ผมบังเอิญได้ไปเห็นคุณครูที่โรงเรียนเก่า แกบ่นลงโซเชียลถึงเรื่องการเรียกร้องไว้ผมยาวของนักเรียน ซึ่งคุณครูท่านนี้เป็นคุณครูที่เคร่งระเบียบ เนี๊ยบ เป๊ะ ทุกอย่างเหมือนกับบุคลิกของแกที่เป๊ะเกินกว่าชายทั่วไป? โดยเนื้อหาที่บ่นลงเฟซแกบอกว่า แกรู้สึกรำคาญที่นักเรียนทักมาถามว่าเปิดเทอมแล้วจะไว้ผมยาวได้มั้ย? แกก็เลยย้อนถามกลับนักเรียนว่า "สถานการณ์โควิดระบาดอย่างนี้ยังจะมาถามเรื่องทรงผม เอาเวลาไปสนใจเรื่องการเรียนดีกว่ามั้ย?" แถมยังขุดภาพนักเรียนสมัยดึกดำบรรพ์เมื่อ 30 ปีที่แล้วเห็นจะได้ เป็นภาพนักเรียนหญิงผมสั้นเท่าติ่งหู นักเรียนชายหัวเกรียนจ๋าแล้วตัดพ้อว่า "นักเรียนสมัยนี้เรียกร้องแต่สิทธิอยากจะไว้แต่ผมยาว ไม่รู้จักหน้าที่คือการตั้งใจเล่าเรียนหนังสือซะเลย สู้เด็กรุ่นเก่าก็ไม่ได้ที่ตั้งใจรักษากฎระเบียบ เรียนก็ดี" และใต้โพสต์ดังกล่าวมีเหล่าบรรดาFCของคุณครู มาคอมเมนท์เห็นด้วยกันเป็นจำนวนมาก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณครูท่านนี้บ่นลงเฟซบุ๊ก แกบ่นมาทุกปี ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมเรียน แกก็ทำสงครามกับกลุ่มนักเรียนที่เรียกร้องการไว้ผมยาวมาตลอดทุกรุ่น และแน่นอนว่าฝ่ายนักเรียนแพ้ราบคาบทุกสมัย มีอยู่ปีหนึ่งตอนนั้นผมเพิ่งเข้า ม.ต้น ในเทศกาลเลือกประธานนักเรียน มีผู้ลงสมัครคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เด็กห้องเก่งเว่อร์เพอร์เฟค จะออกแนวเฮ้วๆหน่อย ได้เสนอนโยบายเปลี่ยนกฎทรงผมให้นักเรียนชาย-หญิง ไม่ต้องไว้ผมเกรียน ไม่ต้องสั้นเท่าติ่งหู จะยาวจะรองทรงได้ตามอิสระและความเหมาะสม โดยตามกฎของโรงเรียนแล้ว เด็กนักรียนชายม.ต้น ต้องตัดผมเกรียนเบอร์ 0 นักเรียนหญิงผมสั้นเสมอหู คนไหนผมหยิกฟูอนุญาตไว้ยาว ส่วนเด็กนักเรียนชาย ม.ปลาย ไว้ผมรองหวีเบอร์ 1 ใครเรียน รด.ก็เกรียนตามกฎทหาร นักเรียนหญิง ม.ปลายไว้ยาวได้แต่ต้องไปทำเรื่องขอและมีโควตาจำกัด ใครไม่ทำเรื่องก็ไว้สั้นแค่ปลายคาง ในปีนั้นเองผู้สมัครคนดังกล่าวก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับคณะครูเหมือนเด็กห้องเก่ง บวกกับต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย ทำให้ประธานคนนี้ไปไม่รอด ต้องพลิกขั้วให้พรรคที่ได้อันดับ2 ซึ่งเป็นเด็กเรียนดีห้องต้นๆ เข้ามาบริหารแทน แล้วนโยบายไว้ผมยาวก็เป็นหมัน ทำไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะอำนาจของคณะครูที่แอบสนับสนุนฝ่ายเด็กดี ช่วยผลักดันให้เปลี่ยนขั้วและอีกปัจจัยคือตัวของประธานและทีมงานนั่นแหละ ไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับอำนาจครูในโรงเรียน จนกระทั่งเวลาผ่านไป เมื่อผมได้เลื่อนชั้นมาม.