ความคิดเห็นจาก Expert Account
ความคิดเห็นที่ 1
สวีเสี่ยวตงไม่เคยมีโอกาสได้สู้กับเฉินเสี่ยวหวางเพื่อพิสูจน์ แต่ด้วยความผิดที่ว่าร้ายปรมาจารย์ เขาจึงถูกศาลสั่งให้จ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนเกือบสองล้านบาท และให้ขอโทษปรมาจารย์เฉินออกสื่อติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดวัน
และถูกตัดคะแนนโซเชียลเครดิตเหลือเกรด "D"
ตอนแรกสวีเสี่ยวตงไม่ยอมขอโทษ แต่ถูกรัฐบาลกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ ช่องโซเชียลทั้งหมดของเขาถูกแบน + อยู่ๆ มีตำรวจมาเคาะประตูห้องแล้วคุยกับลูกสาวเขา (สวีไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าตำรวจคุยอะไร) ...ในที่สุดเขาจึงยอมต่อรองจ่ายค่าชดเชยราว 1.2 ล้านบาท และยอมขอโทษ
และเนื่องจากรัฐบาลจีนมีระบบคะแนนโซเชียลเครดิตที่ให้ประโยชน์ประชาชนที่มีพฤติกรรมดีในสายตารัฐบาล อยู่เหนือคนที่มีพฤติกรรมแย่ นี่ทำให้สวีเสี่ยวตงซึ่งมีคะแนนโซเชียลอยู่ต่ำติดดินต้องเสียสิทธิมากมาย ไม่สามารถใช้บริการสาธารณะหลายบริการ เช่นจะไปต่อยแมทช์นึงจะนั่งรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ ต้องนั่งรถไฟความเร็วต่ำ ใช้เวลา 36 ชั่วโมง แบกร่างกายอันเหนื่อยล้าไปสู้
และในการสู้นั้น เขาจะใช้ชื่อจริงก็ไม่ได้ จะเปิดเผยหน้าจริงก็ไม่ได้ เป็นเหตุให้ในแมทช์ตอนต้นเรื่องเขาถูกบังคับให้ทาสีที่หน้าอย่างตัวตลก และต้องใช้ชื่อในการสู้ว่า "ฟักเขียวแซ่สวี" เพื่อเป็นการหยาม (แต่ก็ชนะอยู่ดี)
เรื่องของเขาเป็นที่พูดคุยกันกว้างขวาง เขาถูกอันธพาลตามคุกคามในที่ต่างๆ มีเศรษฐีจีนตั้งค่าหัวให้นักกังฟูคนไหนที่ล้มสวีเสี่ยวตงได้จะให้เงินรางวัลห้าล้านบาท
มีครั้งหนึ่งเขาสู้กับนักมวยไทยในแมทช์ซ้อม นักมวยไทยคนนั้นไม่ยอมออมมืออย่างที่ควรทำ กลับเล่นสวีเสี่ยวตงเต็มที่จนเลือดโชกหน้า ชาวจีนที่เกลียดเขาก็พากันมาหัวเราะสะใจ บอกว่าเขาแพ้ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่แมทช์ซ้อม
เนื่องจากนับวันมีแต่คนเกลียดมากกว่าคนรัก หลังๆ สวีเสี่ยวตงไม่แคร์ฟ้าดินอีก ออกมาใช้ไอดีปลอม ปล่อยคลิปกวนตีนรัฐบาลต่างๆ เช่นวิจารณ์การที่รัฐบาลจีนปราบปรามผู้ประท้วงฮ่องกง และประกาศว่าจะย้ายไปเป็นประชากรประเทศอื่นดีกว่า ...ไม่ทราบว่าชะตากรรมในอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร...
