iPhone ได้ทำการเปิดตัว iPhone SE รุ่นใหม่ไปแบบเงียบๆในเว็บไซต์เมื่อเดือนที่แล้ว แน่นอนว่าหลายๆคนนั้นน่าจะพอทราบข่าวกันเพราะว่าแม้จะเปิดตัวแบบเงียบๆแต่มันกลับสร้างกระแสได้อย่างมากในวงการมือถือและคนทั่วไปเพราะมันเป็น iPhone ที่มีราคาถูกที่สุดตั้งแต่ที่เคยเปิดตัวมาเลยครับ และที่มันทำได้น่าสนใจมากขึ้นคือมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลแบบใหม่ล่าสุดคือ Apple A13 Bionic 64-bit, Neural Engine 8-core และมาในบอดี้เดิมเลยครับ ต้องบอกว่าบอดี้เดิมเพราะทุกส่วนคือเอาอะไหล่ตัวก่อนๆมาใช้ทั้งหมดคือหน้าตาของเจ้า iPhone 8 ที่คุ้นเคยกันแต่ยกเครื่องใหม่เท่านั้นเอง และมีการเปลี่ยนกล้องอะไรนิดหน่อยให้ทันสมัยขึ้นด้วยเช่นกันครับ อีกทั้งยังคงรองรับการใช้งานชาร์จไร้สาย และ กันน้ำได้เหมือนเดิม และ ดีไซน์พาเรากลับไปยุคที่ยังมีปุ่ม Home อยู่ครับ
มันเป็น iPhone ที่เปิดราคามาถูกที่สุดทันทีรวมถึงมาพร้อมสเปกที่แรงไม่น้อยหน้า iPhone 11 เลยครับรวมถึงสเปกอื่นๆที่ให้มาก็ใช้งานได้สบาย พร้อมกับได้ใช้ iOS ในราคาที่จับต้องได้ง่ายทำให้กระแสเรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มมากๆ ทางด้าน iPhone SE 2020 นั้นมาพร้อมกับ ใช้เป็นชิปเซ็ต A13 Bionic รุ่นเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โดยเจ้า SE จะมีความจำภายในให้เลือก 3 รุ่นคือ 64GB, 128GB และ 256GB กล้องหลังของมันจะมีเพียงตัวเดียว โดยมันเป็นเลนส์กว้างที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งมันมีฟีเจอร์ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้โดยการกดปุ่มถ่ายภาพนิ่งค้างไว้เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียดอยู่ที่ 7 ล้านพิกเซลและสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p หน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้วที่ยังคงมีระบบสัมผัสโดยใช้แรงกดอย่าง Haptic Touch และยังคงมีปุ่มโฮมสำหรับสแกนนิ้วอยู่ที่ด้านล่างของหน้าจอ ส่วนบอดี้ของมันจะใช้เป็นอลูมิเนียมและกระจก นอกจากนี้ตัวเครื่องของมันยังกันน้ำและกันฝุ่นอีกด้วย และที่เด่นๆคือรองรับ WIFI 6 + GIGABIT LTE ถือว่าสเปคก็ใช้งานได้โอเคมากๆอีกจุดครับ
มันจะมีให้เลือก 3 สีคือสีขาว ,ดำ และ (PRODUCT) RED ซึ่งรายได้จากการขาย iPhone สีแดงจะนำไปบริจาคให้การกุศลเหมือนเดิม ซึ่งราคาของเจ้า iPhone SE 2020 นั้นจะมาพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย
- 14,900 บาท ในรุ่นความจำ 64 GB
- 16,900 บาท ในรุ่นความจำ 128GB
