หน้าแรก
คอมมูนิตี้
ห้อง
แท็ก
คลับ
ห้อง
แก้ไขปักหมุด
ดูทั้งหมด
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
แท็ก
แก้ไขปักหมุด
ดูเพิ่มเติม
เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง
ลองใหม่
{room_name}
{name}
{description}
กิจกรรม
แลกพอยต์
อื่นๆ
ตั้งกระทู้
เข้าสู่ระบบ / สมัครสมาชิก
เว็บไซต์ในเครือ
Bloggang
Pantown
PantipMarket
Maggang
ติดตามพันทิป
ดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้
เกี่ยวกับเรา
กฎ กติกา และมารยาท
คำแนะนำการโพสต์แสดงความเห็น
นโยบายเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
สิทธิ์การใช้งานของสมาชิก
ติดต่อทีมงาน Pantip
ติดต่อลงโฆษณา
ร่วมงานกับ Pantip
Download App Pantip
Pantip Certified Developer
[CR] รีวิว Jeep Cherokee XJ 4.0 โฉมมล รถลุยในตำนาน ยุคปี 2000 !
กระทู้รีวิว
รถยนต์
SUV
4x4
Jeep เป็นแบรนด์ที่ต้องบอกว่าหลายๆคนน่าจะรู้จักกันดีในฐานะรถสายลุย รถที่เป็นรถทหารอเมริกัน หรือจะเป็น SUV ตัวลุยรุ่นแรกๆที่ทำออกมากัน แน่นอนว่าในไทยก็ได้รับความนิยมกันพอสมควรเลยครับ โดยในเมืองนอกนั้นทาง Jeep Cherokee ในรุ่นที่เราจะมารีวิวนั้นจะเป็น ชื่อรหัส XJ ซึ่งเป็นการเปิดตัว มาตั้งแต่ปี 1984 และเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาให้มันเป็น XJ ที่มาเสริมจากรุ่น WAGONEER SJ ที่ใหญ่โตกว่ามาก รุ่นที่เราเคยเห็นในหลวง ร9 ขับลุยน้ำนั้นเองครับ แน่นอนว่าการมาของ XJ นั้นเป็นการลุยตลาดที่ทำให้หลายๆคนจับต้องได้ง่าย ขับในเมืองได้ง่าย ลุยก็ดีมากขึ้น และในรุ่นแรกที่เปิดตัวมาพร้อมกับ 3 ประตู และ 5 ประตูเช่นกัน เป็นแชสซีส์แบบ โมโนค็อกด้วยครับ และในไทยก็เอาเข้ามาช่วงปี 1994 เป็นรุ่นตัวเหลี่ยม ที่เราน่าจะรู้จักกันดี และที่ผมเคยเขียนรีวิวไป ตอนนั้น ที่เรียกว่าโฉมเหลี่ยม เพราะมันเหลี่ยมจัดทั้งคัน ทุกมุมของตัวรถนั้นเอง
รุ่นนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ ฮิตมากๆในการใช้งานเป็นรถ SUV ที่หลายๆคนอยากได้ อยากโดนกัน ทั้งเรื่องของ การขับขี่ และ การลุยที่ในยุคนั้นหาตัวเทียบได้ยากครับ และด้วยตัวแบรนด์ jeep เองก็ถือว่ามีหลายๆคนรู้จักกันตั้งแต่นั้นมา สำหรับในไทยรุ่นที่ทางผมจะมารีวิวกันนั้นจะเป็นรุ่นที่เปลี่ยนหน้าตา หรือ เรียกได้ว่า Big Minorchange ก็ว่าได้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมด รวมถึงภายใน แบบยกเครื่องทั้งหมด ในปี 1997 และ ในปี 2000 ก็ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์เสริมระบบ Direct Coil เข้ามา และการเปลี่ยนแปลงทั้งไฟหน้า ภายใน ฝาท้าย ประตู แก้มข้าง บอดี้รวมๆมันเยอะมาก รวมถึงแผงประตูข้างใน พวงมาลัย เรียกได้ว่าเปลี่ยนทุกอย่างเลยจริงๆ รูปทรงก็มีความทันสมัย ต้อนรับยุค 2000 ได้ดีมีความโค้งมลเยอะมากครับ และเป็นการประกอบในประเทศไทยเช่นกัน อีกทั้งฟีเจอร์ทั้งหลากหลายก็ใส่เข้ามาทั้ง Cruise Control เบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางคู่หน้า กระจก Auto และ อื่นๆอีกมากมายที่ใส่เข้ามาให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียวครับ แต่รูปทรงยังคงความคลาสสิค และทันสมัยมากกว่าเดิมได้
