จดหมายยินดี จากแฟนผีถึงแฟนหงส์

ถึง แฟนบอลลิเวอร์พูล

ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดี กับตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20 ของพวกคุณ

อันที่จริง ผมควรได้ร่วมยินดีตั้งแต่ปีก่อนด้วยซ้ำ เพราะการเก็บได้ถึง 97 แต้ม มันดีเพียงพออย่างเหลือเฟือแล้ว สำหรับการเป็นแชมเปี้ยน

ขนาด แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปถึง 13 สมัย (หากนับรวมดิวิชั่น 1 เดิมด้วย ก็คือ 20 ครั้ง) ยังเก็บได้มากที่สุดแค่ 91 แต้มในฤดูกาล 1999-2000

นั่นหมายความว่า แต้มที่พวกคุณมีเมื่อปีที่แล้ว มันเหนือกว่าแต้มของทีมที่ผมเชียร์ในทุกฤดูกาลเลยทีเดียว

เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกคุณไม่ได้ฉลองเมื่อปีก่อน เป็นเพราะความยอดเยี่ยมเกินไปของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น

...ด้วยความสัตย์จริง ผมโล่งใจมากเมื่อปีที่แล้ว ที่ได้เห็น เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถทำให้ทีมของเขาโค่นพวกคุณได้

และลึกๆ แล้วในตอนนั้น ผมรู้สึก “สะใจ” ที่พวกคุณยังต้องผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์มีผลงานเจ๋งเป้งขนาดนั้นแท้ๆ

ผมถึงกับคิดในใจว่า “ถ้าลิเวอร์พูลเทพขนาดนี้แล้วไม่ได้แชมป์ จะไปลุ้นปีไหนอีก” เลยทีเดียว
___________________________

ในฐานะที่ผมคือแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผมต้องบอกตามตรง ว่าผมไม่เคยอยากเห็นพวกคุณได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเลย

เปล่า...ผมไม่ได้เกลียดชังอะไรพวกคุณ

แต่คุณคงเข้าใจความหมายของคำว่า “คู่แข่ง” ใช่ไหมครับ และการแข่งขัน มันย่อมมีผู้แพ้-ผู้ชนะ

แน่นอนว่าไม่มีใครอยากเป็นผู้แพ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามันคือการแข่งขันกันในทางประวัติศาสตร์

ก่อนการเข้ามาของอดีตกุนซือที่พวกผมบูชาอย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทีมที่ผมรักไม่เคยได้แชมป์ลีกสูงสุดอังกฤษมากกว่าพวกคุณเลยสักที

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้แชมป์ดิวิชั่น 1 เดิมครั้งแรกในปี 1908 แต่ในตอนนั้นพวกคุณออกตัวนำไปก่อนแล้วถึง 2 สมัย

ตอนที่พวกคุณได้แชมป์ลีกหนสุดท้าย หรือสมัยที่ 18 ในปี 1990 ตอนนั้นทีมที่ผมเชียร์เพิ่งได้แชมป์ลีกรวมกันแค่ 7 ครั้งเท่านั้น

และหลังจากที่ผมได้ลืมตาดูโลก (ผมเกิดไม่ถึง 1 ปีให้หลังจากที่ เซอร์ อเล็กซ์ เข้าไปคุม แมนฯ ยูฯ) ผมต้องใช้เวลารอคอยนานกว่า 20 ปี กว่าจะได้บอกใครๆ ว่า ผีแดงคือทีมที่ได้แชมป์ลีกอังกฤษมากกว่า ลิเวอร์พูล เสียที

การที่ เซอร์ อเล็กซ์ พา แมนฯ ยูไนเต็ด ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกถึง 13 ครั้ง มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมาก

ด้วยมาตรฐานแบบนั้น พวกผมเคยมั่นใจมากๆ ว่าพวกคุณจะไม่มีทางมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพวกผมอีก

...แต่ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน ว่าหลังจากที่ป๋าเฟอร์กี้อำลาทีมไป พวกผมจะไม่เคยได้ลุ้นแชมป์ลีกอีกเลย

ความกังวลมันยิ่งมากขึ้นเท่าตัว เพราะในขณะที่ทีมที่ผมเชียร์มาตรฐานตกลงฮวบฮาบ แต่ในเวลาเดียวกันพวกคุณกลับค่อยๆ ผงาดขึ้นมาซะงั้น
___________________________