- 20,900 บาท ในรุ่นความจำ 256GB
UNBOX
ตัวกล่อง iPhone นั้นยังคงงานออกแบบเหมือนกับรุ่นอื่นๆของค่ายครับมาพร้อมกับกล่องสีขาว พร้อมกับตัวเครื่องบอกรุ่นแค่นั้นไม่ได้มีเขียนอะไรในส่วนข้างหน้าและในด้านข้างก็เขียนแค่ชื่อ iPhone เท่านั้นครับไม่ได้บอกรุ่น หรือว่า iPhone SE 2020อะไรเลย ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาเหมือนเดิมที่เราคุ้นเคยทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จแบบ 5W พวกนี้
- iPhone SE 2020
- ที่ชาร์จสาย USB-A ไป Lighting
- Adaptor ชาร์จไฟ 5w
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
- หูฟังแบบ Lighting
- ไม่มีตัวแปลงรู 3.5 มม. มาให้
DESIGN
งานออกแบบนั้นต้องบอกว่ามันคือ iPhone 8 เลยครับเป๊ะๆมากๆมีแค่เรื่องของสีใหม่ที่ฝาหลังสีขาว หน้าจอสีดำเข้ามาเพราะในรุ่นก่อนๆจะเป็นฝาหลังขาว ฝาหน้าขาวครับ เพราะฉะนั้นรุ่นนี้สีขาวจึงเป็นตัวที่แตกต่างกับรุ่นอื่นๆมากที่สุดเพราะหน้าดำหลังขาว ส่วนวัสดุงานออกแบบยังคงทำได้ดีฝาหลังกระจก ขอบเครื่องอลูมิเนียมพร้อมกับ กล้องตัวเดียวและหน้าจอแบบ 16:9 ที่มีขอบหนาทั้งบนและล่างรวมถึงสแกนนิ้วตรงปุ่มโฮมนั้นยังคงใส่เข้ามาครับไม่มีสแกนใบหน้าแบบรุ่นใหม่ๆ และขนาดนั้นเล็กมากๆเมื่อเทียบกับมือถือยุคใหม่ๆ แต่ก็ต้องบอกว่ายังมีหลายๆคนนั้นชอบมือถือที่เล็ก และพกพาง่ายแบบนี้อยู่
ด้านหน้านั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วมาในความละเอียดแบบ HD เท่านั้นครับและมีอัตราส่วนแบบเก่าคือ 16:9 มีขอบหนาๆทั้งบนและล่างพร้อมกับ ลำโพงและกล้องหน้ารวมถึงปุ่มโฮมก็ใส่มาให้ พร้อมกับ 326 ppi display, 1400:1 contrast ratio, 625 cd/m2 ความสว่างสูงสุด
ส่วนขอบด้านบนมีความหนามากๆพร้อมกับกล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล (f/2.2) พร้อม เซนเซอร์ และ ลำโพงสำหรับการคุยครับ การวางตำแหน่งอะไรคือแบบเดียวกับ iPhone 8 เลยนั้นเองครับ
ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นปุ่มโฮมทรงกลมที่ห่างหายไปนานครับครั้งนี้กลับมาแล้วเป็นแบบระบบสัมผัสเช่นเดิมคือเป็นปุ่มหลอกกดแล้วจะมีแรงสั้นกลับมาไม่ใช่ปุ่มจริงๆนะครับ และรองรับ Touch ID ปกติเลย
ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นสีเงินด้านสวยงามและไม่ได้มีรูไมค์ตัดเสียงอะไรหรือพอร์ตอะไรเลยครับด้านบน เราจะเห็นว่าตัวเครื่องค่อนข้างแบนเรียบปกติ กล้องนูนขึ้นมานิดหน่อยครับกำลังดีไม่เยอะเกินไป
ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีตัวพอร์ต Lighting และ ช่องไมค์ และ ลำโพงหลังแยกข้างกันครับ จะไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.ครับ
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม Power เท่านั้นเลยและ มีถาดซิมสำหรับการใส่ซิมแบบช่องเดียวแต่รุ่นนี้สามารถใส่ใช้งาน eSIM ได้ด้วยนะครับ ก็เป็นรองรับได้ 2 ซิม มีซีลกันน้ำเรียบร้อย
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นเพิ่ม ลดเสียง พร้อมกับ แถบสไลด์ที่ไว้ปรับโหมดเสียงแบบ เงียบ หรือ ดังนั้นเองที่เราคุ้นเคยกันเป็นเอกลักษณ์สำหรับค่ายนี้มานานมากๆ ยังคงมีมาให้ใช้งานกัน
ฝาหลังนั้นเป็นสีขาวสวยงามเนียนๆพร้อมโลโก้รูปทรงโดยรวมนั้นเล็กมากๆเมื่อเทียบกับมือถือสมัยใหม่ยุคนี้ครับและฝาหลังเรียบๆไม่ได้มีการเล่นเงาแสง หรือ สีแบบพวก Android สมัยนี้เท่าไรเลยครับสีเดียวเรียบๆ คลีนๆเลย แต่ที่จะแตกต่างกับทาง iPhone 8 นั้นจะเป็นโลโก้ที่ย้ายตำแหน่งให้ ต่ำลงกว่าเดิมครับ แต่เรื่องของเคสนั้นสามารถใช้งานได้ด้วยกันได้เลยกับ iPhone 8 นั้นเองถือว่าเป็นการขี้เกียจในการออกแบบจริงๆแค่ย้ายโลโก้เท่านั้นเลยแหละ
ด้านหลังนั้นจะเป็นกล้องเดี่ยวพร้อมไฟแฟลช รวมถึงจะเห็นรูไมค์ตัดเสียง อัดเสียงใส่มาให้ด้วยในข้างๆกล้องครับพร้อมไฟแฟลชในรุ่นนี้จะเป็นไฟแฟลชแบบ 2 สีด้วยเช่นกัน กล้องหลังให้มาที่ 12MP (f/1.8), OIS, แฟลชแบบ True Tone, ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย Slow‑mo ความละเอียด 1080p ได้ที่ 240 fps ครับ รองรับการถ่าย Portrait แบบจับใบหน้าคน รวมถึงไม่มีโหมดกลางคืนนะครับรุ่นนี้ก็ค่อนข้างน่าเสียดายมากๆ ยิ่งเทียบกับ Android ยิ่งค่อนข้างธรรมดามากๆ หากล้องตัวเดียวในยุคนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีแล้วครับ
SPEC
- หน้าจอ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว (1334 x 750 พิกเซล) 326 ppi display, 1400:1 contrast ratio, 625 cd/m2 max brightness
- ชิปเซต A13 Bionic 64-bit, Neural Engine 8-core
- Ram 3GB + Storage 64GB, 128GB และ 256GB
- ระบบปฏิบัติการ iOS 13
- ซิมคู่ (nano + eSIM)
- กันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน (IP67)
- กล้องหลังซึ่งเป็นเลนส์กว้าง 12MP (f/1.8), OIS, แฟลชแบบ True Tone, ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย Slow‑mo ความละเอียด 1080p ได้ที่ 240 fps
- กล้องหน้า 7MP (f/2.2), ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p
- ปุ่มสแกนนิ้ว TouchID
- ลำโพงสเตอริโอแบบ Built‑in