ปลาย แล้วบังเอิญได้เรียนกับคุณครูเจ้าระเบียบท่านนี้ ในคาบเรียนหนึ่งแกก็หยิบประเด็นของประธานคนนี้มาข่มเด็กที่อยากไว้ผมยาว พูดประมาณว่า "มีปีนึง นักเรียนมันเลือกนาย.......? เป็นประธาน มันเสนอนโยบายไว้ผมยาวล่อคะแนน เป็นไงสุดท้ายเละไม่เป็นท่า ทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง สู้เด็กที่มารับช่วงต่อก็ไม่ได้ ทำถูกระเบียบ ทำงานเก่ง เชื่อฟังครู ขยันเรียน น่ารัก ไอ้นั่นนะเป็นประธานที่ห่วยที่สุดเท่าที่เจอมา" ซึ่งตอนนั้นผมเองก็รับฟัง แต่ในใจก็คิดว่าการขุดเรื่องเก่ามานินทาให้นักเรียนรุ่นหลังฟังมันถูกต้องแล้วใช่มั้ย? เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า "พวกอย่าคิดต่อสู้กับครูเรื่องไว้ผมนะ ยังไงก็แพ้อยู่ดี เอาเวลาไปเรียนให้ดีก่อนเถอะ" จะว่าไปแล้วแทนที่ยุคนั้นจะได้มีการปฏิรูปกฎโรงเรียนเรื่องทรงผม จากการที่นักเรียนเลือกผู้แทนที่มุ่งเน้นแก้กฎทรงผมเป็นหลัก แต่ฝั่งครูกลับไม่เห็นพลังของนักเรียนในการเรียกร้องขอความเป็นอิสระบนศีรษะตัวเองบ้างเลย ถ้าเจรจาหารือกันในสมัยนั้นอาจได้ข้อสรุปที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย และถ้าพี่ประธานคนนั้นแข็งแกร่งเฟี้ยวฟ้าวต่อสู้กับอำนาจครูเหมือนพระเอกซีรีย์วัยรุ่นในปัจจุบันนี้ ทรงผมในฝันของใครหลายคนอาจจะเป็นจริงไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจัง!
มาต่ออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับนักเรียนชายทั้งโรงเรียนก็ว่าได้ เมื่อทางโรงเรียนได้ส่งตัวแทนนักเรียนม.ปลาย ชาย-หญิง เข้าประกวดโครงการเฟ้นหาเทพบุตรเทพธิดาต้นแบบรายการหนึ่ง แล้วตัวแทนนักเรียนก็ผ่านการออดิชั่นเข้ารอบลึกไปแข่งที่ กทม. ออกทีวีช่องใหญ่ โรงเรียนกลับอนุญาตให้พ่อเทพบุตรต้นแบบไว้ผมรองทรงได้ ส่วนนักเรียน ม.ปลายคนอื่นๆ ก็รองหวีเบอร์ 1 เหมือนเดิม ความเหลื่อมล้ำเริ่มเกิดขึ้นในโรงเรียน มีนักเรียนไปถามครูปกครองว่าทำไมพ่อเทพบุตรไว้ผมรองทรงได้แต่คนอื่นไว้ไม่ได้ ก็ได้รับคำตอบประมาณว่า "เธอก็ไปประกวดเป็นตัวแทนโรงเรียนเหมือนเขาสิ ถึงไว้ผมยาวได้" (ซึ่งในยุคนนั้นการประกวดอะไรทำนองนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน) ด้านพ่อเพบุตรก็เริ่มแต่งหล่อขึ้นเรื่อยๆ มีการเขียนคิ้ว ทาปากให้อมชมพู ทารองพื้นเบาๆมาเรียน (ในช่วงนั้นเราเองก็คิดว่าเขาอาจจะล้างหน้าจากตอนประกวดไม่หมดหรือเปล่ามันเลยมีคราบเครื่องสำอางติด แต่พอรู้จักกับผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอางซึ่งในยุคนั้นก็มีขายแล้ว กระจ่างทันที มันแต่งเอง!) บางวันพ่อเทพบุตรก็ใส่รองเท้าแฟชั่นนำเทรนด์ ใส่ถุงเท้าสั้นผิดระเบียบ ครูก็ไม่ว่าอะไร แต่พอคนอื่นใส่ตามบ้าง โน่นจ้าตากแอร์เย็นๆห้องปกครอง! ราวกับว่านักเรียนชายคนอื่นๆโรงเรียนเป็นฝูงกากันไปหมด ส่วนพ่อเทพบุตรก็เป็นหงส์ผู้สง่าย่างกรายกระจายออร่าความหล่อทั้งโรงเรียน แต่ประเด็นหลักๆ ที่อยากโต้แย้งกับครูฝ่ายปกครองก็คือ การที่ปล่อยให้ตัวแทนโรงเรียนไว้ผมยาว เท่ๆ แล้วไปโชว์ผ่านสื่อให้เป็นที่รู้จัก มันขัดแย้งกับสิ่งที่กรอกหูนักเรียนในโรงเรียนทุกวันว่า การไว้ผมถูกต้องตามกฎ คือ เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของโรงเรียน เป็นที่น่าจดจำน่ายินดี ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนนี้ แล้วทำไมถึงไม่ให้พ่อเทพบุตรนำเอาความถูกระเบียบนี้ไปโชว์ให้คนทั้งประเทศได้รู้ ส่วนด้านครูเจ้าระเบียบน่ะเหรอ อวยพ่อเทพบุตรใหญ่ เชิญชวนส่งโหวต SMS อย่าลืมเชียร์กันนะคะ! พอจบการแข่งขันปรากฏว่าพ่อเทพบุตรตกรอบ แต่เจ้าตัวก็อ้างว่าต้องไปถ่ายMV ไปออดิชั่นห่านเหวอะไรอีก ทำให้ได้ไว้ผมยาวรองทรงนานเลย
ย้อนกลับมาที่เรื่องของตัวเองบ้าง ไอ้คำว่าผมสั้นถูกกฏระเบียบนี่แหละ มันได้สร้างบาดแผลในใจมาแล้ว โดยปกติผมก็เป็นคนที่รักษากฎระเบียบของโรงเรียนเป็นอย่างดี ไม่เคยตัดผมผิดระเบียบ ครูสั่งให้ตัดผมก็ไปตัดทันที เพื่อนบางคนเป็นสายแฟชั่นแอบตัดทรงผิดระเบียบ เวลาผ่านครูปกครองหรือครูระเบียบก็จะเลี่ยงๆ พอถูกแง๊บหัวแหว่งก็ปล่อยให้แหว่งอย่างนั้นแหละ บางคนไปทำให้รอยแหว่งนั้นเป็นลวดลายซึ่งก็เฟี้ยวดีนะ มีอยู่ช่วงหนึ่งครูฝ่ายปกครองได้ตรวจทรงผมในช่วงเวลาคาบเกี่ยวรอยต่อระหว่างสิ้นเดือนกับเดือนใหม่ ซึ่งปกติครูปกครองจะตรวจผมทุกๆต้นเดือน บางเดือนก็ไม่ตรวจ ตอนนั้นตัวผมเองรู้สึกว่าผมก็ไม่ได้ยาวมากจนน่าเกลียด ซักสัปดาห์หน้าค่อยไปตัดแล้วกัน แต่ครูปกครองบอกว่ายาวก็เลยถูกกรรไกรแง๊บหัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่นะ มันเหมือนว่าเราถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผมเราก็ไม่ได้ยาวเฟื้อยดำน่าเกลียด ทำไมต้องมาครีเอททรงผมแหว่งๆ น่าเกลียดบนหัวเราด้วย พอตกเย็นก็ไม่ได้ไปตัดผมเพราะโรงเรียนเลิกช้า หากตัดผมคงถึงบ้านค่ำ เวลาอิสระตอนเย็นก่อนพ่อแม่กลับมาจากที่ทำงานก็คงน้อยลง ซึ่งคนอื่นที่โดนแง๊บผมแหว่งเหมือนเราเขายังอยู่เป็นอาทิตย์ได้เลย แต่พอพ่อแม่กลับมาเห็นทรงผมแหว่งๆเท่านั้นแหละ ด่ากราดใหญ่เลย บอกว่าไม่อายหรือไงมีทรงผมแบบนี้ แล้วเทศนาชุดจัมโบ้เซ็ท แผลในใจจากช่วงเช้าที่เพิ่งสมานกลับถูกเปิดให้ลึกขึ้นอีกครั้งทำเอาวันนั้นกินข้าวเย็นไม่อร่อยเลย อีกเหตุการณ์ก็คล้ายๆกับเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นตอน ม.6 ช่วงคาบเกี่ยวปลายเดือนกับต้นเดือน ครูปกครองมาจิกหัวแบบไม่ยั้งมือราวกับจะเอาให้หนังหัวหลุดให้ได้ ทั้งที่ทรงผมยาวขึ้นมาเท่ากับรองหวีเบอร์ 2 แต่ก็ไม่ถูกแง๊บหัวแหว่ง สัปดาห์นั้นก็ไม่ตัดผม แล้วตั้งปณิธานว่าถ้าครูมาจิกหัวอีกจะร้องลั่นดังทั้งโรงเรียน มันทำเกินไป พูดดีๆก็ได้ คือเราทำตามกฎมาตลอดไม่เคยดื้อ แต่มาวันหนึ่งเราแค่ผมยาวขึ้นจากเดิมไม่กี่มิล แล้วความยาวของผมเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กลับเป็นว่าถูกครูปกครองทำร้ายร่างกายอย่างป่าเถื่อน การเคารพกฎก่อนหน้านี้ของเราเองไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการถูกทำร้ายเลยใช่มั้ย กะอีแค่ผมยาวกลับมองว่าเป็นคนผิดแถมยังถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำร้ายจิตใจ มันช่างไรเหตุผลสิ้นดี นี่หรือโรงเรียนสถานที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตย เกาหลีเหนือชัดๆ