แต่ก่อนที่จะเขียนเรื่องสวีเสี่ยวตงต่อ เรามาดูกันว่า MMA นั้นคืออะไรกันแน่? MMA นั้นย่อมาจาก Mixed Martial Art แม้คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในการแข่ง UFC แต่แท้จริงแล้ว MMA อาจไม่ใช่วิชาที่มาจากฝรั่งเท่านั้น
คนที่ชาวโลกทั้งหลายนับถือเป็นบิดาแห่ง MMA กลับเป็นชาวจีนชื่อบรูซลี ซึ่งเอาวิชาศิลปะการต่อสู้หลายๆ แขนงมาผสมกัน เรียกว่า จีตคุนโด
บรูซลีบอกว่า "นักสู้ที่ดีที่สุดไม่ใช่นักมวย นักคาราเต้ หรือนักยูโด แต่คือคนที่สามารถประยุกต์เอาศิลปะการต่อสู้ต่างๆ มาใช้ สร้างเป็นศิลปะที่ให้เข้ากับตัวเองที่สุด ไม่ยึดตามสไตล์ของสำนักไหนเป็นสำคัญ"
แม้ปัจจุบันชาวจีนจะภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก...
...และต้องการสร้างตัวเป็นมหาอำนาจโลก จากความภูมิใจดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องกังฟู...
...แต่อย่าลืมว่ากังฟูจีนทุกสกุลล้วนถือกำเนิดมาจากวัดเส้าหลิน ถ่ายทอดโดยปรมาจารย์ตั๊กม้อซึ่งเป็นชาวอินเดีย ดังนั้นมวยจีนจึงเป็นทายาทของมวยอินเดียเรียกว่า "ยุทธกาละ" และการเดินลมปราณหรือพลังชี่ ก็เป็นทายาทของการกำหนดลมหายใจตามแบบศาสนาพุทธ ...ทั้งหมดนี้เป็นวิชาต่างชาติ
แท้จริงแล้วการบรรลุเป็นผู้ยอดเยี่ยมในแต่ละยุคสมัยนั้นเกิดจากการอนุรักษ์ หรือการเปิดกว้างมากกว่ากัน?
สวีเสี่ยวตงคับแค้นกับชะตาของตนนัก มีครั้งหนึ่งเขาเคยมาร่ำไห้ออกสื่อ บอกว่า "จริงอยู่ ผมวิจารณ์คนเอาไว้มากมาย..."
"...แต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นความจริง!"
"ผมเป็นคนจีน ผมเกิดที่ปักกิ่ง ผมไม่เคยโกหก ไม่เคยขโมย ไม่เคยทำร้ายคนบริสุทธิ์ ...ผมต่อสู้ แต่เป็นการต่อสู้อย่างลูกผู้ชายเท่านั้น... ไม่มีใครเป็นสปอนเซอร์ให้ผมมาหลายปีแล้ว..."
"ผมใช้เงินตัวเอง... ใช้แรงกาย แรงใจมากมาย พัฒนาวงการ MMA ของจีนขึ้น ...สิ่งนี้ไม่นับเป็นความดีต่อชาติบ้านเมืองเลยเหรอ?"
ยุทธภพกว้างใหญ่ ผู้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่สวีเสี่ยวตงทำนั้นแม้ไม่อนุรักษ์กังฟูจีน แต่ก็กล้าหาญเปิดโปงสิ่งจอมปลอม ต่อต้านความอยุติธรรม ...มีสิ่งใดผิดจากหลักการ "บู๊เฮียบ" บ้าง?
การที่ผู้กล้าถูกสังคมรังเกียจ ถูกผลักไปเป็นพวกชังชาติ เพราะไม่ยึดติดกับสภาพดั้งเดิมที่คนเคยชิน ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาในประวัติศาสตร์หรือไม่?
