ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี ทั้งหมด


คำว่า  สัมภเวสี  เป็นคำมาจากภาษาบาลี ว่า   สมฺภเวสี  [อ่านว่า  สำ-พะ-เว-สี] แปลว่า  ผู้แสวงหาการเกิด,  ผู้ยังต้องเกิด    โดยที่ไม่มีการล่องลอยหาที่เกิดแต่อย่างใด  เพราะตายแล้วเกิดทันทีสำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่     [สมฺภเวสี  แยกศัพท์เป็น  สมฺภว (การเกิด) กับคำว่า  เอสี (ผู้แสวงหา)  รวมกันเป็น สมฺภเวสี  (ผู้แสวงหาการเกิด)]       
  
ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี  ทั้งหมด  เพราะยังต้องเกิดอยู่      ตามข้อความในปปัญจสูทนี  อรรถกถา  มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์  สัมมาทิฏฐิสูตร  ดังนี้

“เหล่าสัตว์ที่เสาะหา   คือ  แสวงหาการสมภพ คือ  การเกิด   ได้แก่ การบังเกิดขึ้น   ชื่อว่า สัมภเวสี.    สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า  สัมภเวสี, คำว่า สัมภเวสี  นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป  เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้ (คือ ละความติดข้องในภพ ยังไม่ได้)”
----------------------------
ชีวิตในแต่ละภพแต่ละชาตินั้น   เป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม เท่านั้น     สภาพธรรมเหล่านั้น ได้แก่ จิต(สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก(สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต]  และ รูป  (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่สภาพรู้)
เป็นความจริงที่ว่า  สัตว์โลกที่ยังมีกิเลส  มี ตัณหา และ อวิชชา  เป็นต้น    ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่าง ๆ อยู่ร่ำไป  เป็นผู้เดินทางในสังสารวัฏฏ์  จากชาตินี้ไปสู่ชาติหน้า    จากชาติหน้าก็ไปสู่ชาติต่อ ๆ ไปอีก   ยังไม่พ้นไปจากความเป็นสัมภเวสี   ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้ว   เนื่องจากว่าเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน  เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง  และในชาตินี้ เมื่อละจากโลกนี้ไป  ก็ต้องเกิดในภพใหม่อีก   ขึ้นอยู่กับว่ากรรมใดจะให้ผลนำเกิด   กล่าวคือ  ถ้ากรรมดีให้ผล ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์  หรือ เกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผลก็ทำให้เกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ    ถึงแม้จะเกิดเป็นอะไรก็ตาม   ก็ยังต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์  เพราะบุคคลผู้ที่สิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์แล้ว     ไม่ต้องเกิดอีก   มีเพียงประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์  ซึ่งเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสทั้งหลายทั้งปวง
------------------------------
การเกิดในภพหนึ่งชาติหนึ่งนั้น   ไม่ยั่งยืนเลย  สั้นมาก    เกิดมาในแต่ภพแต่ละชาติ   ต้องสิ้นสุดที่ความตายทั้งนั้น   แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้เกิด  คือ กิเลส ก็ต้องเกิดอีกในชาติต่อไปอย่างแน่นอน    สำหรับการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น  เป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยาก  เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ยากแสนยากแล้ว    ควรอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท  เป็นผู้ตั้งอยู่ในธรรมอันดีงาม    เพราะภูมิมนุษย์ เป็นภูมิที่เอื้ออำนวยให้สามารถเจริญกุศลได้ทุก ๆ  ประการ  ทั้งในเรื่องของการให้ทาน  การรักษาศีล  การช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น   การอ่อนน้อมถ่อมตน  การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา  เป็นต้น และประการที่สำคัญที่สุด การที่ไม่จะประมาทจริง ๆ  คือ  เห็นประโยชน์ของความเข้าใจพระธรรม     ความเข้าใจพระธรรม  จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต   พึ่งได้ตั้งแต่ในเบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ  สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับ    ซึ่งจะต้องไม่ขาดเหตุที่ทำให้ปัญญาเจริญขึ้น  คือ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน
-------------------------------
ที่มา https://www.dhammahome.com/webboard/topic/31916
ฟังธรรม http://www.dhammahome.com/radio หรือ http://www.dhammahome.com/discuss
สนทนาปัญหาธรรม https://www.dhammahome.com/webboard/section/2
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  พระไตรปิฎก พระธรรม ศาสนาพุทธ กฎแห่งกรรม
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่