ฤดูกาลแรกที่คนคุมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในพรีเมียร์ลีก ไม่ใช่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทีมของพวกผมตกต่ำขนาดจบได้แค่อันดับ 7 แถมแพ้พวกคุณทั้งไปและกลับแบบสู้ไม่ได้

ในขณะที่ เดวิด มอยส์ ทำให้แฟนผีแดงเบื่อหน่ายกับการดูฟุตบอล แต่ในปีนั้น เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เกือบพาพวกคุณไปถึงแชมป์พรีเมียร์ลีก

เกมลีก 16 นัดแรกของปี 2014 พวกคุณไม่แพ้ใครเลย แถมทำสถิติชนะรวดถึง 11 นัดก่อนถึง 3 นัดสุดท้าย

บอกตามตรง ตอนนั้นผมมองไม่เห็นเลยว่าพวกคุณจะเอาอะไรไปพลาดแชมป์

ถ้าจำกันได้ดี แฟนบอลของทีมที่คุณเชียร์ เอา “รถแห่” ออกมาวิ่งจนเป็นข่าวดังทั่วบ้านทั่วเมืองครั้งแรก ก็ในฤดูกาลนั้นนั่นแหละ

แต่การลื่นล้มของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมกับ เชลซี เปลี่ยนโมเมนตัมทุกอย่างให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ฉวยโอกาสได้แชมป์แทนในช่วงโค้งสุดท้าย

...ใช่ครับ ตอนนั้น ผมพอใจที่พวกคุณยังคงผิดหวังกับการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

แต่เอาเข้าจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องยุติธรรม ที่กัปตันทีมที่พวกคุณรักมากที่สุด ต้องมาโดนแฟนบอลคู่อริเหยียดหยามทั้งชีวิต จากความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว
ในมุมของคนล้อคงสนุกสนาน แต่ลองนึกภาพว่าถ้าหากเราเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูลบ้าง จะรู้สึกยังไง?

ขนาดภาพ เซร์คิโอ อเกวโร่ วิ่งถอดเสื้อขึ้นมาควง ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของนัดสุดท้ายฤดูกาล 2011-12 ยังทำให้แฟนบอล แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ลืมโมเมนต์ใจสลายที่เสียแชมป์พรีเมียร์ลีกในวินาทีสุดท้ายเพราะผลต่างประตูได้-เสีย

แล้วมันจะนับประสาอะไรกับการที่ ผู้คนเอาภาพเหตุการณ์ที่ทำร้ายจิตใจนักเตะขวัญใจพวกคุณ ทำร้ายจิตใจพวกคุณ มาขยี้พวกคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผมรู้สึกเสียดายแทน สตีเว่น เจอร์ราร์ด เหมือนกัน เพราะนักเตะแบบเขา ดีเกินกว่าจะไม่เคยได้แชมป์ลีกเลยทั้งชีวิต
___________________________

หลังจากความผิดหวังที่อดได้แชมป์ลีก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ไม่ใช่ “คนที่ใช่” ของพวกคุณอีกต่อไป มันฟ้องด้วยมาตรฐานที่ตกลงชัดเจนในช่วงเวลา 17 เดือนถัดมา

ช่วงปี 2014-2015 ถึงทีมของพวกผมจะผลงานย่ำแย่ไม่ต่างกัน แต่ในตอนนั้น ผมยังค่อนข้างวางใจได้อยู่บ้าง ว่าสถิติคว้าแชมป์ลีกสูงสุด 20 สมัย ยังไม่มีใครมาสั่นคลอน

ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ ร็อดเจอร์ส ยังมีจุดอ่อนเต็มไปหมด และตอนนั้นถ้าใครมาบอกว่าหงส์แดงจะลุ้นแชมป์ มันคงเป็นเรื่องตลกขบขัน
จนกระทั่งในเดือนตุลาคม 2015 พวกคุณได้โค้ชที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกไปอยู่ด้วย

ผมไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ มีคนกังขาฝีมือของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มากแค่ไหน แต่สำหรับผมแล้ว ใครก็ตามที่เคยคุมทีมที่ไม่ใช่ บาเยิร์น มิวนิค แล้วได้แชมป์บุนเดสลีกาถึง 2 ปีซ้อน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา

