ครับ ลืมแล้วว่าอ่านเว็บไหน
หลายคนคงคิดว่าความเครียดเป็นเรื่องเล็ก แค่เครียดจะถึงกับเป็นขนาดนี้ได้ไง เครียดแค่หาอะไรชอบทำคลายเครียดก็สิ้นเรื่อง
แต่ความจริงนั้นความเครียดไม่ใช่เรื่องเล็กครับ ถ้าคุณเครียดสะสมเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกับการทรมานจากโรคเรื้อรังแบบนี้นานๆ คุณมีโอากาสสูงที่จะกลายเป็นโรคซึมเศร้าหรือเครียดเรื้อรังไปแล้วครับ มันคือโรคครับ ไม่ใช่แค่เครียดธรรมดาๆ
ถ้าคุณอยากรู้ว่าคุณเป็นโรคเครียดตามที่ผมบอกรึเปล่า คุณลองนึกเรื่องอะไรก็ได้ที่ทำให้คุณเครียดดูครับ จากนั้นสังเกตุอาการครับว่าแน่นหน้าอกไหม จู่ๆรู้สึกเพลียหรือเวียนศีรษะไหม อึดอัดไหม
ถ้าเป็นก็หมายความว่าคุณมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคเครียดที่เกิดจากภูมิแพ้เหมือนผม
ถ้าไม่เป็นคุณก็อาจจะไม่ได้เป็นโรคเครียดครับ ให้กดปิดได้เลยครับ จากนี้จะอธิบายถึงสำหรับกรณีที่คนเป็นโรคเครียดแล้วหายใจไม่ออก
เรื่องส้มที่อธิบายไว้ในประเด็นแรกก็ขอเอามาอธิบายต่อตรงนี้เลยนะครับ ถ้าคุณอยากมั่นใจเพิ่มว่าเป็นโรคเครียดจริงรึเปล่า ก็ขอให้ลองเอาเปลือกส้มมาดมดูครับ ถ้ารู้สึกเหมือนหายใจออกและโล่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาดก็มาถูกทางแล้ว นี่คือข้อบ่งชี้ว่าคุณเป็นโรคเครียดครับ สาเหตุที่จู่ๆหายใจโล่งขึ้นเพราะเปลือกส้มมันช่วยให้ลดความเครียดได้ครับ
เอาล่ะ เปลือกส้มก็ส่วนหนึ่ง แต่จะขออธิบายวิธีจริงๆที่จะช่วยลดความเครียดครับ
ที่จริงยาก็เป็นตัวเลือก แต่ผมไม่เคยลอง ดังนั้นจะไม่ขอพูดถึง วิธีที่ผมจะพูดและแนะนำให้ทำก็คือ......ออกกำลังกายครับ เพราะการออกกำลังจะช่วยปล่อยสาร....ตัวนั้นที่ความเครียดมันสร้างขึ้นมาออกไป จากนั้นยังช่วยเราหลั่งสารความสุขอีกด้วย วิธีนี้คือวิธีที่ดีที่สุดที่ผมได้ลองมาครับ
ทุกคนคงจะเกิดคำถามอีกว่า อ้าว ออกกำลังกายอีกแล้ว? แต่ถ้าออกกำลังซึ่งก็เป็นวิธีที่เสนอไปแล้วแต่ยังมาเจอความเครียดอีก แถมพวกเราก็ออกกำลังกายกันอยู่แล้ว แต่ก็ยังหายใจไม่ออกอยู่ งั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรเลยน่ะสิ
มันช่วยครับ อย่างน้อยก็สำหรับผมนะ เพราะผมสามารถสัมผัสความแตกต่างได้หลังออกกำลังกายเลยว่าความทรมานทางจิตและความผิดปกติของสมองที่เกิดขึ้นตอนแรกและหลังนั้นต่างกัน
ตอนแรกอึดอัดแน่นหน้าอกจนอยากฆ่าตัวตาย (แต่ยังอึดอัดแน่นหน้าอกอยู่)
ตอนหลังความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายหายไปและรู้เริ่มรู้สึกปลอดโปล่งขึ้นแล้ว (แต่ยังอึดอัดแน่นหน้าอกอยู่)
ก็คือผมยังแน่นหน้าอกเหมือนเดิม แต่ไม่ใช่ในเสตทที่ทรมานมากๆเหมือนก่อนแล้ว ก็คือดีขึ้นนิดนึง (เท่านี้ผมก็ชื้นใจแล้วครับ)
สิ่งที่คุณควรรู้คือโรคเครียดมันค่อนข้างอันตราย เพียงแค่คุณกังวลหรือเกิดความรู้สึกด้านลบนิดหน่อย ความรู้สึกแน่นหน้าอกก็จะกลับมาอยู่ดี ยิ่งคุณเครียดมากแค่ไหน สาร....นั้นที่มาจากความเครียดจะสร้างขึ้นในตัวคุณเรื่อยๆและยิ่งทำให้คุณทรมานขึ้นเรื่อยๆๆๆ นี่เป็นสาเหตุที่คุณออกกำลังกายมามาก แต่คุณก็ยังหายใจไม่ออกและทรมานเหมือนเดิม นั่นเป็นเพราะคุณออกกำลังกายและปล่อยสาร....นั้นที่เกิดจากความเครียดไปแล้ว แต่คุณก็ยังคอยกังวลและเครียดที่คุณยังหายใจได้ไม่เป็นปกติสักที นันทำให้สารนั้นถูกสร้างขึ้นมาอีก เป็นแบบนี้วนไป
ทางที่ดีออกกำลังกายต่อไป รู้สึกทรมานก็นอนดมเปลือกส้มให้หยุดคิดเรื่องเครียด นั่งสมาธิ ปล่อยวางบ้าง
ยังไงก็ตามโรคเครียดคือโรคอันตรายโรคหนึ่ง ดังนั้นพบแพทย์เพื่อขอข้อชี้แนะด้วยจะดีกว่า ยังไงผมก็แค่คนที่ไม่มีความรู้เฉพาะทางด้านนี้ ดังนั้นอาจจะมีหลายอย่างที่ผมอธิบายพลาดไป ก็เพียงแค่อยากจะมาเล่าถึงวิธีที่มันได้ผลกับผมเท่านั้น
โปรดพิจารณาอย่างมีสติ