Jeep Cherokee 4.0L XJ 2000 ตัวที่ทางผมใช้งานคันนี้เป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยน Big Minorchage แล้ว แต่ยังเป็นรุ่นที่ ใช้เครื่องยนต์แบบเดิมกับตัวเหลี่ยม ยังไม่ได้ใช้งาน Direct Coil นะครับ แน่นอนว่าที่เลือกตัวนี้เพราะการดูแลรักษา นั้นจะไม่ค่อยแตกต่างกับตัวเหลี่ยมมากนัก ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหา รวมถึงเรื่องอะไหล่ก็ใช้งานตัวเดียวกันทั้งหมด รวมถึง ยังใช้เครื่องแบบเดียวกับ Jeep Grand Cherokee ZJ ที่ทางผมมีอีกคัน เลยทำให้เลือกในรุ่นนี้มา สำหรับในรุ่นที่รีวิวจะเป็นตัว ขับ 4 ใช้งาน เครื่องยนต์ 4,000 cc ตัว Limited นะครับ เพราะถ้า ตัว Sport นั้นจะเป็น2,500 cc ขับ 2 และ ถ้าตัวเบาะผ้า นั้นจะเป็นชื่อ Laredo นั้นเอง ในส่วนสเปคที่ขายไทยตัวสูงสุดจะเป็นที่เรารีวิวคือตัว Limited ที่มาพร้อม เบาะหนัง และขับ 4 ครับ ทางด้านเครื่องยนต์นั้น ครื่องยนต์เบนซินขนาด 4,000 ซีซี. 6 สูบเรียง ถูกติดตั้งใน Jeep Cherokee Limited เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 185 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Selec-Trac พร้อมระบบ Shift on the fly และระบบเบรก ABS ส่วนการขับเคลื่อนนั้น จะเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-Time ที่มีทั้ง 2H,4H และ 4L และ สามารถเปลี่ยน จากขับ 2 เป็นขับ 4 ได้แบบไม่ต้องหยุดรถที่ค่อนข้างทำได้ดีมากๆในยุคนั้น เรียกว่า Shift-On-The-Fly ส่วนระบบต่างๆในตัวรถก็ถือว่าให้มาดีพอสมควรถ้าเทียบกับรถในยุคนั้น ทั้ง Cruise Control ต่างๆ พร้อมกับ เบาะไฟฟ้าต่างๆการพับเบาะแบนราบในด้านหลัง ที่เก็บแว่น เข็มทิศ ไฟในห้องโดยสาร 4 จุด ไฟแต่งหน้าแบบปรับความสว่างได้ หรือจะเป็น กระจกไฟฟ้า พร้อม Auto และ ปรับไฟฟ้าในกระจกมองข้าง และยังมีแอร์ตอนหลัง พร้อม ปรับระดับพัดลมแยก ในด้านหลังได้ด้วยครับ ถือว่าเป็นการปรับปรุงฟีเจอร์จากรุ่นเหลี่ยมได้เยอะมากๆรวมถึงมีที่วางแก้วน้ำมาให้เลยในตัวครับ
คันนี้แน่นอนว่าตอนเปิดตัว ราคานั้น ราคาประมาณ 1.6 ล้านบาทไทยได้ แต่ในตอนนี้ ราคาเหลือประมาณ 3 แสน สภาพสวยๆครับ รวมถึงถ้าใครจะเล่นรถพวกนี้แน่นอนว่า มีคำแนะนำให้เพิ่มเติมคือ เก็บเงินไว้เท่านึง สำหรับการบำรุงรักษา และ การไล่เปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมด ก่อนจะนำมาใช้งานจริง และแน่นอนว่า รถอายุพวกนี้ ขับไปซ่อมไป ก็ต้องมีบ้างเช่นกันครับ แต่ถ้าถามว่ามันมีความจุกจิกในการใช้งานไหม เมื่อเทียบกับรถ ยุโรป เมกาตัวอื่นๆ ต้องบอกว่ามันไม่จุกจิกเลยนะ ถ้าเราซ่อมจบ ตั้งแต่แรก และไล่เปลี่ยน ของเหลว ท่อยาง ทั้งหลากให้มันโอเค ก็ใช้ยาวได้เลย
EXTERIOR
มากันที่ตัวรถภายนอกกันก่อนในรุ่นนี้รถผมเองนั้นจะเป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมดแล้วทั้งด้านหน้า กระจกข้าง ประตู ไฟท้ายอะไรให้มันมีความโค้งมลมากขึ้นนั้นเองครับแม้ว่าจะทรงเหลี่ยนอยู่แต่ปรับหน้าให้ทันสมัยมากขึ้นนั้นเอง ทางด้านล้ออะไรยังคงเป็นล้อเดิมติดรถนะครับแต่เรื่องของยางอะไรนั้นทางผมเปลี่ยนใหม่ให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น และ เป็นยาง AT รวมถึงตัวรถก็ได้ยกสูงขึ้นจากมาตรฐาน 2 นิ้วครึ่งโดยประมาณเสริมโดยการรองก้อนเข้าไป ไม่ได้ยกทั้งระบบ นะครับเพื่อที่จะให้พอดีกับยางตัวใหม่และรูปทรงอะไรดูลงตัวมากขึ้น ในคันนี้ทางผมได้เปลี่ยนไฟหน้า ใหม่ทั้งหมด ยกโคมเป็น LED ด้วยทำให้หน้าตาอาจจะมีความแตกต่างกับเดิมๆรวมถึงไฟ DRL ก็ใส่เข้ามาแทนไฟตัดหมอกด้านล่างครับ ส่วนทางด้านสีนั้นยังคงเป็นสีเทาเดิมๆจากโรงงาน ไม่ได้มีการเปลี่ยนโทนสีอะไรเพิ่มเติมครับ
