'ชลน่าน' ไม่รับหลักการพ.ร.บ.โอนงบฯ ชี้ขัดหลักปชต.-ตั้งฉายานายกฯ 'จอมโอนแห่งยุค'
https://voicetv.co.th/read/aqxV6JaQS
"ชลน่าน" ย้ำไม่รับหลักการพ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายปี 63 เหตุขัดหลักประชาธิปไตย ตั้งฉายาพล.อ.ประยุทธ์ "จอมโอนแห่งยุค"
นายแพทย์
ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ผู้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2563 ว่า จากหลักการและเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจง การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน การโอนงบประมาณรายจ่ายในประวัติศาสตร์มีมา 5 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่ง 5 ครั้งที่ผ่านมาเป็นการผ่านสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 143 และ 144 ในการพิจารณา เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี และร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติม แต่ที่สำคัญสมาชิกมีข้อจำกัดมากในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 143 และ 144 เขียนไว้ชัดว่าจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน สมาชิกวุฒิสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญสมาชิกไม่สามารถแปรญัตติในการเปลี่ยนแปลงรายการหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการ ทำได้เฉพาะการตัดทอนหรือลดรายจ่ายเท่านั้น ดังนั้นสมาชิกมีหน้าที่ลดหรือตัดทอนตัวรายจ่าย ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการโอนงบประมาณรายจ่าย ก็ตีความได้ว่าเป็นรายจ่ายก็สามารถปรับลดจำนวนหรือตัวรายจ่ายที่อยู่ในรายการได้
จากหลักการและเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีได้แถลง ตนได้พิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วนจากเอกสาร ซึ่งมีทั้งหมด 5 มาตรา โดยมาตราที่สำคัญคือ มาตรา 4 จากการดูในรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ไม่สามารถที่จะรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ เนื่องจากดูจากหลักการที่บอกให้โอนงบประมาณรายจ่ายจากหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ โอนจากรายจ่ายที่เป็นงบบูรณาการ และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งหมด 38 รายการ 22 หน่วยรับงบประมาณ มาตั้งไว้ในงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เหตุผลที่ตนไม่รับหลักการ เพราะขัดหลักประชาธิปไตยและกฎหมายอื่นๆ เพราะการจัดสรรงบประมาณมีหลักการ คือ ความจำเพาะเจาะจงของตัวงบประมาณ ต้องมีวัตถุประสงค์ แผนงาน เม็ดเงินที่ชัดเจน และการนำงบประมาณไปใช้ต้องคำนึงถึงหลักความยินยอมของประชาชน โดยผ่านรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชน
หลักการสำคัญคือสภาต้องสามารถตรวจสอบได้ การโอนงบประมาณ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 มาตรา 53(1) เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามโอนข้ามระหว่างหน่วยงาน เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งงบกลางไม่ใช่หน่วยรับงบประมาณ เป็นประเภทรายจ่ายประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง โดยผู้บริหารผู้ใช้งบประมาณคือ นายกรัฐมนตรี ดังนั้นหลักประชาธิปไตยต้องชัดเจน ตรวจสอบได้ โปร่งใส
ให้ฉายานายกรัฐมนตรี "จอมโอนแห่งยุค"
ทั้งนี้ รายการการโอนงบประมาณในครั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบในอดีตย้อนไป ซึ่งต้องให้ฉายานายกรัฐมนตรีว่า
#จอมโอนแห่งยุค เพราะไม่เคยมีใครโอนงบประมาณมากมายเท่ากับสมัยที่ของพล.อ.
ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยในรัฐบาล คสช. มีการโอนงบประมาณไป 4 ครั้ง เม็ดเงินรวม 53,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่โอนไปไว้ในงบกลาง
อีกเหตุผลที่ไม่สามารถเห็นชอบหลักการได้ คือ ความสมเหตุสมผลที่จะนำงบประมาณไปใช้ นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะนำไปใช้อยู่ 3 เหตุผลใหญ่
1. แก้ไขปัญหาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
2. นำไปป้องกันแก้ไขเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ภัยแล้ง
3. นำไปป้องกันเหตุภัยพิบัติอื่นๆ เราเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ในรายละเอียดของการโอนไปใช้ สิ่งที่ควรจะเป็นต้องตั้งเวลาไว้ 105 วัน เพราะเพื่อให้ดูในรายละเอียด ต้องหลีกเลี่ยงการนำไปเข้างบกลางให้มากที่สุด สภาแห่งนี้อาจจะยอมได้บ้าง แต่ไม่ควรยอม 88,000 ล้านบาท เพราะหากยอมเราจะไปสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้เป็นจอมเลี่ยงหลักนิติธรรม เพราะนายกรัฐมนตรีไม่เคยปกครองตามกฎหมาย แต่ใช้กฎหมายปกครอง ตั้งแต่เข้าสู่ตำแหน่ง มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศก็มีการแก้ระเบียบเพื่อรองรับกรอบวินัยการเงินการคลัง ดังนั้นลักษณะแบบนี้เหมือนกับมัดมือสภาให้อนุมัติเหมือนตีเช็คเปล่า
"หากสภาแห่งนี้อนุมัติ สภาของเราจะเป็นที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนชุดแรก สภาชุดที่ 25 นี้ในสมัยประชุมที่ 1 ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 วันนี้ จะเป็นรอยด่างเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าถูกมัดมือชก อนุมัติเห็นชอบกฎหมายโอนงบประมาณที่ไม่ควรจะเห็นชอบเลย" นพ.