- ขนาดตัวเครื่อง: 138.4x 67.3×7.3mm; น้ำหนัก:148กรัม
- 4G LTE สูงสุด 1.6Gbps, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC พร้อมโหมด reader, GPS พร้อม GLONASS
- แบตเตอรี่ lithium-ion 1,820 mAh ชาร์จเร็ว 18W (หัวชาร์จในกล่องรองรับแค่ 5W)
- รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพแน่นอนว่าค่ายนี้เราคงไม่ต้องห่วงครับนำสบายๆแรงมาโดยตลอดเลยคือทาง Apple A13 Bionic เป็น CPU ที่แรงที่สุดในตอนนี้เลยแหละทำคะแนนไปได้ 443986 คะแนนแน่นอนว่ามันยังไม่เท่ากับ iPhone 11 Pro เพราะเรื่องด้วย RAM 3GB ที่น้อยกว่านั้นเองครับ ส่วนทางด้านความปลอดภัยคงไม่ต้องถามเยอะรองรับสูงสุด NETFLIX HD สบายๆ DRM L1 ปกติ ทางด้าน 3 มิตินั้นทำได้ 5325 คะแนนจาก 3D Mark Slingshot และ ความเร็วในการอ่านเขียนนั้นทำได้ 7720 MB/s และ 178 MB/s เป็น UFS นะครับแน่นอนว่ารุ่นนี้ เน้นสเปคระบบความแรงอะไรของมันมันใช้งานได้ ลื่นไหล และเสถียรมากๆเป็นอันดับต้นๆของบรรดาค่ายมือถือเลยแหละครับ และในครั้งนี้ได้สเปคแบบรุ่นพี่ แต่ราคาแค่ 15,000 ถือว่าเอาเรื่องเลยทีเดียวครับ
SYSTEM UI
หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 13 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้นการจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น แต่หน้าตารุ่นนี้จะเป็นการควบคุมแบบรุ่นก่อนๆ เพราะแตกต่างคือ การลาก Control Center นั้นจะเป็นการปัดจากข้างล่าง ไม่ใช่มุมขวาแบบ iPhone จอบาก พวก iPhone 11 พวกนี้นั้นเองครับจะแตกต่างกันตรงนี้เลยแหละ ส่วนอื่นๆนั้นไม่ต่างกันเลยครับ และการแจ้งเตือนยังคงไว้ใจได้และดีกว่ารุ่นอื่นๆแบบชัดเจนเมื่อเทียบกับ Android ด้วยกันนะ
ในส่วนของการแจ้งเตือนก็เลื่อนลงมาจากข้างบนปกคิครับ และ ในส่วนของ Control Center นั้นจะเป็นการเลื่อนขึ้นมาจากข้างล่าง แบบเดิมนะครับไม่ใช่การปักจากข้างบนมาแบบพวกหน้าจอแบบใหม่แล้ว ส่วนในการแบ่งหน้าจอนั้นยังไม่รองรับสำหรับ iPhone ส่วนหน้าการเคลียร์แอพนั้นยังไม่มีเคลียร์ทั้งหมดครับต้องปัดไปทีละแอพเหมือนเดิม
ความจุของตัวเครื่องในรุ่นนี้เริ่มต้น 64GB แน่นอนว่าในการใช้งานจริงถ้าใครเน้นเรื่องของการถ่ายภาพหรือเล่นเกมเยอะอาจจะไม่ค่อยพอเท่าไร ในรุ่นนี้เหลือประมาณ GB และทางด้าน RAM 3 GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ และ คียบอร์ด นั้นใช้งานของ Apple ครับแบบที่คุ้นเคยกันดีในรุ่นก่อนๆและหลายๆคนก็ชอบตัวนี้พอสมควร
[CR] รีวิว iPhone SE (2020) เร็ว แรง แต่ ดีไซน์ และ ขนาด ย้อนยุคไปหน่อย !