จริงๆโดยส่วนตัวแล้วรูปทรงของรถคันนี้มันยังคงทำออกม่ได้ค่อนข้างสวยและลงตัวแม้จะเป็นในปัจจุบันก็ตามมันมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Jeep พอสมควรครับ มีความเหลี่ยมสัน และดูเป็นรถลุยแบบเต็มตัวได้เลยทั้งทรงของมันและการออกแบบในภาพรวมยังคงความแข็งแรง ของแบรนด์ได้ดีแตกต่างกับรุ่นใหม่ๆที่เปิดตัวกันพอสมควรครับ ต้องบอกว่ารุ่นนี้ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับเมืองนอกเช่นกันไว้ลุย แบบดิบๆหรือจะเป็นยกสูงและไปลุยป่าอะไรพวกนั้น ในด้านหน้าจะเห็นว่ามีไฟมุม ไฟเลี้ยว อะไรมาให้ครบเลย แต่ในไทยไฟมุมจะไม่มีหลอดนะครับ ต้องไปเสริมเอง วัสดุถ้าเป็นในรุ่นนี้จะมีการเสริม กันชนที่เป็นไฟเบอร์เข้ามาเสริมตาม มุมรถมากขึ้น แต่พวกกันชนเดิมติดรถหน้าหลังยังคงเป็นเหล็กทั้งแท่งอยู่ครับ ส่วนคิ้วกันขอบประตูอะไรก็เปลี่ยนดีไซน์ใหม่รวมถึงโป่งล้อก็ติดมาให้เดิมๆ มีความโค้งมนมากขึ้น ในด้านข้างเราจะเห็นทรงที่เป็นแบบเดิม แต่ประตูมีการเปลี่ยนเล็กน้อยตรงกระจกหน้า และ บันไดข้างแถมมากับโรงงานครับ ด้านท้ายก็ยังคงเป็นไฟแนวตั้งเรียงไฟปกติ พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 และ กันชนเหล็กตรงกลางสีเดียวกับตัวรถ อีกทั้ง มีบังโคลนอะไรมาให้ครบครับ ส่วนโครมเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียนเป้นของแต่งเพิ่มเติมนะครับ เพราะของเดิมเป็นสีเดียวกับตัวรถ และ ทุกๆคันน่าจะเจอคือ มีการแตกหักได้ง่ายต้องมีเปลี่ยนกันในหลายๆคันเลย
หน้าตรงเราจะเห็นในส่วนของรูปทรงที่ยังคงเหลี่ยมจัดได้อยู่ในทรงรถรวมๆครับ แต่ชิ้นส่วนด้านหน้ามีความโค้งมลมากขึ้น ไฟหน้าสี่เหลี่ยมใช้โคมเดิมกับรุ่นก่อนได้ และของเดิมจะเป็นไฟแบบเก่าค่อนข้างฟุ้ง และไม่สว่าง เราก็สามารถเปลี่ยนไฟแล้วแต่ชอบได้เลย ทางผมก็เปลี่ยนเป็น LED สั่งจากทางอเมริกามาก็ดีกว่าเดิมเยอะมาก ส่วนไฟเลี้ยวรุ่นนี้ให้มาข้างละ 2 หลอด และ ไฟตัดหมอกจะอยู่ข้างล่างครับ กันชนหน้าที่มากับตัวรถเป็นเหล็กทั้งชิ้นนะครับ และทางผมก็ติดกันชนเพิ่มเข้าไปอีก กระโปรงหน้าก็เป็นจุดไม่ได้เปลี่ยนจากตัวเหลี่ยมครับดีไซน์เลยยังมีความเหลี่ยมอยู่บ้าง แต่ในส่วนของกระโปรงหน้าตัวนี้ใช้งานไปสีจะลอกได้ง่าย และด่างไวเพราะความร้อนจากเครื่องมันเยอะมากๆ และด้วยอายุของตัวรถอาจจะต้องมีทำสีกันบ้างครับตามสันขอบต่างๆ กระจกมองข้างสีดำนะครับในรุ่นนี้ พร้อมพับมือ ส่วนในด้านท้ายเราจะเห็นว่ารถมีระยะจากพื้นสูงพอสมควร ฝาท้ายเป็นชิ้นเดียวไม่สามารถแยกเปิด 2 ส่วนได้ พร้อมกับไฟเบรคดวงที่ 3 และ ที่เปิดตรงข้างล่างสุดครับส่วนท่อไอเสียนั้นจะอยู่มุมขวาล่างนะครับ