ชลน่าน กล่าว
ปิยบุตร เตรียมเปิดแคมเปญ "มีส.ว.ไว้ทำไม" โอดเล่นการเมืองมาคดีเพียบ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4251678
ปิยบุตร ชี้ ปม สว. ตั้ง สนช. เป็น ป.ป.ช. เปรียบเป็นการผลัดกันเกาหลัง เผย 5 มิ.ย.นี้ เปิดแคมเปญ "มีส.ว.ไว้ทำไม" โอด เล่นการเมืองมาคดีเพียบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มิ.ย. ที่รัฐสภา นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีมติให้นาย
สุชาติ ตระกูลเกษมสุข อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ถือเป็นความผิดเพี้ยนของรัฐธรรมนูญ ด้านหนึ่งต้องรักษาความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ไม่มีส่วนได้เสีย แต่สุดท้ายส.ว. เลือกนาย
สุชาติ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาเป็นกรรมการป.ป.ช.
นาย
ปิยบุตร กล่าวต่อว่า เท่ากับเป็นระบบผลัดกันเกาหลัง วนกันอยู่เพียงกลุ่มคนเดิม ๆ ปัญหาต่อมาก็ต้องดูว่ามีองค์กรไหนมาชี้ขาดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะทราบว่าคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ก็มีมาตรฐานไปอีกแบบหนึ่ง เพราะตัดสิทธิ์ผู้ที่เคยเป็นสนช. ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกสม. ได้
นาย
ปิยบุตร กล่าวอีกว่า อยากให้ไปย้อนดูจุดเริ่มต้น สนช. หน่วยธุรการที่เขานำไปใช้ก็คือสำนักงานเลขาวุฒิสภา ถือเป็นนัยยะสำคัญอันหนึ่งว่า สนช. เท่ากับ ส.ส. หรือส.ว.กันแน่ ทั้งนี้ ตั้งแต่ยึดอำนาจมาก็วนกันอยู่ที่เดิม โดยวันที่ 5 มิ.ย.นี้ หากจำกันได้ มีการเลือก พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดย 500 เสียง มี 249 เสียงเป็นวุฒิสภา เว้นประธานวุฒิสภาที่งดออกเสียง จึงเห็นได้ว่าส.ว. ที่เลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงชัดเจนที่สุดว่าวุฒิสภาชุดนี้ตั้งมาเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร
"วันที่ 5 มิ.ย.นี้ เราจะเปิดแคมเปญ "ส.ว. มีไว้ทำไม" อย่างเป็นทางการ และวันที่ 6 มิ.ย. จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ ทั้งนี้ จะมีผู้ร่วมสัมมนา เช่น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตส.ว. และอดีตสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ร่วมงานเสวนา เพื่อให้สังคมพิจารณาว่า ส.ว.ทำหน้าที่มา 1 ปีแล้วเพื่อประกันการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสังคมจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ และจำเป็นอยู่หรือไม่ที่จะมีส.ว." นาย
ปิยบุตร กล่าว
นาย
ปิยบุตร กล่าวถึงคดีความว่า ตั้งแต่ยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังมีคดีความค้างคาคือเรื่องดูหมิ่นศาล กรณีวิจารณ์การยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) รวมทั้งทราบข่าวว่า มีส.ส.ไปแจ้งความตนอีกหลายเรื่อง ไม่คิดว่าการมาเป็นนักการเมืองจะถูกฟ้องมากขนาดนี้ ซึ่งกฎหมายหมิ่นประมาทออกมาเพื่อคุ้มครองตัวบุคคล แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อกลั่นแกล้งหรือปิดปากคนอื่น โดยเฉพาะกับบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ใช้อำนาจรัฐด้วย ควรจะมีความอดทนอดกลั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่ควรมาเล่นการเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยการแสดงความคิดเห็นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
นาย