iPhone ได้ทำการเปิดตัว iPhone SE รุ่นใหม่ไปแบบเงียบๆในเว็บไซต์เมื่อเดือนที่แล้ว แน่นอนว่าหลายๆคนนั้นน่าจะพอทราบข่าวกันเพราะว่าแม้จะเปิดตัวแบบเงียบๆแต่มันกลับสร้างกระแสได้อย่างมากในวงการมือถือและคนทั่วไปเพราะมันเป็น iPhone ที่มีราคาถูกที่สุดตั้งแต่ที่เคยเปิดตัวมาเลยครับ และที่มันทำได้น่าสนใจมากขึ้นคือมาพร้อมกับหน่วยประมวลผลแบบใหม่ล่าสุดคือ Apple A13 Bionic 64-bit, Neural Engine 8-core และมาในบอดี้เดิมเลยครับ ต้องบอกว่าบอดี้เดิมเพราะทุกส่วนคือเอาอะไหล่ตัวก่อนๆมาใช้ทั้งหมดคือหน้าตาของเจ้า iPhone 8 ที่คุ้นเคยกันแต่ยกเครื่องใหม่เท่านั้นเอง และมีการเปลี่ยนกล้องอะไรนิดหน่อยให้ทันสมัยขึ้นด้วยเช่นกันครับ อีกทั้งยังคงรองรับการใช้งานชาร์จไร้สาย และ กันน้ำได้เหมือนเดิม และ ดีไซน์พาเรากลับไปยุคที่ยังมีปุ่ม Home อยู่ครับ
มันเป็น iPhone ที่เปิดราคามาถูกที่สุดทันทีรวมถึงมาพร้อมสเปกที่แรงไม่น้อยหน้า iPhone 11 เลยครับรวมถึงสเปกอื่นๆที่ให้มาก็ใช้งานได้สบาย พร้อมกับได้ใช้ iOS ในราคาที่จับต้องได้ง่ายทำให้กระแสเรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มมากๆ ทางด้าน iPhone SE 2020 นั้นมาพร้อมกับ ใช้เป็นชิปเซ็ต A13 Bionic รุ่นเดียวกับที่ใช้ใน iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max โดยเจ้า SE จะมีความจำภายในให้เลือก 3 รุ่นคือ 64GB, 128GB และ 256GB กล้องหลังของมันจะมีเพียงตัวเดียว โดยมันเป็นเลนส์กว้างที่มีความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ซึ่งมันมีฟีเจอร์ที่สามารถถ่ายวิดีโอได้โดยการกดปุ่มถ่ายภาพนิ่งค้างไว้เท่านั้น อีกทั้งยังสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 4K ส่วนกล้องหน้าจะมีความละเอียดอยู่ที่ 7 ล้านพิกเซลและสามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p หน้าจอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้วที่ยังคงมีระบบสัมผัสโดยใช้แรงกดอย่าง Haptic Touch และยังคงมีปุ่มโฮมสำหรับสแกนนิ้วอยู่ที่ด้านล่างของหน้าจอ ส่วนบอดี้ของมันจะใช้เป็นอลูมิเนียมและกระจก นอกจากนี้ตัวเครื่องของมันยังกันน้ำและกันฝุ่นอีกด้วย และที่เด่นๆคือรองรับ WIFI 6 + GIGABIT LTE ถือว่าสเปคก็ใช้งานได้โอเคมากๆอีกจุดครับ
มันจะมีให้เลือก 3 สีคือสีขาว ,ดำ และ (PRODUCT) RED ซึ่งรายได้จากการขาย iPhone สีแดงจะนำไปบริจาคให้การกุศลเหมือนเดิม ซึ่งราคาของเจ้า iPhone SE 2020 นั้นจะมาพร้อมกัน 3 รุ่นย่อย
