กระทู้เตือนใจ! อย่าไว้ใจหมอบางคลินิกมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้คุณเสียคนที่คุณรัก!

สวัสดีค่ะ อยากมาแชร์ประสบการณ์ที่คงจะเตือนใจเราไปตลอดชีวิตไม่ให้ใครต้องทำผิดพลาดแบบเราจนต้องเสียคุณแม่ไปตลอดชีวิต เพื่อที่ทุกคนจะได้อยู่กับคนที่คุณรักไปนานๆค่ะ
               คุณแม่ของเราเป็นคนไม่ชอบไปโรงพยาบาลค่ะ เคยพาไปหลายที่แล้ว เขาก็บ่นว่ารอนาน อีกทั้งไปตั้งหลายทีไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ เขาจึงเลิกไปโรงพยาบาลค่ะ จนมาเจอกับคลินิกนึงที่อยู่แถวๆบ้าน และมีคนรู้จักของแม่แนะนำว่าดีค่ะ แม่จึงเริ่มไปหา เป็นคลินิกตึกแถวอาคารพาณิชย์ติดถนนใหญ่ที่แห่งหนึ่งใน อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ หมอได้วินิจฉัยว่าแม่ของเรามีโรคประจำตัวค่ะ คือ ความดันและ โรคภูมิแพ้ตนเองหรือโรคพุ่มพวง เนื่องจากแม่ไปหาหมอทีไรเขาฉีดยาให้แล้วแม่ดีขึ้นทุกครั้ง แม่เราจึงชอบไปหาเขามากๆ ค่อนข้างไว้ใจ แม้ว่าเราและพ่อจะพยายามบอกให้เขาไปโรงพยาบาลแม่ก็จะไม่ไป เพราะเชื่อใจคุณหมอ ส่วนตัวเราเมื่อเห็นแม่กลับมากี่ครั้งก็ดีขึ้น รวมถึงตัวแม่เองก็พอใจจึงไว้วางใจคุณหมอเช่นกัน        
               จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม แม่มีอาการหายใจไม่อิ่ม มักหายใจหอบกลางดึก บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่แม่ลุกขึ้นมานั่งหรือ ดมยาดมก็หายดี เราจึงเข้าใจไปว่าอาจจะเป็นเพียงอาการของผู้สูงวัยที่มักหายใจไม่สะดวกและชอบตื่นกลางดึก แต่ได้บอกให้แม่รีบไปหาหมอที่คลินิกเผื่อหากเป็นอะไรมากเราจะได้พาแม่ไปโรงพยาบาล
               ต้นเดือนมิถุนายน แม่ได้ไปหาหมอตามนัดค่ะ เราติดงานจึงไม่สามารถไปกับคุณแม่ได้ แต่ได้กำชับแม่ว่าให้บอกคุณหมอว่ามีอาการหายใจไม่อิ่ม หอบกลางดึกบ่อยครั้ง เนื่องจากแม่และเราจะได้รู้ว่าอาการแบบนี้เป็นอันตรายหรือไม่ หรือเป็นอาการร้ายแรงหรือไม่ หรือวางใจได้ เย็นวันนั้นเมื่อแม่กลับมาจากคลินิก เราได้สอบถามแม่ว่าคุณหมอว่าอย่างไรบ้าง แม่บอกเราว่า หมอก็ให้ยามากิน เป็นแบบนี้เพราะโรคประจำตัวแหละ แค่นี้ แต่ไม่ได้แจ้งกับแม่เราว่าควรไปโรงพยาบาลหรือควรแอดมิทแต่อย่างใด  
               จนถึงคืนวันที่10 มิถุนายน เวลา01.40 แม่เราเกิดอาการหายใจไม่อิ่มและหายใจหอบอีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของแม่ เราเรียกรถโรงพยาบาลมาไม่ทันแม่เราหยุดหายใจก่อนที่รถฉุกเฉินจะมา ใช้เวลาถึง30 นาทีในการปั๊มหัวใจแม่ให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง โดยการที่หัวใจแม่กลับมาเต้นอีกครั้งนั้น มันคือการเตรียมใจเพราะแทบจะไม่มีโอกาสเลยที่แม่เราจะกลับมีชีวิตอีกครั้ง แต่เมื่อหัวใจแม่กลับมาเต้นอีกครั้งเราจึงได้พาแม่ไปยังโรงพยาบาล
               เมื่อได้พบหมอที่โรงพยาบาล หมอได้วินิจฉัยร่างกายแม่เราว่า เนื่องจากโรคแพ้ภูมิตัวเองนั้นทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งมีอาการปอดแม่ติดเชื้อ ไตวาย มีอาการน้ำท่วมปอดร่วมอยู่ด้วย อีกทั้งสมองก็ได้รับความเสียอย่างหนักเนื่องจากขาดอากาศหายใจไปนานร่วมนาที และทำให้เราได้รู้ซึ้งว่าโรคภูมิแพ้ตนเองนั้นเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ต่างจากที่เราเข้าใจมาตลอดว่าแค่แม่กินยาก็จะสามารถอยู่กับเราได้นานๆ โรคนี้ร้ายแรงและเหมือนระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าผู้ป่วยจะจากไปเมื่อไหร่ มันช่างต่างจากคำพูดของหมอคลินิกที่เราได้ฟังมาเหลือเกิน และสุดท้ายแม่เราก็จากไปอย่างกะทันหันด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือดเพิ่มเติม จากโรคแพ้ภูมิตัวเอง 