ดีไซน์รายละเอียดจุดเล็กๆส่วนอื่นๆทั้งที่เปิดประตูยังคงแตกต่างกับค่ายอื่นๆเป็นการกดปุ่มเข้าไป และตัวด้านจับค่อนข้างแข็งแรงแหละหนาสำหรับดึงเปิดประตู และกระจกมองข้างทรงใหม่ และสามารถพับได้แล้วพร้อมกับ มีระบบละลายฝ้า ในส่วนของกระจกมองข้างมาให้ด้วย และปรับไฟฟ้าทั้งหมดครับ ในส่วนของล้อตัวนี้จะเป็นล้อลายสวยงามพอสมควรถ้ามองว่ามันเป็นล้อติดรถ ในขนาด 15 นิ้วพร้อมกับปัดเงาสวยงาม ส่วนข้างในจะเป็นสีเทาเข้มนะครับ ลายคล้ายๆแนวของ BBS พอสมควรเลยแหละ ส่วนยางนั้นใช้ 265/70 R15 นะครับจะใหญ่ของกว่าติดรถ คือ 225/75 R15 นั้นเองครับ เป็นล้ออัลลอย 4 ล้อ พร้อมกับล้ออะไหล่ก็เป็นลายนี้เช่นกันครับ
มาส่องไฟท้ายกันชัดๆในรุ่นนี้ไฟท้ายจะเรียงกันตรงๆปกติครับ ไฟเบรค ไฟเลี้ยว ไฟถอย และไฟทับทิม ส่วนล่างสุดนั้นจะเป็นไฟตัดหมอกหลัง ที่ในไทยตัดออกไปแต่มี ขั้วพร้อมหลอด และสายไฟมาให้ แค่ต่อสวิทช์ก็ใช้ได้เลยครับ หรือจะต่อเป็นไฟเบรคก็ทำได้เช่นกันทางผมเองก็เปลี่ยนเป็นหลอด LED ทั้งหมด เพราะโคมจะละลายได้ง่ายถ้าใช้หลอดไส้นานๆครับอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนดีกว่า และเป็นขั้วแบบ T25 3157 นะครับ ส่วนไฟเบรคดวงที่ 3 ก็ใช้ T10 ปกติ รวมถึงไฟส่องป้ายทะเบียนด้วยครับ ส่วนด้านหน้านั้นจะเห็นว่า ไฟหน้ามันค่อนข้างแปลกๆคือไฟหน้าเดิมจะเป็นโคมแบบขุ่นๆแบบยุคสมัยก่อนครับ ทางเราเลยเปลี่ยนสั่งมาจาก อเมริกา เป็น LED ทั้งหมด พร้อมกับไฟสูงในตัว สามารถเปลี่ยนได้เลยครับ คุณภาพดีขึ้น และ ไปไม่แยงตาด้วยครับ ส่วนไฟเลี้ยวด้านหน้า 2 ดวงในโคม และ ในไฟมุมนั้นจะเป็นแทบทับทิมด้วย แต่เดิมๆนั้นจะไม่มีไฟมาให้ แต่เราสามารถเจาะใส่ได้เองเพราะเค้าเตรียมช่องไว้ให้แล้วแต่ในไทยตัดออกไปครับเลยไม่มีไฟมุม ส่วนไฟ เลี้ยวข้างตัวรถก็เป็นทรงเหลี่ยม เราก็เปลี่ยนเป็นโคมขาวและ LED อีกข้อระวังคือตระแกรงกันชนหน้า รอบๆไปและข้างๆไปนั้นจะเป็นไฟเบอร์ทั้งหมดและถอดแกะต้องระวังแตกหักง่าย
ชื่อสินค้า:
Jeep Cherokee XJ 4.0
คะแนน:
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้
- จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
- ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
▼
กำลังโหลดข้อมูล...
▼
แสดงความคิดเห็น
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ
สนใจ jeep cherokee ขอรับประสบการณ์ผู้ใช้จริง เป็นไงบ้าง
สนใจด้วยรูปลักษณ์อันมีเสน่ห์ ของjeep cherokee 4.0 ถ้าซื้ออยากวางเครื่องญี่ปุ่นเหมาะสมหรือไม่ การบำรุงรักษา อะหลั่ยต่างๆมีความยากลำบากอย่างไรบ้าง อยู่ชลบุรีครับ ปล. ตอนนี้ใช้Ford focus ไม่รู้สึกว่าอะหล
ฟิน บางเมืองใหม่
สอบถามท่านที่ใช้Jeep Cherokee ตัวเหลี่ยมครับ
ขอคำแนะนำหน่อยครับ พอดีหกำลังหาซื้อรถ 4wdแล้วมีคนแนะนำ Jeep Cherokee น่าจะปี 95 นะครับ เกียร์ธรรมดา เครื่อง 2500 cc ตัวนี้เป็นยังไงมั่งครับ ระบบการทรงตัว /อัตราเร่ง /ลุยได้หนักแค่ไหน /ระบบภายใน เพิ่มเ
สมาชิกหมายเลข 2475323
Jeep Cherokee ปี 2001 ยังน่าใช้อยู่มั้ยครับ
รบกวนสอบถามข้อมูลครับ เนื่องจากอยากจะมีรถ SUV ไว้ใช้งานซักคันหนึ่ง เนื่องจากมีที่ดินในการทำสวนเกษตรอยู่เพชรบุรี ลงทุนลงแรงไปพอสมควร ตอนนี้ไปบ่อยจนรถเก๋งที่ใช้อยู่ช่วงล่างพังไปแล้ว 1 รอบ คิดว่าคงต้องไ
Bisonsmile
Altis เช็คระยะ 260,000 เจอรายการซ่อม 50,000 !!
รบกวนสอบถามนิดค่ะ ช่วง 1-2 ปีหลัง ไม่ค่อยได้เอารถเข้าศูนย์เลยค่ะ พอดีรถมีปัญหาเบาแล้วดับ เลยเอาเข้าศูนย์ ให้ช่างดูอาการพร้อม เปลี่ยนถ่าย น้ำมันเครื่อง ทางศูนย์แจ้งรายการซ่อมมาตามนี้ค่ะ เรา
นู๋ลูกหยี
รถ Jeep นี่มันกินน้ำมันมากไหม?