แล้วเมื่อไหร่สงครามเรื่องทรงผมของเด็กไทยที่มีแทบทุกโรงเรียนสังกัดรัฐบาลจะได้ขอยุติที่น่าพอใจสักที เมื่อไหร่เหล่าครูอาจารย์จะรับฟังเสียงของเด็กที่ต้องการไว้ผมยาว หรือจริงๆ พวกเขาก็รู้ดีอยู่เต็มอกแต่ทำหูทวนลม เด็กไทยจะต้องสู้กับกฎน่าเบื่ออย่างนี้ทุกรุ่นเลยหรือ? กฎที่ไม่มีเหตุผล พออ้างเหุผลก็เป็นเหตุผลเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตัดผมสั้นเกรียนเพื่อความสะอาด ป้องกันเหา ป้องกันกลิ่นเหม็นเหงื่อ ประทานโทษสมัยนี้เขามีแชมพูเป็นร้อยสูตรล้านยี่ห้อ ลดการสะสมของแบคทีเรียมีถมเถ หรือไม่ก็อ้างว่าตัดเกรียนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ถ้าหากการไว้ผมยาวแล้วเซ็ททรงผมให้ดูดี มันไม่งามหรอ พอพูดถึงเรื่องเซ็ทผมฝ่ายครูก็อ้างอีกว่า "มัวแต่สนใจแต่งสวยแต่งหล่อ การเรียนให้มันสนใจแบบนี้บ้างสิ" อ้าว! การสร้างลุคให้ตัวเองดูดีเพื่อเรียกความั่นใจให้ตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระหรอ มาโรงเรียนเจอเพื่อนเจอครู เป็นการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง ทุกคนอยากดูดีในแบบฉบับที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีใครหรอกอยากจะมีลุคที่คนอื่นบังคับให้มีบังคับให้เป็นอย่างนั้น อันที่จริงแล้วฝั่งครูเองก็ควรจะสนับสนุนชี้แนวทางที่ดีให้กับเด็ก เช่น อาจจะมีชั่วโมงสร้างลุค ปรับบุคลิกภาพ แนะนำทรงผม การแต่งกายชาย-หญิง ให้เหมาะกับยุคสมัยถูกกาลเทศะ สอนเทคนิคสร้างความมั่นใจแลกเปลี่ยนความรู้เทรด์ทรงผม การแต่งตัว ที่แต่ละคนสนใจ หรือไม่ก็อาจมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านผมมาให้ความรู้ คำแนะนำ ฝึกสอนการตัดผมให้กับคนที่สนใจซึ่งก็เป็นการสร้างอาชีพให้กับนักเรียนไปด้วย เพราะเอาจริงๆในปัจจุบัน ครูใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับลุค การแต่งตัวของนักเรียนน้อยมาก เห็นแค่ว่าแต่งถูกระเบียบก็เรียบร้อยดี ก็จบ! แต่ไอ้ลุคเรียบร้อยและทรงผมถูกกฎระเบียบถูกนี่แหละตัวทำเรื่องน่าอายชั้นดี บางคนโครงหน้ารับกับทรงผมก็โชคดีหน่อย บางคนโครงหน้าไม่เข้ากับทรงผม ก็ถูกล้อเลียนถูกบูลลี่เป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นทั้งที่ไมอยากจะเป็น ใจคอครูไทยทุกท่านจะปล่อยให้เด็กๆจมอยู่กับทรงเกรียน ทรงสั้นปลายคางต่อไปอย่างนั้นหรือ เรื่องการปรับลุคสร้างบุคลิกภาพที่ดี ควรเริ่มตั้งแต่เปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชาย เด็กหญิง เป็น นาย นางสาว ไปซะด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ควรให้เด็กๆ ได้มีอิสระที่จะเลือกไว้ทรงผมและไปโรงเรียนเข้าสังคม เจอเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์อย่างมีความสุขสักที