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ ติดตามได้ที่ เพจ The Wild Chronicles นะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
และถูกตัดคะแนนโซเชียลเครดิตเหลือเกรด "D"
ตอนแรกสวีเสี่ยวตงไม่ยอมขอโทษ แต่ถูกรัฐบาลกดดันหนักขึ้นเรื่อยๆ ช่องโซเชียลทั้งหมดของเขาถูกแบน + อยู่ๆ มีตำรวจมาเคาะประตูห้องแล้วคุยกับลูกสาวเขา (สวีไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าตำรวจคุยอะไร) ...ในที่สุดเขาจึงยอมต่อรองจ่ายค่าชดเชยราว 1.2 ล้านบาท และยอมขอโทษ
และเนื่องจากรัฐบาลจีนมีระบบคะแนนโซเชียลเครดิตที่ให้ประโยชน์ประชาชนที่มีพฤติกรรมดีในสายตารัฐบาล อยู่เหนือคนที่มีพฤติกรรมแย่ นี่ทำให้สวีเสี่ยวตงซึ่งมีคะแนนโซเชียลอยู่ต่ำติดดินต้องเสียสิทธิมากมาย ไม่สามารถใช้บริการสาธารณะหลายบริการ เช่นจะไปต่อยแมทช์นึงจะนั่งรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ ต้องนั่งรถไฟความเร็วต่ำ ใช้เวลา 36 ชั่วโมง แบกร่างกายอันเหนื่อยล้าไปสู้
และในการสู้นั้น เขาจะใช้ชื่อจริงก็ไม่ได้ จะเปิดเผยหน้าจริงก็ไม่ได้ เป็นเหตุให้ในแมทช์ตอนต้นเรื่องเขาถูกบังคับให้ทาสีที่หน้าอย่างตัวตลก และต้องใช้ชื่อในการสู้ว่า "ฟักเขียวแซ่สวี" เพื่อเป็นการหยาม (แต่ก็ชนะอยู่ดี)
เรื่องของเขาเป็นที่พูดคุยกันกว้างขวาง เขาถูกอันธพาลตามคุกคามในที่ต่างๆ มีเศรษฐีจีนตั้งค่าหัวให้นักกังฟูคนไหนที่ล้มสวีเสี่ยวตงได้จะให้เงินรางวัลห้าล้านบาท
มีครั้งหนึ่งเขาสู้กับนักมวยไทยในแมทช์ซ้อม นักมวยไทยคนนั้นไม่ยอมออมมืออย่างที่ควรทำ กลับเล่นสวีเสี่ยวตงเต็มที่จนเลือดโชกหน้า ชาวจีนที่เกลียดเขาก็พากันมาหัวเราะสะใจ บอกว่าเขาแพ้ ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่แมทช์ซ้อม
เนื่องจากนับวันมีแต่คนเกลียดมากกว่าคนรัก หลังๆ สวีเสี่ยวตงไม่แคร์ฟ้าดินอีก ออกมาใช้ไอดีปลอม ปล่อยคลิปกวนตีนรัฐบาลต่างๆ เช่นวิจารณ์การที่รัฐบาลจีนปราบปรามผู้ประท้วงฮ่องกง และประกาศว่าจะย้ายไปเป็นประชากรประเทศอื่นดีกว่า ...ไม่ทราบว่าชะตากรรมในอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร...
แต่ก่อนที่จะเขียนเรื่องสวีเสี่ยวตงต่อ เรามาดูกันว่า MMA นั้นคืออะไรกันแน่? MMA นั้นย่อมาจาก Mixed Martial Art แม้คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในการแข่ง UFC แต่แท้จริงแล้ว MMA อาจไม่ใช่วิชาที่มาจากฝรั่งเท่านั้น
คนที่ชาวโลกทั้งหลายนับถือเป็นบิดาแห่ง MMA กลับเป็นชาวจีนชื่อบรูซลี ซึ่งเอาวิชาศิลปะการต่อสู้หลายๆ แขนงมาผสมกัน เรียกว่า จีตคุนโด
บรูซลีบอกว่า "นักสู้ที่ดีที่สุดไม่ใช่นักมวย นักคาราเต้ หรือนักยูโด แต่คือคนที่สามารถประยุกต์เอาศิลปะการต่อสู้ต่างๆ มาใช้ สร้างเป็นศิลปะที่ให้เข้ากับตัวเองที่สุด ไม่ยึดตามสไตล์ของสำนักไหนเป็นสำคัญ"
แม้ปัจจุบันชาวจีนจะภูมิใจในอัตลักษณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก...