ปกติตัวเองขับ yaris อยู่ แต่อยากเปลี่ยนบรรยากาศ เลยอยากลองเอาคันนี้มาใช้บ้าง ถ้าจะเอามาใช้ในเมือง ไป-กลับประมาณ 70 กิโล Jeep Grand Cherokee 4.0 ปี 98 รถเดิมๆ ไม่ได้ติดแก็ส
สมาชิกหมายเลข 876280
เป็นคนกรามใหญ่ ไม่ค่อยมั่นใจ โดนล้อ
สมาชิกหมายเลข 7590436
BMW 520d M Sport Pro แรงจัด-ประหยัดจริง เต็มถังไปได้ไกลกว่า 1 พัน กม. 3.779 ล้านบาท
BMW 520d M Sport Pro ยนตรกรรมหรูจากค่ายใบพัดฟ้าขาว มาพร้อมกับสมรรถนะที่โดดเด่น ของเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เทคโนโลยีทวินพาวเวอร์เทอร์โบ ที่มีอัตราเ
parn 256
ขี่จักรยานเเบบนี้ผมผิดหรือเปล่าครับ
วันนี้เป็นเวลากลางวันประมาณ 11 โมงเช้า ผมปั่นจักรยานบนถนนใหญ่ด้วยความเร็วไม่มากครับไม่ได้เปิดไฟหลัง ถนนมี 2 เลน ผมขับชิดเลนซ้ายสุดตรงเส้นทึบเลย อีกอย่างเลนซ้ายสุดด้านหลังเเทบไม่มีรถเลยครับผมเลยปั่นชิว
สมาชิกหมายเลข 7236783
ระหว่าง pajero โชกุน sport rider และ jeep cherokee xj เพื่อนๆว่า ตัวไหนน่าเล่นครับ ???
คือว่า มีแพลนจะหารถไว้ใช้เที่ยวแบบป่าเที่ยวเขา ขึ้นดอย กับครอบครัว โดยมีงบประมาน 200k รบกวน ผู้รู้ มาช่วยชี้ทางสว่างทีครับ
สมาชิกหมายเลข 2324416
TANK 300 HEV รถอเนกประสงค์สายพันธุ์ออฟโรด เตรียมเปิดตัวในไทยปีนี้ !
เปิดเสเปก TANK 300 HEV รถอเนกประสงค์สายพันธุ์ออฟโรดจากทางค่าย GWMก่อนลงตลาดขายจริงในไทยปีนี้ ภายในงานแถลงข่าวฉลองครบรอบ 2 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของทาง เกรท วอลล์ มอเตอร์ ผู้ผลิตร
กระท่อมน้อยริมบึง
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ
รถยนต์
SUV
4x4
บนสุด
ล่างสุด
อ่านเฉพาะข้อความเจ้าของกระทู้
หน้า:
หน้า
จาก
แชร์ : 16
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
ยอมรับ
[CR] รีวิว Jeep Cherokee XJ 4.0 โฉมมล รถลุยในตำนาน ยุคปี 2000 !
Jeep เป็นแบรนด์ที่ต้องบอกว่าหลายๆคนน่าจะรู้จักกันดีในฐานะรถสายลุย รถที่เป็นรถทหารอเมริกัน หรือจะเป็น SUV ตัวลุยรุ่นแรกๆที่ทำออกมากัน แน่นอนว่าในไทยก็ได้รับความนิยมกันพอสมควรเลยครับ โดยในเมืองนอกนั้นทาง Jeep Cherokee ในรุ่นที่เราจะมารีวิวนั้นจะเป็น ชื่อรหัส XJ ซึ่งเป็นการเปิดตัว มาตั้งแต่ปี 1984 และเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อยอดมาให้มันเป็น XJ ที่มาเสริมจากรุ่น WAGONEER SJ ที่ใหญ่โตกว่ามาก รุ่นที่เราเคยเห็นในหลวง ร9 ขับลุยน้ำนั้นเองครับ แน่นอนว่าการมาของ XJ นั้นเป็นการลุยตลาดที่ทำให้หลายๆคนจับต้องได้ง่าย ขับในเมืองได้ง่าย ลุยก็ดีมากขึ้น และในรุ่นแรกที่เปิดตัวมาพร้อมกับ 3 ประตู และ 5 ประตูเช่นกัน เป็นแชสซีส์แบบ โมโนค็อกด้วยครับ และในไทยก็เอาเข้ามาช่วงปี 1994 เป็นรุ่นตัวเหลี่ยม ที่เราน่าจะรู้จักกันดี และที่ผมเคยเขียนรีวิวไป ตอนนั้น ที่เรียกว่าโฉมเหลี่ยม เพราะมันเหลี่ยมจัดทั้งคัน ทุกมุมของตัวรถนั้นเอง