แชร์ประสบการณ์ ศึกทรงผมกับครูเคร่งระบียบ ความเหลื่อมล้ำ ความเจ็บปวด เรื่องทรงผมที่ไม่มีวันลืม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณครูท่านนี้บ่นลงเฟซบุ๊ก แกบ่นมาทุกปี ย้อนกลับไปในสมัยที่ผมเรียน แกก็ทำสงครามกับกลุ่มนักเรียนที่เรียกร้องการไว้ผมยาวมาตลอดทุกรุ่น และแน่นอนว่าฝ่ายนักเรียนแพ้ราบคาบทุกสมัย มีอยู่ปีหนึ่งตอนนั้นผมเพิ่งเข้า ม.ต้น ในเทศกาลเลือกประธานนักเรียน มีผู้ลงสมัครคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เด็กห้องเก่งเว่อร์เพอร์เฟค จะออกแนวเฮ้วๆหน่อย ได้เสนอนโยบายเปลี่ยนกฎทรงผมให้นักเรียนชาย-หญิง ไม่ต้องไว้ผมเกรียน ไม่ต้องสั้นเท่าติ่งหู จะยาวจะรองทรงได้ตามอิสระและความเหมาะสม โดยตามกฎของโรงเรียนแล้ว เด็กนักรียนชายม.ต้น ต้องตัดผมเกรียนเบอร์ 0 นักเรียนหญิงผมสั้นเสมอหู คนไหนผมหยิกฟูอนุญาตไว้ยาว ส่วนเด็กนักเรียนชาย ม.ปลาย ไว้ผมรองหวีเบอร์ 1 ใครเรียน รด.ก็เกรียนตามกฎทหาร นักเรียนหญิง ม.ปลายไว้ยาวได้แต่ต้องไปทำเรื่องขอและมีโควตาจำกัด ใครไม่ทำเรื่องก็ไว้สั้นแค่ปลายคาง ในปีนั้นเองผู้สมัครคนดังกล่าวก็ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับคณะครูเหมือนเด็กห้องเก่ง บวกกับต้องแบกรับความรับผิดชอบมากมาย ทำให้ประธานคนนี้ไปไม่รอด ต้องพลิกขั้วให้พรรคที่ได้อันดับ2 ซึ่งเป็นเด็กเรียนดีห้องต้นๆ เข้ามาบริหารแทน แล้วนโยบายไว้ผมยาวก็เป็นหมัน ทำไม่ได้อย่างที่หาเสียงไว้ ส่วนหนึ่งก็อาจเป็นเพราะอำนาจของคณะครูที่แอบสนับสนุนฝ่ายเด็กดี ช่วยผลักดันให้เปลี่ยนขั้วและอีกปัจจัยคือตัวของประธานและทีมงานนั่นแหละ ไม่เข้มแข็งพอที่จะต่อกรกับอำนาจครูในโรงเรียน จนกระทั่งเวลาผ่านไป เมื่อผมได้เลื่อนชั้นมาม.ปลาย แล้วบังเอิญได้เรียนกับคุณครูเจ้าระเบียบท่านนี้ ในคาบเรียนหนึ่งแกก็หยิบประเด็นของประธานคนนี้มาข่มเด็กที่อยากไว้ผมยาว พูดประมาณว่า "มีปีนึง นักเรียนมันเลือกนาย.......? เป็นประธาน มันเสนอนโยบายไว้ผมยาวล่อคะแนน เป็นไงสุดท้ายเละไม่เป็นท่า ทำอะไรไม่เป็นซักอย่าง สู้เด็กที่มารับช่วงต่อก็ไม่ได้ ทำถูกระเบียบ ทำงานเก่ง เชื่อฟังครู ขยันเรียน น่ารัก ไอ้นั่นนะเป็นประธานที่ห่วยที่สุดเท่าที่เจอมา" ซึ่งตอนนั้นผมเองก็รับฟัง แต่ในใจก็คิดว่าการขุดเรื่องเก่ามานินทาให้นักเรียนรุ่นหลังฟังมันถูกต้องแล้วใช่มั้ย? เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า "พวกอย่าคิดต่อสู้กับครูเรื่องไว้ผมนะ ยังไงก็แพ้อยู่ดี เอาเวลาไปเรียนให้ดีก่อนเถอะ" จะว่าไปแล้วแทนที่ยุคนั้นจะได้มีการปฏิรูปกฎโรงเรียนเรื่องทรงผม จากการที่นักเรียนเลือกผู้แทนที่มุ่งเน้นแก้กฎทรงผมเป็นหลัก แต่ฝั่งครูกลับไม่เห็นพลังของนักเรียนในการเรียกร้องขอความเป็นอิสระบนศีรษะตัวเองบ้างเลย ถ้าเจรจาหารือกันในสมัยนั้นอาจได้ข้อสรุปที่ Win-Win ทั้งสองฝ่าย และถ้าพี่ประธานคนนั้นแข็งแกร่งเฟี้ยวฟ้าวต่อสู้กับอำนาจครูเหมือนพระเอกซีรีย์วัยรุ่นในปัจจุบันนี้ ทรงผมในฝันของใครหลายคนอาจจะเป็นจริงไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจัง!