...และต้องการสร้างตัวเป็นมหาอำนาจโลก จากความภูมิใจดังกล่าว โดยเฉพาะเรื่องกังฟู...
...แต่อย่าลืมว่ากังฟูจีนทุกสกุลล้วนถือกำเนิดมาจากวัดเส้าหลิน ถ่ายทอดโดยปรมาจารย์ตั๊กม้อซึ่งเป็นชาวอินเดีย ดังนั้นมวยจีนจึงเป็นทายาทของมวยอินเดียเรียกว่า "ยุทธกาละ" และการเดินลมปราณหรือพลังชี่ ก็เป็นทายาทของการกำหนดลมหายใจตามแบบศาสนาพุทธ ...ทั้งหมดนี้เป็นวิชาต่างชาติ
แท้จริงแล้วการบรรลุเป็นผู้ยอดเยี่ยมในแต่ละยุคสมัยนั้นเกิดจากการอนุรักษ์ หรือการเปิดกว้างมากกว่ากัน?
สวีเสี่ยวตงคับแค้นกับชะตาของตนนัก มีครั้งหนึ่งเขาเคยมาร่ำไห้ออกสื่อ บอกว่า "จริงอยู่ ผมวิจารณ์คนเอาไว้มากมาย..."
"...แต่ไม่คิดบ้างเหรอว่าสิ่งที่ผมพูดมันเป็นความจริง!"
"ผมเป็นคนจีน ผมเกิดที่ปักกิ่ง ผมไม่เคยโกหก ไม่เคยขโมย ไม่เคยทำร้ายคนบริสุทธิ์ ...ผมต่อสู้ แต่เป็นการต่อสู้อย่างลูกผู้ชายเท่านั้น... ไม่มีใครเป็นสปอนเซอร์ให้ผมมาหลายปีแล้ว..."
"ผมใช้เงินตัวเอง... ใช้แรงกาย แรงใจมากมาย พัฒนาวงการ MMA ของจีนขึ้น ...สิ่งนี้ไม่นับเป็นความดีต่อชาติบ้านเมืองเลยเหรอ?"
ยุทธภพกว้างใหญ่ ผู้คนไม่เป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่สวีเสี่ยวตงทำนั้นแม้ไม่อนุรักษ์กังฟูจีน แต่ก็กล้าหาญเปิดโปงสิ่งจอมปลอม ต่อต้านความอยุติธรรม ...มีสิ่งใดผิดจากหลักการ "บู๊เฮียบ" บ้าง?
การที่ผู้กล้าถูกสังคมรังเกียจ ถูกผลักไปเป็นพวกชังชาติ เพราะไม่ยึดติดกับสภาพดั้งเดิมที่คนเคยชิน ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดมาในประวัติศาสตร์หรือไม่?
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ ติดตามได้ที่ เพจ The Wild Chronicles นะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
แสดงความคิดเห็น
*** เรื่องราวในยุทธภพของ 'สวีเสี่ยวตง' ***
ก่อนจะเริ่มเรื่องราวทั้งหมด ผมขอนำท่านเข้าสู่แมทช์การต่อสู้สะท้านฟ้าที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว (2019) ในประเทศจีน
นักสู้ด้านหนึ่งคือปรมาจารย์วิชาหย่งชุน และ มวยสกัดจุด นาม "หมัดสายฟ้าหลู่กัง" อีกด้านคือตัวประหลาดที่เอาสีทาหน้า ถูกเรียกว่า "ฟักเขียวแซ่สวี" เป็นฉายาที่ดูตลกสำหรับคนเป็นนักสู้
แค่ดูชื่อชั้นก็เห็นชัดแล้วว่าหมัดสายฟ้าย่อมเหนือกว่าไอ้ฟักเขียว แต่ไม่ทราบเหตุใด พอเริ่มสู้ปรมาจารย์หลู่กลับถูกไอ้ฟักเขียวต่อยเอาๆ จนต้องวิ่งหนี
สุดท้ายปรมาจารย์หลู่ถูกต่อยจมูกบวม ถูกกรรมการจับแพ้ในเวลา 40 วินาที ไม่ทันได้ใช้วิชาสกัดจุดอะไรทั้งนั้น
เรื่องแปลกเช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไอ้ฟักเขียวใช้วิชาโกงอย่างไรจึงชนะวิชาหย่งชุนของท่านหลู่ได้?