รุ่นนั้นถือว่าเป็นอะไรที่ ฮิตมากๆในการใช้งานเป็นรถ SUV ที่หลายๆคนอยากได้ อยากโดนกัน ทั้งเรื่องของ การขับขี่ และ การลุยที่ในยุคนั้นหาตัวเทียบได้ยากครับ และด้วยตัวแบรนด์ jeep เองก็ถือว่ามีหลายๆคนรู้จักกันตั้งแต่นั้นมา สำหรับในไทยรุ่นที่ทางผมจะมารีวิวกันนั้นจะเป็นรุ่นที่เปลี่ยนหน้าตา หรือ เรียกได้ว่า Big Minorchange ก็ว่าได้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมด รวมถึงภายใน แบบยกเครื่องทั้งหมด ในปี 1997 และ ในปี 2000 ก็ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์เสริมระบบ Direct Coil เข้ามา และการเปลี่ยนแปลงทั้งไฟหน้า ภายใน ฝาท้าย ประตู แก้มข้าง บอดี้รวมๆมันเยอะมาก รวมถึงแผงประตูข้างใน พวงมาลัย เรียกได้ว่าเปลี่ยนทุกอย่างเลยจริงๆ รูปทรงก็มีความทันสมัย ต้อนรับยุค 2000 ได้ดีมีความโค้งมลเยอะมากครับ และเป็นการประกอบในประเทศไทยเช่นกัน อีกทั้งฟีเจอร์ทั้งหลากหลายก็ใส่เข้ามาทั้ง Cruise Control เบาะปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางคู่หน้า กระจก Auto และ อื่นๆอีกมากมายที่ใส่เข้ามาให้แน่นขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียวครับ แต่รูปทรงยังคงความคลาสสิค และทันสมัยมากกว่าเดิมได้
Jeep Cherokee 4.0L XJ 2000 ตัวที่ทางผมใช้งานคันนี้เป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยน Big Minorchage แล้ว แต่ยังเป็นรุ่นที่ ใช้เครื่องยนต์แบบเดิมกับตัวเหลี่ยม ยังไม่ได้ใช้งาน Direct Coil นะครับ แน่นอนว่าที่เลือกตัวนี้เพราะการดูแลรักษา นั้นจะไม่ค่อยแตกต่างกับตัวเหลี่ยมมากนัก ทำให้ไม่ค่อยมีปัญหา รวมถึงเรื่องอะไหล่ก็ใช้งานตัวเดียวกันทั้งหมด รวมถึง ยังใช้เครื่องแบบเดียวกับ Jeep Grand Cherokee ZJ ที่ทางผมมีอีกคัน เลยทำให้เลือกในรุ่นนี้มา สำหรับในรุ่นที่รีวิวจะเป็นตัว ขับ 4 ใช้งาน เครื่องยนต์ 4,000 cc ตัว Limited นะครับ เพราะถ้า ตัว Sport นั้นจะเป็น2,500 cc ขับ 2 และ ถ้าตัวเบาะผ้า นั้นจะเป็นชื่อ Laredo นั้นเอง ในส่วนสเปคที่ขายไทยตัวสูงสุดจะเป็นที่เรารีวิวคือตัว Limited ที่มาพร้อม เบาะหนัง และขับ 4 ครับ ทางด้านเครื่องยนต์นั้น ครื่องยนต์เบนซินขนาด 4,000 ซีซี. 6 สูบเรียง ถูกติดตั้งใน Jeep Cherokee Limited เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ให้พละกำลังสูงสุด 185 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Selec-Trac พร้อมระบบ Shift on the fly และระบบเบรก ABS ส่วนการขับเคลื่อนนั้น จะเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบ Part-Time ที่มีทั้ง 2H,4H และ 4L และ สามารถเปลี่ยน จากขับ 2 เป็นขับ 4 ได้แบบไม่ต้องหยุดรถที่ค่อนข้างทำได้ดีมากๆในยุคนั้น เรียกว่า Shift-On-The-Fly ส่วนระบบต่างๆในตัวรถก็ถือว่าให้มาดีพอสมควรถ้าเทียบกับรถในยุคนั้น ทั้ง Cruise Control ต่างๆ พร้อมกับ เบาะไฟฟ้าต่างๆการพับเบาะแบนราบในด้านหลัง ที่เก็บแว่น เข็มทิศ ไฟในห้องโดยสาร 4 จุด ไฟแต่งหน้าแบบปรับความสว่างได้ หรือจะเป็น กระจกไฟฟ้า พร้อม Auto และ ปรับไฟฟ้าในกระจกมองข้าง และยังมีแอร์ตอนหลัง พร้อม ปรับระดับพัดลมแยก ในด้านหลังได้ด้วยครับ ถือว่าเป็นการปรับปรุงฟีเจอร์จากรุ่นเหลี่ยมได้เยอะมากๆรวมถึงมีที่วางแก้วน้ำมาให้เลยในตัวครับ
