คิดยังไงเมื่อมีคนมาบอกเราว่า ทำงานประจำก็สู้ค้าขายไม่ได้หรอก

แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
ในฐานะที่ทำงานด้านฝ่ายบุคคลมาเกือบ 10 ปี ขอบอกว่าเบื่อกับตรรกะป่วยๆแบบนี้มาก
ยุคที่ผมยังเรียนหนังสือ พวกผู้ใหญ่พูดกันว่า "ตั้งใจเรียน เพื่อเอาความรู้ความสามารถไปสร้างรายได้ให้กับตัวเอง"
ไม่ใช่ "จบปริญญาตรีแล้วออกมาเป็นลูกจ้าง"
ค่านิยมแบบที่คุณโดนเป่าหูนั้น ทำให้เด็กรุ่นหลังส่วนใหญ่ อีโก้สูงมาก ไม่ยอมก้มหัวให้คนอื่น ไม่ตั้งใจทำงานในแต่ละวัน หวังแต่ฝันหวานจะเปิดธุรกิจส่วนตัว ทำให้ไม่ก้าวหน้าในการทำงาน ไปคิดว่าทำธุรกิจส่วนตัว ได้เงินวันละมากๆ ทั้งที่สิ่งนั้นมันต้องคำนึงถึงตลาดสินค้าที่เราดำเนินธุรกิจด้วย และ มีความเสี่ยงที่บางเดือน เราอาจไม่มีรายได้ เพราะไม่มีลูกค้าเลย
ไม่คิดว่า หากตั้งใจทำงานตั้งแต่ 2-3 ปีแรกหลังเรียนจบเพื่อเก็บประสบการณ์และเรียนรู้วิธีการทำงานแล้ว เมื่ออายุราว 30 ก็จะขึ้นเป็นผู้จัดการแผนกได้เงินเดือนละ 4-5 หมื่นเช่นกันและดีกว่าด้วย ตรงที่ได้ทุกเดือน ไม่ต้องกังวลว่าแต่ละเดือนจะมีลูกค้าไหม  

จากที่ผมทำงานมานาน บางคนบริษัทรับเข้ามาตั้งแต่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานสอนงานให้จนทำผลงานได้ดี มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการช่วยขับเคลื่อนบริษัทในอนาคต แต่กลับตัดสินใจลาออกเพื่อไปเปิดร้านขายของ เพราะคิดว่าจะได้เงินมากกว่าเงินเดือนที่บริษัทให้ แต่หลายคนก็ไม่ได้แบบนั้น กลายเป็นเจอปัญหาชีวิต ไม่มีรายได้ ไม่มีคุณภาพชีวิตแบบที่ควรจะเป็น เมื่อตัดสินใจย้อนกลับไปทำงานบริษัท แล้วแจ้งสาเหตุการลาออกว่า เพื่อไปขายของ ก็จะทำให้โปรไฟล์เสียหาย บางบริษัทเขาก็ไม่รับ เพราะกลัวว่าเมื่อรับมาทำไปสักพัก เมื่อมีเงินเก็บจำนวนหนึ่ง ก็จะทิ้งบริษัทไปขายของอีกครั้ง

ช่วงปี 2554-55 ผมเห็นเพื่อนหลายคน ลาออกจากงานไปเปิดร้านขาย - ซ่อม จักรยาน เพราะชอบขี่จักรยาน ตอนแรกๆ เขามีรายได้สูงมาก ผมก็เคยแนะนำให้คนที่ออฟฟิศไปเป็นลูกค้าเขา
แต่ช่วงปี 2558 จนถึงปัจจุบัน ตลาดจักรยานตกต่ำอย่างน่าใจหาย ผมเห็นในเฟสบุ๊กพบว่าเพื่อนผมพวกนั้นเลิกกิจการไปแทบหมดแล้ว บางคนประกาศรับเซ้งร้าน เพราะขายต่อไปไม่ได้แล้ว ไม่มีลูกค้า

ผมจึงบอกว่า สิ่งที่เราเห็นตอนนี้คือ คนบางคนกำลังบูมกับการค้าขาย แต่มันคือความเสี่ยง เหมือนที่เคยมีมุขล้อกันในโซเชียลมีเดียว่า คนทำงานฟรีแลนซ์มองไปนอกหน้าต่างเห็นรถติดแล้วบ่นว่า "โชคดีที่ตัวเองไม่ต้องเป็นคนที่อยู่บนถนน" แต่พอหันกลับเข้าห้องตัวเองก็ถอนหายใจแล้วบ่นว่า "เฮ้อ! เดือนนี้ตูจะมีลูกค้า มีรายได้เพียงพอสำหรับใช้จ่ายไหม"      
- น้าผมขายผลไม้ 3 ปีก่อน ได้เงินหลักหมื่นต่อเดือน ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว เขาบอกว่า ขายให้มีเงินพอกับค่าเช่าก็พอแล้ว
สิ่งสำคัญคือ เราอย่ามองแค่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าในปัจจุบัน แต่ต้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย

ผมว่าคุณอย่าไปสนใจคำพูดพวกนี้ แล้วตั้งใจทำงานดีกว่าครับ ผมตอนนี้อายุ 35 ไม่เคยคิดจะออกไปขายของเลย เข้าออฟฟิศ ทำงานไปเรื่อยๆ สิ้นเดือนรับเงินแน่นอน พยายามหาความรู้ พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ เมื่อเกศียนตัวเองตอนอายุ 55 ถ้าเรามีผลงานดีบริษัทก็อาจจะจ้างต่อแบบรายปี ไปจนกว่าเราจะทำงานไม่ได้ แบบนี้มั่นคงกว่ามากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่