- 14,900 บาท ในรุ่นความจำ 64 GB
- 16,900 บาท ในรุ่นความจำ 128GB
- 20,900 บาท ในรุ่นความจำ 256GB
UNBOX
ตัวกล่อง iPhone นั้นยังคงงานออกแบบเหมือนกับรุ่นอื่นๆของค่ายครับมาพร้อมกับกล่องสีขาว พร้อมกับตัวเครื่องบอกรุ่นแค่นั้นไม่ได้มีเขียนอะไรในส่วนข้างหน้าและในด้านข้างก็เขียนแค่ชื่อ iPhone เท่านั้นครับไม่ได้บอกรุ่น หรือว่า iPhone SE 2020อะไรเลย ส่วนอุปกรณ์ในกล่องนั้นให้มาเหมือนเดิมที่เราคุ้นเคยทั้ง หูฟัง ที่ชาร์จแบบ 5W พวกนี้
- iPhone SE 2020
- ที่ชาร์จสาย USB-A ไป Lighting
- Adaptor ชาร์จไฟ 5w
- คู่มือ และ ที่จิ้มซิม
- หูฟังแบบ Lighting
- ไม่มีตัวแปลงรู 3.5 มม. มาให้
DESIGN
งานออกแบบนั้นต้องบอกว่ามันคือ iPhone 8 เลยครับเป๊ะๆมากๆมีแค่เรื่องของสีใหม่ที่ฝาหลังสีขาว หน้าจอสีดำเข้ามาเพราะในรุ่นก่อนๆจะเป็นฝาหลังขาว ฝาหน้าขาวครับ เพราะฉะนั้นรุ่นนี้สีขาวจึงเป็นตัวที่แตกต่างกับรุ่นอื่นๆมากที่สุดเพราะหน้าดำหลังขาว ส่วนวัสดุงานออกแบบยังคงทำได้ดีฝาหลังกระจก ขอบเครื่องอลูมิเนียมพร้อมกับ กล้องตัวเดียวและหน้าจอแบบ 16:9 ที่มีขอบหนาทั้งบนและล่างรวมถึงสแกนนิ้วตรงปุ่มโฮมนั้นยังคงใส่เข้ามาครับไม่มีสแกนใบหน้าแบบรุ่นใหม่ๆ และขนาดนั้นเล็กมากๆเมื่อเทียบกับมือถือยุคใหม่ๆ แต่ก็ต้องบอกว่ายังมีหลายๆคนนั้นชอบมือถือที่เล็ก และพกพาง่ายแบบนี้อยู่
ด้านหน้านั้นมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้วมาในความละเอียดแบบ HD เท่านั้นครับและมีอัตราส่วนแบบเก่าคือ 16:9 มีขอบหนาๆทั้งบนและล่างพร้อมกับ ลำโพงและกล้องหน้ารวมถึงปุ่มโฮมก็ใส่มาให้ พร้อมกับ 326 ppi display, 1400:1 contrast ratio, 625 cd/m2 ความสว่างสูงสุด
ส่วนขอบด้านบนมีความหนามากๆพร้อมกับกล้องหน้า 7 ล้านพิกเซล (f/2.2) พร้อม เซนเซอร์ และ ลำโพงสำหรับการคุยครับ การวางตำแหน่งอะไรคือแบบเดียวกับ iPhone 8 เลยนั้นเองครับ
ขอบด้านล่างนั้นจะเป็นปุ่มโฮมทรงกลมที่ห่างหายไปนานครับครั้งนี้กลับมาแล้วเป็นแบบระบบสัมผัสเช่นเดิมคือเป็นปุ่มหลอกกดแล้วจะมีแรงสั้นกลับมาไม่ใช่ปุ่มจริงๆนะครับ และรองรับ Touch ID ปกติเลย
ขอบเครื่องด้านบนนั้นจะเป็นสีเงินด้านสวยงามและไม่ได้มีรูไมค์ตัดเสียงอะไรหรือพอร์ตอะไรเลยครับด้านบน เราจะเห็นว่าตัวเครื่องค่อนข้างแบนเรียบปกติ กล้องนูนขึ้นมานิดหน่อยครับกำลังดีไม่เยอะเกินไป
ขอบเครื่องด้านล่างนั้นจะเห็นว่ามีตัวพอร์ต Lighting และ ช่องไมค์ และ ลำโพงหลังแยกข้างกันครับ จะไม่มีรูหูฟัง 3.5 มม.ครับ