คันนี้แน่นอนว่าตอนเปิดตัว ราคานั้น ราคาประมาณ 1.6 ล้านบาทไทยได้ แต่ในตอนนี้ ราคาเหลือประมาณ 3 แสน สภาพสวยๆครับ รวมถึงถ้าใครจะเล่นรถพวกนี้แน่นอนว่า มีคำแนะนำให้เพิ่มเติมคือ เก็บเงินไว้เท่านึง สำหรับการบำรุงรักษา และ การไล่เปลี่ยนอะไหล่ทั้งหมด ก่อนจะนำมาใช้งานจริง และแน่นอนว่า รถอายุพวกนี้ ขับไปซ่อมไป ก็ต้องมีบ้างเช่นกันครับ แต่ถ้าถามว่ามันมีความจุกจิกในการใช้งานไหม เมื่อเทียบกับรถ ยุโรป เมกาตัวอื่นๆ ต้องบอกว่ามันไม่จุกจิกเลยนะ ถ้าเราซ่อมจบ ตั้งแต่แรก และไล่เปลี่ยน ของเหลว ท่อยาง ทั้งหลากให้มันโอเค ก็ใช้ยาวได้เลย
EXTERIOR
มากันที่ตัวรถภายนอกกันก่อนในรุ่นนี้รถผมเองนั้นจะเป็นรุ่นที่ปรับเปลี่ยนหน้าตาทั้งหมดแล้วทั้งด้านหน้า กระจกข้าง ประตู ไฟท้ายอะไรให้มันมีความโค้งมลมากขึ้นนั้นเองครับแม้ว่าจะทรงเหลี่ยนอยู่แต่ปรับหน้าให้ทันสมัยมากขึ้นนั้นเอง ทางด้านล้ออะไรยังคงเป็นล้อเดิมติดรถนะครับแต่เรื่องของยางอะไรนั้นทางผมเปลี่ยนใหม่ให้มันมีขนาดใหญ่ขึ้น และ เป็นยาง AT รวมถึงตัวรถก็ได้ยกสูงขึ้นจากมาตรฐาน 2 นิ้วครึ่งโดยประมาณเสริมโดยการรองก้อนเข้าไป ไม่ได้ยกทั้งระบบ นะครับเพื่อที่จะให้พอดีกับยางตัวใหม่และรูปทรงอะไรดูลงตัวมากขึ้น ในคันนี้ทางผมได้เปลี่ยนไฟหน้า ใหม่ทั้งหมด ยกโคมเป็น LED ด้วยทำให้หน้าตาอาจจะมีความแตกต่างกับเดิมๆรวมถึงไฟ DRL ก็ใส่เข้ามาแทนไฟตัดหมอกด้านล่างครับ ส่วนทางด้านสีนั้นยังคงเป็นสีเทาเดิมๆจากโรงงาน ไม่ได้มีการเปลี่ยนโทนสีอะไรเพิ่มเติมครับ
จริงๆโดยส่วนตัวแล้วรูปทรงของรถคันนี้มันยังคงทำออกม่ได้ค่อนข้างสวยและลงตัวแม้จะเป็นในปัจจุบันก็ตามมันมีความเป็นเอกลักษณ์ของ Jeep พอสมควรครับ มีความเหลี่ยมสัน และดูเป็นรถลุยแบบเต็มตัวได้เลยทั้งทรงของมันและการออกแบบในภาพรวมยังคงความแข็งแรง ของแบรนด์ได้ดีแตกต่างกับรุ่นใหม่ๆที่เปิดตัวกันพอสมควรครับ ต้องบอกว่ารุ่นนี้ยังคงเป็นที่นิยมสำหรับเมืองนอกเช่นกันไว้ลุย แบบดิบๆหรือจะเป็นยกสูงและไปลุยป่าอะไรพวกนั้น ในด้านหน้าจะเห็นว่ามีไฟมุม ไฟเลี้ยว อะไรมาให้ครบเลย แต่ในไทยไฟมุมจะไม่มีหลอดนะครับ ต้องไปเสริมเอง วัสดุถ้าเป็นในรุ่นนี้จะมีการเสริม กันชนที่เป็นไฟเบอร์เข้ามาเสริมตาม มุมรถมากขึ้น แต่พวกกันชนเดิมติดรถหน้าหลังยังคงเป็นเหล็กทั้งแท่งอยู่ครับ ส่วนคิ้วกันขอบประตูอะไรก็เปลี่ยนดีไซน์ใหม่รวมถึงโป่งล้อก็ติดมาให้เดิมๆ มีความโค้งมนมากขึ้น ในด้านข้างเราจะเห็นทรงที่เป็นแบบเดิม แต่ประตูมีการเปลี่ยนเล็กน้อยตรงกระจกหน้า และ บันไดข้างแถมมากับโรงงานครับ ด้านท้ายก็ยังคงเป็นไฟแนวตั้งเรียงไฟปกติ พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 และ กันชนเหล็กตรงกลางสีเดียวกับตัวรถ อีกทั้ง มีบังโคลนอะไรมาให้ครบครับ ส่วนโครมเมี่ยมเหนือป้ายทะเบียนเป้นของแต่งเพิ่มเติมนะครับ เพราะของเดิมเป็นสีเดียวกับตัวรถ และ ทุกๆคันน่าจะเจอคือ มีการแตกหักได้ง่ายต้องมีเปลี่ยนกันในหลายๆคันเลย