ย้อนกลับไปอีกในปี 2017 ตอนนี้ปรมาจารย์ไทเก๊กนามเว่ยเหล่ยกำลังมีชื่อเสียง มีชาวต่างชาติมาขอถ่ายทำสารคดี
ในสารคดีนั้นปรมาจารย์เว่ยใช้วิชาไทเก๊กเอาชนะผู้ฝึกยุทธฝรั่งอย่างง่ายดาย สร้างชื่อเสียงแก่กังฟูจีนเป็นอันมาก
ปรมาจารย์เว่ยยังแสดงฝีมือให้นกเกาะนิ้ว แล้วแกว่งแขนโดยนกไม่บินหลุดจากนิ้ว แสดงพลังลมปราณล้ำเลิศ เป็นที่ภูมิใจของคนทั้งปวง
จากความสำเร็จดังกล่าวปรมาจารย์เว่ยได้ประกาศว่าวิชาไทเก๊กนั้นเป็นหนึ่งในใต้หล้า แม้วิชาฝรั่งอย่าง MMA เมื่อเทียบกันก็เป็นเพียงขี้เล็บ ปรมาจารย์เว่ยบอกว่าสามารถปลดตัวเองจากท่าล็อคคอจากด้านหลังของ MMA ได้สบายๆ
เวลานั้นมีนักสู้ MMA ชื่อสวีเสี่ยวตง ฟังคำปรมาจารย์เว่ยจึงโต้แย้งว่า "ท่านเว่ยไม่ได้เก่งอะไรเลย ผู้ฝึกยุทธต่างชาติที่สู้กับท่านแท้จริงเป็นเพียงทีมงานธรรมดา ที่ท่านเว่ยเลี้ยงนกไม่ให้บินจากนิ้วไดันั้น ก็เป็นกลทารกที่เอาเชือกรัดขานกกับนิ้วแล้วใช้มุมกล้องถ่ายให้ไม่เห็น ...แน่นอนว่า MMA ไม่ใช่ขี้เล็บ และท่าล็อคคอด้านหลังนั้นปลดออกยากมาก หากท่านเว่ยไม่เชื่อ เรามาสู้กัน!"
เนื่องจากสวีเสี่ยวตงนั้นอยู่ปักกิ่ง ส่วนปรมาจารย์เว่ยอยู่เฉิงตู ปรมาจารย์เว่ยจึงรับคำท้าโดยมีข้อแม้ว่าสวีเสี่ยวตงต้องเดินทางมาเฉิงตูเอง (ซึ่งมันไกลมาก) ปรากฏสวีเสี่ยวตงออกเงินซื้อตั๋วเครื่องบินบินมาจริงๆ แมทช์ของทั้งสองจึงเกิดขึ้น
ผัวะ!
พลั่ก!
ฉูด!