ขอบเครื่องด้านขวานั้นจะเป็นที่อยู่ของปุ่ม Power เท่านั้นเลยและ มีถาดซิมสำหรับการใส่ซิมแบบช่องเดียวแต่รุ่นนี้สามารถใส่ใช้งาน eSIM ได้ด้วยนะครับ ก็เป็นรองรับได้ 2 ซิม มีซีลกันน้ำเรียบร้อย
ส่วนด้านซ้ายจะเป็นเพิ่ม ลดเสียง พร้อมกับ แถบสไลด์ที่ไว้ปรับโหมดเสียงแบบ เงียบ หรือ ดังนั้นเองที่เราคุ้นเคยกันเป็นเอกลักษณ์สำหรับค่ายนี้มานานมากๆ ยังคงมีมาให้ใช้งานกัน
ฝาหลังนั้นเป็นสีขาวสวยงามเนียนๆพร้อมโลโก้รูปทรงโดยรวมนั้นเล็กมากๆเมื่อเทียบกับมือถือสมัยใหม่ยุคนี้ครับและฝาหลังเรียบๆไม่ได้มีการเล่นเงาแสง หรือ สีแบบพวก Android สมัยนี้เท่าไรเลยครับสีเดียวเรียบๆ คลีนๆเลย แต่ที่จะแตกต่างกับทาง iPhone 8 นั้นจะเป็นโลโก้ที่ย้ายตำแหน่งให้ ต่ำลงกว่าเดิมครับ แต่เรื่องของเคสนั้นสามารถใช้งานได้ด้วยกันได้เลยกับ iPhone 8 นั้นเองถือว่าเป็นการขี้เกียจในการออกแบบจริงๆแค่ย้ายโลโก้เท่านั้นเลยแหละ
ด้านหลังนั้นจะเป็นกล้องเดี่ยวพร้อมไฟแฟลช รวมถึงจะเห็นรูไมค์ตัดเสียง อัดเสียงใส่มาให้ด้วยในข้างๆกล้องครับพร้อมไฟแฟลชในรุ่นนี้จะเป็นไฟแฟลชแบบ 2 สีด้วยเช่นกัน กล้องหลังให้มาที่ 12MP (f/1.8), OIS, แฟลชแบบ True Tone, ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย Slow‑mo ความละเอียด 1080p ได้ที่ 240 fps ครับ รองรับการถ่าย Portrait แบบจับใบหน้าคน รวมถึงไม่มีโหมดกลางคืนนะครับรุ่นนี้ก็ค่อนข้างน่าเสียดายมากๆ ยิ่งเทียบกับ Android ยิ่งค่อนข้างธรรมดามากๆ หากล้องตัวเดียวในยุคนี้เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีแล้วครับ
SPEC
- หน้าจอ IPS ขนาด 4.7 นิ้ว (1334 x 750 พิกเซล) 326 ppi display, 1400:1 contrast ratio, 625 cd/m2 max brightness
- ชิปเซต A13 Bionic 64-bit, Neural Engine 8-core
- Ram 3GB + Storage 64GB, 128GB และ 256GB
- ระบบปฏิบัติการ iOS 13
- ซิมคู่ (nano + eSIM)
- กันน้ำและฝุ่นมาตรฐาน (IP67)
- กล้องหลังซึ่งเป็นเลนส์กว้าง 12MP (f/1.8), OIS, แฟลชแบบ True Tone, ถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 60 fps, ถ่าย Slow‑mo ความละเอียด 1080p ได้ที่ 240 fps
- กล้องหน้า 7MP (f/2.2), ถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1080p
- ปุ่มสแกนนิ้ว TouchID
- ลำโพงสเตอริโอแบบ Built‑in
- ขนาดตัวเครื่อง: 138.4x 67.3×7.3mm; น้ำหนัก:148กรัม
- 4G LTE สูงสุด 1.6Gbps, Wi‑Fi 6, Bluetooth 5.0, NFC พร้อมโหมด reader, GPS พร้อม GLONASS