มาต่ออีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับนักเรียนชายทั้งโรงเรียนก็ว่าได้ เมื่อทางโรงเรียนได้ส่งตัวแทนนักเรียนม.ปลาย ชาย-หญิง เข้าประกวดโครงการเฟ้นหาเทพบุตรเทพธิดาต้นแบบรายการหนึ่ง แล้วตัวแทนนักเรียนก็ผ่านการออดิชั่นเข้ารอบลึกไปแข่งที่ กทม. ออกทีวีช่องใหญ่ โรงเรียนกลับอนุญาตให้พ่อเทพบุตรต้นแบบไว้ผมรองทรงได้ ส่วนนักเรียน ม.ปลายคนอื่นๆ ก็รองหวีเบอร์ 1 เหมือนเดิม ความเหลื่อมล้ำเริ่มเกิดขึ้นในโรงเรียน มีนักเรียนไปถามครูปกครองว่าทำไมพ่อเทพบุตรไว้ผมรองทรงได้แต่คนอื่นไว้ไม่ได้ ก็ได้รับคำตอบประมาณว่า "เธอก็ไปประกวดเป็นตัวแทนโรงเรียนเหมือนเขาสิ ถึงไว้ผมยาวได้" (ซึ่งในยุคนนั้นการประกวดอะไรทำนองนี้น้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน) ด้านพ่อเพบุตรก็เริ่มแต่งหล่อขึ้นเรื่อยๆ มีการเขียนคิ้ว ทาปากให้อมชมพู ทารองพื้นเบาๆมาเรียน (ในช่วงนั้นเราเองก็คิดว่าเขาอาจจะล้างหน้าจากตอนประกวดไม่หมดหรือเปล่ามันเลยมีคราบเครื่องสำอางติด แต่พอรู้จักกับผลิตภัณฑ์ลบเครื่องสำอางซึ่งในยุคนั้นก็มีขายแล้ว กระจ่างทันที มันแต่งเอง!) บางวันพ่อเทพบุตรก็ใส่รองเท้าแฟชั่นนำเทรนด์ ใส่ถุงเท้าสั้นผิดระเบียบ ครูก็ไม่ว่าอะไร แต่พอคนอื่นใส่ตามบ้าง โน่นจ้าตากแอร์เย็นๆห้องปกครอง! ราวกับว่านักเรียนชายคนอื่นๆโรงเรียนเป็นฝูงกากันไปหมด ส่วนพ่อเทพบุตรก็เป็นหงส์ผู้สง่าย่างกรายกระจายออร่าความหล่อทั้งโรงเรียน แต่ประเด็นหลักๆ ที่อยากโต้แย้งกับครูฝ่ายปกครองก็คือ การที่ปล่อยให้ตัวแทนโรงเรียนไว้ผมยาว เท่ๆ แล้วไปโชว์ผ่านสื่อให้เป็นที่รู้จัก มันขัดแย้งกับสิ่งที่กรอกหูนักเรียนในโรงเรียนทุกวันว่า การไว้ผมถูกต้องตามกฎ คือ เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของโรงเรียน เป็นที่น่าจดจำน่ายินดี ใครเห็นก็รู้ว่าเป็นนักเรียนโรงเรียนนี้ แล้วทำไมถึงไม่ให้พ่อเทพบุตรนำเอาความถูกระเบียบนี้ไปโชว์ให้คนทั้งประเทศได้รู้ ส่วนด้านครูเจ้าระเบียบน่ะเหรอ อวยพ่อเทพบุตรใหญ่ เชิญชวนส่งโหวต SMS อย่าลืมเชียร์กันนะคะ! พอจบการแข่งขันปรากฏว่าพ่อเทพบุตรตกรอบ แต่เจ้าตัวก็อ้างว่าต้องไปถ่ายMV ไปออดิชั่นห่านเหวอะไรอีก ทำให้ได้ไว้ผมยาวรองทรงนานเลย