แม้ในฤดูกาล 2015-16 ทีมของพวกผมจะเอาชนะพวกคุณได้ทั้งไปและกลับในพรีเมียร์ลีก และจบฤดูกาลด้วยอันดับที่สูงกว่า

แต่ผมบอกกับคนใกล้ตัวชัดเจนมาตลอด ว่าถ้าหากเลือกได้ระหว่าง หลุยส์ ฟาน กัล กับ เจอร์เก้น คล็อปป์ ผมจะเลือก คล็อปป์ มาเป็นโค้ชของทีมที่ผมรักโดยไม่ลังเล

คนที่เคยพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ โค่น บาเยิร์น มิวนิค ที่มีปัจจัยรอบด้านเหนือกว่าทุกอย่างมาแล้ว ย่อมมีความสามารถเพียงพอ ที่จะซ่อมแซมลิเวอร์พูลที่มีรอยผุเต็มไปหมด ให้กลายเป็นทีมที่สมบูรณ์แบบ

ทีมใดจะประสบความสำเร็จได้ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือการที่คนเป็นกุนซือสามารถทำให้ทุกคนไว้วางใจ ขณะที่ผู้คนรอบข้างก็พร้อมศรัทธาในตัวเขา

คล็อปป์ พูดไว้ตั้งแต่การให้สัมภาษณ์ต่อหน้าสื่อครั้งแรกในฐานะนายใหญ่หงส์แดงว่า “ถ้าหากผมยังอยู่ในตำแหน่งได้ถึง 4 ปี ผมมั่นใจมากๆ ว่าเราจะต้องได้แชมป์ลีกสักครั้ง”

มันอาจจะนานกว่าที่เขาตั้งเป้าไว้นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ถือว่าเขาทำได้อย่างที่พูดจริงๆ
___________________________

ในขณะที่ทีมที่ผมเชียร์ ลองผิดลองถูกกับกุนซือ 3 คน ทั้ง หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ่ มูรินโญ่ และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ โดยไม่รู้ว่าแฟนบอลควรตั้งความหวังอะไรกับสโมสรกันแน่

แต่ฝั่งพวกคุณมีเป้าหมายชัดเจน ว่าต้องการพัฒนาทีละสเตป ส่วนเรื่องของการหวังถ้วยแชมป์ มันจะมาถึงในวันที่เหมาะสมเอง

เอาตรงๆ ถึงแม้ว่าผมไม่เคยอยากเห็น ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ แต่สิ่งที่ผมนับถือพวกคุณมาตลอด ยิ่งกว่าแฟนบอลทีมตัวเองเสียอีก คือเรื่องของ “ศรัทธา” และ “ให้เวลา” นี่แหละ

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะทีมของพวกคุณรอคอยความสำเร็จมานานอยู่แล้ว ไม่เหมือนพวกผมที่ยังสลัดภาพความยิ่งใหญ่ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ ไปไม่ได้

ในขณะที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ค่อยๆ สร้างทีมเพื่อวันข้างหน้า แต่ทุกคนที่เข้ามาทำงานใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด จะต้องถูกนำไปเทียบกับสิ่งที่ป๋าเคยทำไว้
อีกส่วนหนึ่งก็คือ ทีมที่คุณรัก ได้อยู่ในความดูแลของคนที่ใช่แล้ว

ปัจจัยที่ผมคิดว่าสำคัญมาก ที่ช่วยให้พวกคุณพัฒนาได้ไวขึ้น คือการที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่ต้องพาทีมลงเตะฟุตบอลยุโรปแม้แต่รายการเดียว ในฤดูกาล 2016-17

การพลาดแชมป์ ยูโรปา ลีก เพราะพ่ายต่อ เซบีย่า เมื่อ 4 ปีที่แล้ว กลายเป็นเรื่องที่ดีกว่าในระยะยาว เพราะการไม่ต้องลงเตะรายการของยูฟ่า หมายความว่าพวกคุณไม่ต้องมีขนาดทีมที่ใหญ่อะไรมาก และสามารถกำจัดนักเตะที่ไม่ดีพอได้เต็มที่