- แบตเตอรี่ lithium-ion 1,820 mAh ชาร์จเร็ว 18W (หัวชาร์จในกล่องรองรับแค่ 5W)
- รองรับชาร์จไร้สายแบบ Qi
PERFORMANCE
ประสิทธิภาพแน่นอนว่าค่ายนี้เราคงไม่ต้องห่วงครับนำสบายๆแรงมาโดยตลอดเลยคือทาง Apple A13 Bionic เป็น CPU ที่แรงที่สุดในตอนนี้เลยแหละทำคะแนนไปได้ 443986 คะแนนแน่นอนว่ามันยังไม่เท่ากับ iPhone 11 Pro เพราะเรื่องด้วย RAM 3GB ที่น้อยกว่านั้นเองครับ ส่วนทางด้านความปลอดภัยคงไม่ต้องถามเยอะรองรับสูงสุด NETFLIX HD สบายๆ DRM L1 ปกติ ทางด้าน 3 มิตินั้นทำได้ 5325 คะแนนจาก 3D Mark Slingshot และ ความเร็วในการอ่านเขียนนั้นทำได้ 7720 MB/s และ 178 MB/s เป็น UFS นะครับแน่นอนว่ารุ่นนี้ เน้นสเปคระบบความแรงอะไรของมันมันใช้งานได้ ลื่นไหล และเสถียรมากๆเป็นอันดับต้นๆของบรรดาค่ายมือถือเลยแหละครับ และในครั้งนี้ได้สเปคแบบรุ่นพี่ แต่ราคาแค่ 15,000 ถือว่าเอาเรื่องเลยทีเดียวครับ
SYSTEM UI
หน้าตากันบ้างสำหรับหน้าตาของ iOS 13 เป็นตัวล่าสุดที่ปล่อยออกมามีความคลีนสวยงามมากกว่าเดิม ไอคอนอะไรต่างๆได้ถูกพัฒนาให้ดูดีและใช้งานง่ายขึ้นการจัดวางดูดีสวยงามกว่าเดิมครับ แน่นอนว่าเป็น UI ที่อิงการใช้งานจากรุ่นเดิมๆมาโดยตลอดทำให้ผู้ใช้งานหลายๆคนนั้นไม่อยากขยับไปแบรนด์อื่น แต่หน้าตารุ่นนี้จะเป็นการควบคุมแบบรุ่นก่อนๆ เพราะแตกต่างคือ การลาก Control Center นั้นจะเป็นการปัดจากข้างล่าง ไม่ใช่มุมขวาแบบ iPhone จอบาก พวก iPhone 11 พวกนี้นั้นเองครับจะแตกต่างกันตรงนี้เลยแหละ ส่วนอื่นๆนั้นไม่ต่างกันเลยครับ และการแจ้งเตือนยังคงไว้ใจได้และดีกว่ารุ่นอื่นๆแบบชัดเจนเมื่อเทียบกับ Android ด้วยกันนะ
ในส่วนของการแจ้งเตือนก็เลื่อนลงมาจากข้างบนปกคิครับ และ ในส่วนของ Control Center นั้นจะเป็นการเลื่อนขึ้นมาจากข้างล่าง แบบเดิมนะครับไม่ใช่การปักจากข้างบนมาแบบพวกหน้าจอแบบใหม่แล้ว ส่วนในการแบ่งหน้าจอนั้นยังไม่รองรับสำหรับ iPhone ส่วนหน้าการเคลียร์แอพนั้นยังไม่มีเคลียร์ทั้งหมดครับต้องปัดไปทีละแอพเหมือนเดิม
ความจุของตัวเครื่องในรุ่นนี้เริ่มต้น 64GB แน่นอนว่าในการใช้งานจริงถ้าใครเน้นเรื่องของการถ่ายภาพหรือเล่นเกมเยอะอาจจะไม่ค่อยพอเท่าไร ในรุ่นนี้เหลือประมาณ GB และทางด้าน RAM 3 GB นั้นเหลือใช้งานประมาณ และ คียบอร์ด นั้นใช้งานของ Apple ครับแบบที่คุ้นเคยกันดีในรุ่นก่อนๆและหลายๆคนก็ชอบตัวนี้พอสมควร
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้