ย้อนกลับมาที่เรื่องของตัวเองบ้าง ไอ้คำว่าผมสั้นถูกกฏระเบียบนี่แหละ มันได้สร้างบาดแผลในใจมาแล้ว โดยปกติผมก็เป็นคนที่รักษากฎระเบียบของโรงเรียนเป็นอย่างดี ไม่เคยตัดผมผิดระเบียบ ครูสั่งให้ตัดผมก็ไปตัดทันที เพื่อนบางคนเป็นสายแฟชั่นแอบตัดทรงผิดระเบียบ เวลาผ่านครูปกครองหรือครูระเบียบก็จะเลี่ยงๆ พอถูกแง๊บหัวแหว่งก็ปล่อยให้แหว่งอย่างนั้นแหละ บางคนไปทำให้รอยแหว่งนั้นเป็นลวดลายซึ่งก็เฟี้ยวดีนะ มีอยู่ช่วงหนึ่งครูฝ่ายปกครองได้ตรวจทรงผมในช่วงเวลาคาบเกี่ยวรอยต่อระหว่างสิ้นเดือนกับเดือนใหม่ ซึ่งปกติครูปกครองจะตรวจผมทุกๆต้นเดือน บางเดือนก็ไม่ตรวจ ตอนนั้นตัวผมเองรู้สึกว่าผมก็ไม่ได้ยาวมากจนน่าเกลียด ซักสัปดาห์หน้าค่อยไปตัดแล้วกัน แต่ครูปกครองบอกว่ายาวก็เลยถูกกรรไกรแง๊บหัวเป็นครั้งแรกในชีวิต ความรู้สึกตอนนั้นมันแย่นะ มันเหมือนว่าเราถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ผมเราก็ไม่ได้ยาวเฟื้อยดำน่าเกลียด ทำไมต้องมาครีเอททรงผมแหว่งๆ น่าเกลียดบนหัวเราด้วย พอตกเย็นก็ไม่ได้ไปตัดผมเพราะโรงเรียนเลิกช้า หากตัดผมคงถึงบ้านค่ำ เวลาอิสระตอนเย็นก่อนพ่อแม่กลับมาจากที่ทำงานก็คงน้อยลง ซึ่งคนอื่นที่โดนแง๊บผมแหว่งเหมือนเราเขายังอยู่เป็นอาทิตย์ได้เลย แต่พอพ่อแม่กลับมาเห็นทรงผมแหว่งๆเท่านั้นแหละ ด่ากราดใหญ่เลย บอกว่าไม่อายหรือไงมีทรงผมแบบนี้ แล้วเทศนาชุดจัมโบ้เซ็ท แผลในใจจากช่วงเช้าที่เพิ่งสมานกลับถูกเปิดให้ลึกขึ้นอีกครั้งทำเอาวันนั้นกินข้าวเย็นไม่อร่อยเลย อีกเหตุการณ์ก็คล้ายๆกับเหตุการณ์แรก เกิดขึ้นตอน ม.6 ช่วงคาบเกี่ยวปลายเดือนกับต้นเดือน ครูปกครองมาจิกหัวแบบไม่ยั้งมือราวกับจะเอาให้หนังหัวหลุดให้ได้ ทั้งที่ทรงผมยาวขึ้นมาเท่ากับรองหวีเบอร์ 2 แต่ก็ไม่ถูกแง๊บหัวแหว่ง สัปดาห์นั้นก็ไม่ตัดผม แล้วตั้งปณิธานว่าถ้าครูมาจิกหัวอีกจะร้องลั่นดังทั้งโรงเรียน มันทำเกินไป พูดดีๆก็ได้ คือเราทำตามกฎมาตลอดไม่เคยดื้อ แต่มาวันหนึ่งเราแค่ผมยาวขึ้นจากเดิมไม่กี่มิล แล้วความยาวของผมเราก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน แต่กลับเป็นว่าถูกครูปกครองทำร้ายร่างกายอย่างป่าเถื่อน การเคารพกฎก่อนหน้านี้ของเราเองไม่ได้เป็นเกราะป้องกันการถูกทำร้ายเลยใช่มั้ย กะอีแค่ผมยาวกลับมองว่าเป็นคนผิดแถมยังถูกละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทำร้ายจิตใจ มันช่างไรเหตุผลสิ้นดี นี่หรือโรงเรียนสถานที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งประชาธิปไตย เกาหลีเหนือชัดๆ