               เมื่อเราได้ฟังหมอที่โรงพยาบาลแจ้งว่าโรคแพ้ภูมิตัวเองมีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายมาก และแม่เรามีอาการปอดติดเชื้อและน้ำท่วมปอด ทำให้มีอาการหายใจไม่อิ่ม หรือหอบเหมือนคนจมน้ำเพราะน้ำท่วมปอดนั้น มันทำให้เราเกิดความสงสัยค่ะ ว่าทำไมตอนแม่ไปหาหมอที่คลินิกและบอกอาการว่าหายใจไม่อิ่ม หายใจหอบกลางดึก หมอที่คลินิกถึงไม่ตรวจปอดแม่ทั้งๆที่พื้นฐานของโรคนี้ติดเชื้อได้ง่ายที่สุดไม่ว่าจะส่วนไหน เราจึงคิดว่าหรือแม่เราบอกเราไม่หมดหรือเปล่า เราจึงได้เดินทางไปสอบถามคุณหมอที่คลีนิกด้วยตนเองหลังจากคุณแม่เสียค่ะ
               เมื่อพบคุณหมอที่คลินิกเราสอบถามถึงอาการของแม่ที่ได้มาหาหมอครั้งล่าสุด ว่าคุณแม่ได้แจ้งหรือไม่ว่ามีอาการหอบ หายใจไม่อิ่มกลางดึก คุณหมอได้ตรวจปอดคุณแม่ดูบ้างหรือไม่ คุณหมอกลับย้อนเราว่าทำไมไม่ไปถามที่โรงพยาบาลล่ะ เราจึงแจ้งว่าแม่เราเสียแล้ว แม้แต่คำว่าเสียใจด้วยนะของคุณหมอก็ไม่มีให้เรา กลับเสียงแข็งใส่เราเพียงเพราะ เราอยากทราบว่าแม่ได้บอกอาการคุณหมอตามที่เรากำชับหรือไม่ เราถามคุณหมออีกครั้งว่าแม่ได้แจ้งอาการว่าแม่หายใจไม่อิ่มและหอบกลางดึกบ้างมั้ย หมอตอบเราว่าแจ้ง วินิจฉัยว่าเป็นอาการลมจุกเสียด เราจึงถามต่อว่าแม่เป็นภูมิแพ้ตัวเอง มีโอกาสติดเชื้อได้สูงหมอไม่ได้สงสัยว่ามีการติดเชื้อที่ปอดหรอคะ หมอบอกว่าที่คลินิกไม่มีเครื่องมือ เราจึงสงสัยค่ะ ว่าหากหมอฉุกใจคิดสักนิดว่ามีโอกาสที่ปอดจะติดเชื้อและที่คลินิกไม่มีเครื่องมือ ควรจะแจ้งแม่เราให้แม่เราไปโรงพยาบาลแบบนั้นหรือเปล่า ทำไมถึงไปวินิจฉัยว่าเป็นลมเป็นกรดอะไรไม่รู้ซึ่งไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่ตรวจพบในโรงพยาบาลแม้แต่น้อย 
               รวมถึงอยากจะถามผู้ที่มีความรู้ด้วย เราหาข้อมูลเราพบว่า เราสามารถตรวจปอดเบื้องต้นได้ด้วยการฟังเสียงปอดที่อาจจะผิดปกติได้ แต่ทำไมหมอจึงไม่ทำ เท่านั้นไม่พอ เราถามคุณหมอถึงความร้ายแรงของโรคภูมิแพ้ตนเองว่ามันเป็นโรคที่ร้ายแรงไม่มีทางหายใช่มั้ยคะ ตามที่หมอที่โรงพยาบาลได้แจ้งเรามา หมอคลินิกกลับบอกเราว่ากินยาหายได้ เรารู้ทันทีในตอนนั้นว่าหมอคลินิกไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคด้วยซ้ำ ทำให้การรักษาเป็นไปเช่นนี้ สิ่งที่เราและแม่รับรู้มาจากหมอคลีนิกมาตลอดคือโรคไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น ความจริงคือไม่ใช่เลย เราและแม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของโรคน้อยไปกว่าความเป็นจริงตามหมอคลีนิกไปด้วย
               สุดท้ายนี้เราไม่ได้คิดว่าหมอทุกคลีนิกจะไม่เก่งหรือไม่ดีนะคะ อาจจะเป็นเราเองที่เจอหมอที่ไม่ใส่ใจมากพอ ถ้าเป็นไปได้เราก็ไม่อยากให้ใครพบเจอหมอหรือประสบการณ์แบบเราอีก ถึงอย่างไรก็ตามคุณแม่เราก็ได้จากเราไปอย่างไม่มีวันกลับ เราจึงเขียนกระทู้นี้มาเตือนใจทุกคนว่าไม่ว่าคนที่เรารัก จะป่วยเล็กน้อยแค่ไหน หากมีโรคประจำตัว ควรไปโรงพยาบาลเถอะค่ะ  แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่ยอมไปอย่างไร เพราะรอนานหรือเพราะเหตุผลใดๆ อย่าตามใจเขาจงพูดกับเขาให้เขายอมไปให้ได้ อย่าคิดว่าเขาไม่มีอาการป่วยหนักใดๆเขาจะไม่จากเราไป เราไม่มีทางรู้จริงๆว่าวันไหนจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอคนที่รักเรา ไม่มีทางรู้ได้จริงๆว่าวันพรุ่งนี้ที่เราคิดจะทำอะไรกับคนที่เรารักอีกมากมายอาจจะหายไปในพริบตา เพราะครั้งสุดท้ายมักไม่มีสัญญาณเตือนเสมอค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่