
“หนังเกย์มาก!” นี่คือคำชมที่เรามอบให้กับ It Chapter 2 เพราะนอกจากหนังจะเปิดเรื่องด้วยประเด็นโฮโมโฟเบียอย่างชัดเจนไม่ปิดบังแล้ว มันยังโปรยกลิ่นอายโฮโมฯ เป็นระยะ สลับกับฉากเรียกเสียงหวีดกรีดร้องและงานดีไซน์ฉากสยองขวัญที่ชาวเกย์ชื่นชอบ ไปจนถึงกิมมิกเล็กๆ ในซีนจบที่เราขอเคลมว่ามันคือการ Come Out ของตัวละคร (ที่เผลอๆ อาจจะมีมากกว่า 1 ตัวด้วยซ้ำ) แล้วยอมรับมาเถอะว่า คาแร็คเตอร์ตัวตลกหน้าขาวปากแดงในชุดคอสตูมวินเทจอย่าง Pennywise นั้นก็โคตรจะเกย์!
.
เรื่องราวในอีก 27 ปีหลังจาก It ภาคแรก เมื่อเด็กๆ แก๊งขี้แพ้เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว และพวกเค้าก็ต้องเดินทางกลับมายังเมือง Derry อีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวตลก Pennywise หรือ It กลับมาอาละวาดอีกหน แล้วอดีตในวัยเด็กอันเจ็บปวดก็ค่อยๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา พร้อมกับมิตรภาพของพวกเค้า
.
คือพอมันไม่ต้องปูพื้นตัวละครอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว หนังก็เดินหน้าด้วยฉากสยองขวัญไล่ฆ่าของ Pennywise ในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนเราถึงกับครางออกมาว่า “โอ๊ย เหนื่อย” แน่นอน ความสนุกของ It ยังอยู่ที่การที่ “มัน” สามารถปรากฏตัวได้หลากหลายรูปแบบ และเล่นกับ “ความกลัว” ของเหยื่อ เหมือนๆ กับ Freddy Krueger (ซึ่งหนังก็มีฉากสดุดี A Nightmare on Elm Street ด้วย - มองเห็นกันไหมเอ่ย) ที่สำคัญพอตัวละครแต่ละตัวคืออดีตเด็กน้อยที่เราเคยเอาใจช่วยมาแล้ว มันก็เลยรู้สึกเหมือนเราได้เจอเพื่อนเก่าที่ต้องเอาใจช่วยพวกเค้าอีกหน โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ผุดขึ้นในใจเลย ต้องยกความดีให้กับทีมนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ทาบทับกับนักแสดงรุ่นเยาว์ได้พอเหมาะพอเจาะด้วยแหละ
.
ความสยองขวัญที่ผสมผสานกัน ทั้งโหมดวิ่งไล่ฆ่า ไขปริศนา ตะลุยด่านภารกิจ ต่อสู้กับผีร้าย ปีศาจ อสูรกาย สั่นประสาทกับฉากแหวะๆ โหดๆ แบบนองเลือด ไปจนถึงลุ้นไปหัวเราะไปกับผีตุ๊งแช่ จนทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าบ้านผีสิงในสวนสนุก แล้วหลุดโลกไปอยู่ในหนังเอเลี่ยนเลยบางชั่วขณะ มันเป็นเหมือนการคารวะหนังสยองขวัญในคืนวันเก่าก่อนที่รู้เลยว่าคนทำงานต้องสนุกและเพลิดเพลินกับฉากต่างๆ มากจริงๆ
.
ชอบมากขึ้นไปอีกที่เรายังเห็นร่องรอยความเจ็บปวดของเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่เอาเปรียบหรือทำร้ายทำลายวัยเยาว์อันควรจะบริสุทธิ์ของพวกเค้า และมันก็ส่งผลเลวร้ายยาวนานแม้พวกเค้าจะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แล้วเราก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก เมื่อฉากสุดท้ายของ Pennywise มาถึง “นี่พวกเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วสินะ” มันตอกย้ำประเด็นที่ It พูดถึงมาตั้งแต่ภาคแรก การ Bully การกลั่นแกล้งรังแกคนที่อ่อนแอกว่า การสร้างบาดแผลให้กับเด็กๆ มันเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอ แล้วถึงเราจะเคยถูกทำร้ายแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง หรือต่อต้านมันเพียงใด สุดท้ายมันก็เหมือนหนังบอกกับเราว่า การ Bully นี่ล่ะที่ทำให้เราเติบโตขึ้น หรือที่เจ็บปวดไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นเราเองนี่ล่ะที่ Bully คนอื่นเสียเองเพื่อการเติบโต ...