สรุปปรมาจารย์เว่ยแพ้ในเวลาราว 10 วินาที ท่ามกลางความแตกตื่นตกใจของเหล่าสานุศิษย์
ส่วนสวีเสี่ยวตงทำท่าเยาะเย้ยแล้วบินกลับ การต่อสู้นี้ไม่มีสปอนเซอร์อะไรทั้งนั้น สวีเสี่ยวตงเสียเงินค่าเดินทางมากมาย โดยไม่ได้อะไรนอกจากความสะใจในการเปิดโปงคนที่เขาเห็นว่าลวงโลก ...แต่เขาไม่ทราบหรอกว่าเหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปตลอด
หลังจากนั้นคลิปสวีเสี่ยวตงกระทืบปรมาจารย์เว่ยก็แพร่ไปทั้งอินเตอร์เน็ต สร้างความโกรธแค้นให้กับชาวยุทธเป็นอันมาก ต่างเรียกร้องให้สวีเสี่ยวตงมาขอโทษ แต่เขาไม่เพียงไม่ขอโทษยังบอกว่าวิชาไทเก๊กนั้นล้าสมัย มีไว้ออกกำลังกาย วิชากังฟูที่เหลือใช้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ทุกคนมาฝึก MMA กันเถอะ อันนี้แหละใช้ได้จริง
การที่จะเข้าใจว่าทำไมคนจีนถึงโกรธขนาดนี้ ต้องปูพื้นว่าวิชากังฟูของจีนนั้นไม่เพียงเป็นวิชาต่อสู้ แต่เป็นปรัชญาของการดำเนินชีวิตที่ผูกพันการยุทธ (บู๊) และคุณธรรมความกล้าหาญ (เฮียบ) เข้าด้วยกัน
ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพื่อปกป้องผู้อ่อนแอ กำจัดคนชั่วช้าจอมปลอม โดยถือหลักซื่อสัตย์ถ่อมตน จึงนับเป็นแก่นแท้ของผู้ฝึกยุทธ
MMA ไม่มีความโรแมนติกเหล่านี้เลย ซ้ำยังเป็นวิชาฝรั่ง การเอามันมาข่มกังฟูมันนับว่าทำลายเกียรติภูมิชาวจีนเป็นอย่างมาก ขัดกับนโยบายของท่านผู้นำสีจิ้นผิงที่ต้องการฟื้นฟูอัตลักษณ์ของจีน
บรรดาสื่อกระแสหลักต่างรุมโจมตีเขา ตั้งฉายาเขาว่า "ไอ้หมาบ้า" แต่ยิ่งตีสวีเสี่ยวตงก็ยิ่งตอบโต้ เขาบอกว่าวงการกังฟูที่พวกแกหลงไหลน่ะเน่าเฟะไปด้วยการจัดฉากและผลประโยชน์ ปรมาจารย์แต่ละคนเน้นซ้อมท่า ไม่เน้นสู้จริง ต่างคนต่างตกอยู่ใต้คำสรรเสริญเยินยอจากคนรอบข้างจนเชื่อว่าตนเองมีฝีมือเหนือมนุษย์
สวีบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่ง เขาอ้วนและแก่ (ตอนนี้อายุ 41 ปี) เลยยุครุ่งเรืองของตนเองมาแล้ว ปัจจุบันเป็นแค่โคชฝึกสอนนักสู้ที่อยากเรียน หากนับในวงการยุทธจักรนักสู้โลกจริงๆ นั้นเขาถือว่ากระจอกเลยแหละ แต่เห็นกระจอกอย่างนี้หากให้มาตบพวกปรมาจารย์กังฟูจอมปลอมนับว่าสบายมาก
เขาไล่ท้า และรับคำท้าจากผู้เยี่ยมยุทธต่างๆ ที่เขาเห็นว่าเป็นของปลอม เช่นปรมาจารย์ติงเห่า ผู้อ้างว่าสืบทอดหย่งชุนสายตรงมาจากปรมาจารย์ยิปมัน
...ตบตายภายในเวลาแป๊บเดียว
หรือในแมทช์ของปรมาจารย์กังฟูเทียนเย่
...แกล้งยืนให้เทียนเย่ต่อยโดยไม่ป้องกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าต่อยมาแบบนั้นมันไม่เจ็บหรอก ก่อนจะกระทืบกลับ
ศอกใส่คนระดับปรมาจารย์เลือดออกพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ...
ความโกรธแค้นของชาวจีนพัฒนาจากระดับชาวบ้านไปถึงระดับรัฐบาล ...เรื่องราวปะทุจุดเดือดเมื่อสวีเสี่ยวตงบังอาจกล้าวิจารณ์ยอดปรมาจารย์เฉินเสี่ยวหวาง ผู้สืบทอดสายตรงของวิชาไทเก๊กตระกูลเฉินซึ่งมีผลงานมากมาย อยู่ในระดับ “สมบัติของชาติ”
(อ่านต่อใน comment นะครับ)