หน้าตรงเราจะเห็นในส่วนของรูปทรงที่ยังคงเหลี่ยมจัดได้อยู่ในทรงรถรวมๆครับ แต่ชิ้นส่วนด้านหน้ามีความโค้งมลมากขึ้น ไฟหน้าสี่เหลี่ยมใช้โคมเดิมกับรุ่นก่อนได้ และของเดิมจะเป็นไฟแบบเก่าค่อนข้างฟุ้ง และไม่สว่าง เราก็สามารถเปลี่ยนไฟแล้วแต่ชอบได้เลย ทางผมก็เปลี่ยนเป็น LED สั่งจากทางอเมริกามาก็ดีกว่าเดิมเยอะมาก ส่วนไฟเลี้ยวรุ่นนี้ให้มาข้างละ 2 หลอด และ ไฟตัดหมอกจะอยู่ข้างล่างครับ กันชนหน้าที่มากับตัวรถเป็นเหล็กทั้งชิ้นนะครับ และทางผมก็ติดกันชนเพิ่มเข้าไปอีก กระโปรงหน้าก็เป็นจุดไม่ได้เปลี่ยนจากตัวเหลี่ยมครับดีไซน์เลยยังมีความเหลี่ยมอยู่บ้าง แต่ในส่วนของกระโปรงหน้าตัวนี้ใช้งานไปสีจะลอกได้ง่าย และด่างไวเพราะความร้อนจากเครื่องมันเยอะมากๆ และด้วยอายุของตัวรถอาจจะต้องมีทำสีกันบ้างครับตามสันขอบต่างๆ กระจกมองข้างสีดำนะครับในรุ่นนี้ พร้อมพับมือ ส่วนในด้านท้ายเราจะเห็นว่ารถมีระยะจากพื้นสูงพอสมควร ฝาท้ายเป็นชิ้นเดียวไม่สามารถแยกเปิด 2 ส่วนได้ พร้อมกับไฟเบรคดวงที่ 3 และ ที่เปิดตรงข้างล่างสุดครับส่วนท่อไอเสียนั้นจะอยู่มุมขวาล่างนะครับ
ดีไซน์รายละเอียดจุดเล็กๆส่วนอื่นๆทั้งที่เปิดประตูยังคงแตกต่างกับค่ายอื่นๆเป็นการกดปุ่มเข้าไป และตัวด้านจับค่อนข้างแข็งแรงแหละหนาสำหรับดึงเปิดประตู และกระจกมองข้างทรงใหม่ และสามารถพับได้แล้วพร้อมกับ มีระบบละลายฝ้า ในส่วนของกระจกมองข้างมาให้ด้วย และปรับไฟฟ้าทั้งหมดครับ ในส่วนของล้อตัวนี้จะเป็นล้อลายสวยงามพอสมควรถ้ามองว่ามันเป็นล้อติดรถ ในขนาด 15 นิ้วพร้อมกับปัดเงาสวยงาม ส่วนข้างในจะเป็นสีเทาเข้มนะครับ ลายคล้ายๆแนวของ BBS พอสมควรเลยแหละ ส่วนยางนั้นใช้ 265/70 R15 นะครับจะใหญ่ของกว่าติดรถ คือ 225/75 R15 นั้นเองครับ เป็นล้ออัลลอย 4 ล้อ พร้อมกับล้ออะไหล่ก็เป็นลายนี้เช่นกันครับ
มาส่องไฟท้ายกันชัดๆในรุ่นนี้ไฟท้ายจะเรียงกันตรงๆปกติครับ ไฟเบรค ไฟเลี้ยว ไฟถอย และไฟทับทิม ส่วนล่างสุดนั้นจะเป็นไฟตัดหมอกหลัง ที่ในไทยตัดออกไปแต่มี ขั้วพร้อมหลอด และสายไฟมาให้ แค่ต่อสวิทช์ก็ใช้ได้เลยครับ หรือจะต่อเป็นไฟเบรคก็ทำได้เช่นกันทางผมเองก็เปลี่ยนเป็นหลอด LED ทั้งหมด เพราะโคมจะละลายได้ง่ายถ้าใช้หลอดไส้นานๆครับอันนี้แนะนำให้เปลี่ยนดีกว่า และเป็นขั้วแบบ T25 3157 นะครับ ส่วนไฟเบรคดวงที่ 3 ก็ใช้ T10 ปกติ รวมถึงไฟส่องป้ายทะเบียนด้วยครับ ส่วนด้านหน้านั้นจะเห็นว่า ไฟหน้ามันค่อนข้างแปลกๆคือไฟหน้าเดิมจะเป็นโคมแบบขุ่นๆแบบยุคสมัยก่อนครับ ทางเราเลยเปลี่ยนสั่งมาจาก อเมริกา เป็น LED ทั้งหมด พร้อมกับไฟสูงในตัว สามารถเปลี่ยนได้เลยครับ คุณภาพดีขึ้น และ ไปไม่แยงตาด้วยครับ ส่วนไฟเลี้ยวด้านหน้า 2 ดวงในโคม และ ในไฟมุมนั้นจะเป็นแทบทับทิมด้วย แต่เดิมๆนั้นจะไม่มีไฟมาให้ แต่เราสามารถเจาะใส่ได้เองเพราะเค้าเตรียมช่องไว้ให้แล้วแต่ในไทยตัดออกไปครับเลยไม่มีไฟมุม ส่วนไฟ เลี้ยวข้างตัวรถก็เป็นทรงเหลี่ยม เราก็เปลี่ยนเป็นโคมขาวและ LED อีกข้อระวังคือตระแกรงกันชนหน้า รอบๆไปและข้างๆไปนั้นจะเป็นไฟเบอร์ทั้งหมดและถอดแกะต้องระวังแตกหักง่าย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้