แล้วเมื่อไหร่สงครามเรื่องทรงผมของเด็กไทยที่มีแทบทุกโรงเรียนสังกัดรัฐบาลจะได้ขอยุติที่น่าพอใจสักที เมื่อไหร่เหล่าครูอาจารย์จะรับฟังเสียงของเด็กที่ต้องการไว้ผมยาว หรือจริงๆ พวกเขาก็รู้ดีอยู่เต็มอกแต่ทำหูทวนลม เด็กไทยจะต้องสู้กับกฎน่าเบื่ออย่างนี้ทุกรุ่นเลยหรือ? กฎที่ไม่มีเหตุผล พออ้างเหุผลก็เป็นเหตุผลเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ตัดผมสั้นเกรียนเพื่อความสะอาด ป้องกันเหา ป้องกันกลิ่นเหม็นเหงื่อ ประทานโทษสมัยนี้เขามีแชมพูเป็นร้อยสูตรล้านยี่ห้อ ลดการสะสมของแบคทีเรียมีถมเถ หรือไม่ก็อ้างว่าตัดเกรียนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ถ้าหากการไว้ผมยาวแล้วเซ็ททรงผมให้ดูดี มันไม่งามหรอ พอพูดถึงเรื่องเซ็ทผมฝ่ายครูก็อ้างอีกว่า "มัวแต่สนใจแต่งสวยแต่งหล่อ การเรียนให้มันสนใจแบบนี้บ้างสิ" อ้าว! การสร้างลุคให้ตัวเองดูดีเพื่อเรียกความั่นใจให้ตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ไร้สาระหรอ มาโรงเรียนเจอเพื่อนเจอครู เป็นการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง ทุกคนอยากดูดีในแบบฉบับที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีใครหรอกอยากจะมีลุคที่คนอื่นบังคับให้มีบังคับให้เป็นอย่างนั้น อันที่จริงแล้วฝั่งครูเองก็ควรจะสนับสนุนชี้แนวทางที่ดีให้กับเด็ก เช่น อาจจะมีชั่วโมงสร้างลุค ปรับบุคลิกภาพ แนะนำทรงผม การแต่งกายชาย-หญิง ให้เหมาะกับยุคสมัยถูกกาลเทศะ สอนเทคนิคสร้างความมั่นใจแลกเปลี่ยนความรู้เทรด์ทรงผม การแต่งตัว ที่แต่ละคนสนใจ หรือไม่ก็อาจมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านผมมาให้ความรู้ คำแนะนำ ฝึกสอนการตัดผมให้กับคนที่สนใจซึ่งก็เป็นการสร้างอาชีพให้กับนักเรียนไปด้วย เพราะเอาจริงๆในปัจจุบัน ครูใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับลุค การแต่งตัวของนักเรียนน้อยมาก เห็นแค่ว่าแต่งถูกระเบียบก็เรียบร้อยดี ก็จบ! แต่ไอ้ลุคเรียบร้อยและทรงผมถูกกฎระเบียบถูกนี่แหละตัวทำเรื่องน่าอายชั้นดี บางคนโครงหน้ารับกับทรงผมก็โชคดีหน่อย บางคนโครงหน้าไม่เข้ากับทรงผม ก็ถูกล้อเลียนถูกบูลลี่เป็นตัวตลกในสายตาคนอื่นทั้งที่ไมอยากจะเป็น ใจคอครูไทยทุกท่านจะปล่อยให้เด็กๆจมอยู่กับทรงเกรียน ทรงสั้นปลายคางต่อไปอย่างนั้นหรือ เรื่องการปรับลุคสร้างบุคลิกภาพที่ดี ควรเริ่มตั้งแต่เปลี่ยนคำนำหน้าจากเด็กชาย เด็กหญิง เป็น นาย นางสาว ไปซะด้วยซ้ำ ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่ควรให้เด็กๆ ได้มีอิสระที่จะเลือกไว้ทรงผมและไปโรงเรียนเข้าสังคม เจอเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์อย่างมีความสุขสักที