คล็อปป์ เล่นแร่แปรธาตุ ด้วยการปล่อยส่วนเกินอย่าง โจ อัลเลน, จอร์ดอน ไอบ์, คริสติย็อง เบนเตเก้, โฆเซ่ เอ็นริเก้, มาร์ติน สเคอร์เทล, โคโล่ ตูเร่, หลุยส์ อัลเบร์โต้ และ มาริโอ บาโลเตลลี่ กลายเป็นนักเตะที่เป็นกำลังหลักของทีมจนถึงตอนนี้อย่าง ซาดิโอ มาเน่ และ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม แถมยังมี โฌแอล มาติป ย้ายมาเป็นอะไหล่ในแดนหลังแบบฟรีๆ อีกคน

และเมื่อพวกคุณได้กลับไปสู่ระดับของทีมที่ได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกครั้ง หลังจากนั้นพวกคุณมีแต่ทะยานไปข้างหน้าจริงๆ

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายในแนวรุก ส่วน แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คือการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมเหลือเชื่อเกินคาด
___________________________

ในปี 2018 พวกคุณพลาดแชมป์ยุโรปไปอย่างน่าเจ็บปวด จากความผิดพลาดที่ยากจะทำใจได้ของ ลอริส คาริอุส บวกกับสาเหตุของอาการบาดเจ็บของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ยากจะยอมรับ

ในฤดูกาลนั้น พวกคุณไม่ได้แชมป์อะไรเลย ขนาดอันดับในพรีเมียร์ลีกยังเป็นรองพวกผมด้วยซ้ำ

ทีมที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกตอนนั้นคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ผมคิดว่าชาตินี้คงหาทีมไหนในอังกฤษเก่งกว่าพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว

ทีมบ้าอะไร เคยชนะติดกันในพรีเมียร์ลีก 18 นัดรวด, เก็บแต้มรวมกันได้ 100 แต้ม และเป็นแชมป์ที่ทิ้งห่างอันดับ 2 (ซึ่งเป็นพวกผมเอง) ถึง 19 คะแนน

ในขณะที่ตำแหน่งรองแชมป์ของพวกผมถูกมองว่าด้อยค่า เพราะมันคือการตามหลังทีมคู่แข่งร่วมเมืองแมนเชสเตอร์ห่างเกินไป จนทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่ได้รับความเชื่อใจจากบอร์ดบริหารอีก

แต่พวกคุณกลับใช้มันเป็นแรงบันดาลใจ ที่จะกลับมาต่อสู้ และพัฒนาทีมให้พร้อมยิ่งกว่าเก่า

พวกคุณซ่อมแซมจุดอ่อนด้วยการซื้อตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ ไปเป็นนายประตู หลังจากทุ่มซื้อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ไปคุมแนวรับด้วยสถิติโลกของกองหลังก่อนหน้านั้นแล้ว แถมยังเติมความสมบูรณ์แบบในแดนกลาง ด้วยการคว้าตัว ฟาบินโญ่ ไปอีก

เมื่อบวกกับทีมชุดเดิมที่แกร่งพอเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ใครๆ ก็เริ่มคิดแล้วว่า พวกคุณพร้อมแล้วจริงๆ ที่จะได้แชมป์

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมชื่นชอบบทสัมภาษณ์ก่อนเปิดฤดูกาลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ มากๆ

มันแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของคนที่ตั้งเป้าหมายใหญ่ และเชื่อมั่นในความเป็นไปได้ว่าจะไปให้ถึง

เขาบอกว่า “ถ้าหากมีทีมไหนดีกว่าพวกคุณ จงพัฒนาตัวเองเพื่อไปให้ถึงมาตรฐานนั้น และโค่นพวกเขาลงให้ได้”

“ผมไม่เคยอยากได้ทีมที่ดีที่สุด ตัวผมเองไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของทีมแบบนั้น ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม”

“สิ่งที่ผมสนใจ ก็คือการล้มทีมที่ดีที่สุด ทีมที่ดีที่สุดในตอนนี้คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั่นหมายความว่าทุกทีมที่เหลือล้วนไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุด”

“และเป้าหมายของผมก็คือการโค่นซิตี้ให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้”
___________________________

(มีต่อนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่