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] It Chapter 2 (2019)
“หนังเกย์มาก!” นี่คือคำชมที่เรามอบให้กับ It Chapter 2 เพราะนอกจากหนังจะเปิดเรื่องด้วยประเด็นโฮโมโฟเบียอย่างชัดเจนไม่ปิดบังแล้ว มันยังโปรยกลิ่นอายโฮโมฯ เป็นระยะ สลับกับฉากเรียกเสียงหวีดกรีดร้องและงานดีไซน์ฉากสยองขวัญที่ชาวเกย์ชื่นชอบ ไปจนถึงกิมมิกเล็กๆ ในซีนจบที่เราขอเคลมว่ามันคือการ Come Out ของตัวละคร (ที่เผลอๆ อาจจะมีมากกว่า 1 ตัวด้วยซ้ำ) แล้วยอมรับมาเถอะว่า คาแร็คเตอร์ตัวตลกหน้าขาวปากแดงในชุดคอสตูมวินเทจอย่าง Pennywise นั้นก็โคตรจะเกย์!
.
เรื่องราวในอีก 27 ปีหลังจาก It ภาคแรก เมื่อเด็กๆ แก๊งขี้แพ้เติบโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว และพวกเค้าก็ต้องเดินทางกลับมายังเมือง Derry อีกครั้ง เมื่อเจ้าตัวตลก Pennywise หรือ It กลับมาอาละวาดอีกหน แล้วอดีตในวัยเด็กอันเจ็บปวดก็ค่อยๆ ถูกรื้อฟื้นขึ้นมา พร้อมกับมิตรภาพของพวกเค้า
.
คือพอมันไม่ต้องปูพื้นตัวละครอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว หนังก็เดินหน้าด้วยฉากสยองขวัญไล่ฆ่าของ Pennywise ในรูปแบบต่างๆ อย่างต่อเนื่องยาวนาน จนเราถึงกับครางออกมาว่า “โอ๊ย เหนื่อย” แน่นอน ความสนุกของ It ยังอยู่ที่การที่ “มัน” สามารถปรากฏตัวได้หลากหลายรูปแบบ และเล่นกับ “ความกลัว” ของเหยื่อ เหมือนๆ กับ Freddy Krueger (ซึ่งหนังก็มีฉากสดุดี A Nightmare on Elm Street ด้วย - มองเห็นกันไหมเอ่ย) ที่สำคัญพอตัวละครแต่ละตัวคืออดีตเด็กน้อยที่เราเคยเอาใจช่วยมาแล้ว มันก็เลยรู้สึกเหมือนเราได้เจอเพื่อนเก่าที่ต้องเอาใจช่วยพวกเค้าอีกหน โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ผุดขึ้นในใจเลย ต้องยกความดีให้กับทีมนักแสดงรุ่นใหญ่ที่ทาบทับกับนักแสดงรุ่นเยาว์ได้พอเหมาะพอเจาะด้วยแหละ
.
ความสยองขวัญที่ผสมผสานกัน ทั้งโหมดวิ่งไล่ฆ่า ไขปริศนา ตะลุยด่านภารกิจ ต่อสู้กับผีร้าย ปีศาจ อสูรกาย สั่นประสาทกับฉากแหวะๆ โหดๆ แบบนองเลือด ไปจนถึงลุ้นไปหัวเราะไปกับผีตุ๊งแช่ จนทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าบ้านผีสิงในสวนสนุก แล้วหลุดโลกไปอยู่ในหนังเอเลี่ยนเลยบางชั่วขณะ มันเป็นเหมือนการคารวะหนังสยองขวัญในคืนวันเก่าก่อนที่รู้เลยว่าคนทำงานต้องสนุกและเพลิดเพลินกับฉากต่างๆ มากจริงๆ
.
ชอบมากขึ้นไปอีกที่เรายังเห็นร่องรอยความเจ็บปวดของเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่เอาเปรียบหรือทำร้ายทำลายวัยเยาว์อันควรจะบริสุทธิ์ของพวกเค้า และมันก็ส่งผลเลวร้ายยาวนานแม้พวกเค้าจะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แล้วเราก็ถึงกับน้ำตาไหลพราก เมื่อฉากสุดท้ายของ Pennywise มาถึง “นี่พวกเจ้าโตเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้วสินะ” มันตอกย้ำประเด็นที่ It พูดถึงมาตั้งแต่ภาคแรก การ Bully การกลั่นแกล้งรังแกคนที่อ่อนแอกว่า การสร้างบาดแผลให้กับเด็กๆ มันเป็นเรื่องเลวร้ายเสมอ แล้วถึงเราจะเคยถูกทำร้ายแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง หรือต่อต้านมันเพียงใด สุดท้ายมันก็เหมือนหนังบอกกับเราว่า การ Bully นี่ล่ะที่ทำให้เราเติบโตขึ้น หรือที่เจ็บปวดไปมากกว่านั้น ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นเราเองนี่ล่ะที่ Bully คนอื่นเสียเองเพื่อการเติบโต ...
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้