ปิยบุตร กล่าวต่อว่า และให้สังเกตดูตั้งแต่ปี 2557 มีคดีความเรื่องหมิ่นประมาทเยอะมาก รวมทั้งใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญามาตรา 116 เกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่น ซึ่งนานวันเข้ากฎหมายเหล่านี้จะเป็นกฎหมายปิดปากผู้ที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่เพียงแต่ตนเท่านั้น สื่อมวลชนต้องตระหนักด้วยเพราะกระทบต่อการทำหน้าที่
นาย
ปิยบุตร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเล่นการเมืองมาก็ถือว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด แต่ก็ไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใครเลย เพราะตนเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าสามารถถูกตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์ได้
ลั่นหงายมือจะกรวดน้ำไปให้!! 'บุ๋ม'ซัด'เอ๋'ผีเจาะปากมาพูด
https://www.dailynews.co.th/regional/778146
“บุ๋ม ปนัดดา”ไม่ทน”เอ๋ ปารีณา”ซัดผีเจาะปากมาพูด ชี้เป็นการหมิ่นประมาทผู้อื่น และพร่องด้านการอบรม ลั่นไม่ลดตัวลงไปแลกด้วยการขุดเรื่องครอบครัว แนะหงายมือจะกรวดน้ำอุทิศไปให้
หลังจากที่
เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก และเขียนถึง บุ๋ม ปนัดดา โดยมีข้อความว่า “
บุ๋ม ปนัดดา อ่านหน่อย ข่มขืนคืออาญามาตั้งนานแล้ว แต่ล่าสุดมีการเพิ่มโทษถึงประหารชีวิต” และ“
มั่ว พูดอะไรต้องระวัง เพราะเป็นดารา ประชาชนอ่านแล้วจะเข้าใจผิดไปตามได้ ข่มขืน คุกคาม สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญาได้ค่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องขอชื่นชมดารามากความสามารถ พิมผิด ดารามากสามีในความตั้งใจที่..”และ
”บุ๋ม ปนัดดา”ได้ออกมาตอบโต้อีกฝ่ายอย่างเจ็บแสบ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.
”บุ๋ม ปนัดดา”ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งโดยระบุว่า
นี่เป็นโพสต์สุดท้ายที่บุ๋มจะตอบโต้คุณ เพราะคิดว่าต่อให้เขียนไป คุณก็ไม่น่าเข้าใจ เสียเวลาชีวิตค่ะ แต่ที่ต้องชี้แจง เพราะอยากให้สังคมเข้าใจกรอบของคำว่าคุกคามทางเพศ อย่างการล้อเลียนเรื่องครอบครัวคนอื่น #ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ แม้กระทั่งเรื่องต่ำๆ อย่างล้อเลียนเรื่องกลิ่น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จนผู้อื่นได้รับความอับอาย #ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เรากำลังถกกัน #แถวบ้านเรียกผีเจาะปากมาพูด
หน้าที่ของดารา นักแสดง นางแบบและพิธีกร คือให้เกียรติทีมงาน สวมชุดที่คอสตูมเลือกให้ และรับบทบาทหน้าจอให้เต็มที่ การที่จะมีส.ส.รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน มานั่งวิจารณ์ชุด หรือผลงานของชาวบ้านเพื่อลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ของคนอื่น บุ๋มก็คงได้แต่ส่ายหัวค่ะ
สิ่งนี้นอกจากจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา ยังเป็นการคุกคามทางเพศทำเพื่อให้ผู้อื่นอับอาย เป็นคนธรรมดา ทำแบบนี้ก็ถือว่า พร่องการอบรม แต่ถ้าเป็นถึงสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ก็ได้แต่บอกว่า หมดคำพูด
บุ๋มไม่เข้าใจว่า การที่บุ๋มออกมายืนหยัดต่อสู้ เพื่อผู้หญิง ที่ไม่มีปากไม่มีเสียงในสังคม มันทำให้คุณไม่พอใจด้วยเหตุใด ถึงต้องโพสต์โจมตีบุ๋มหลายต่อหลายครั้ง บุ๋มคงไม่ลดตัวไปแลก ด้วยการขุดเรื่องครอบครัว หรือสิ่งที่คุณเคยกระทำในอดีตกับผู้อื่น แต่ให้สังคมตัดสินแทนเองนะคะ
#หงายมือรอส่วนบุญเลยค่ะ #เดี๋ยวกรวดน้ำไปให้
https://www.facebook.com/boompanadda2000/photos/a.545281112302134/1631693610327540/
JJNY : ชลน่านไม่รับหลักการพ.ร.บ.โอนงบฯ/ปิยบุตรเตรียมเปิดแคมเปญ"มีส.ว.ไว้ทำไม"/บุ๋มซัดเอ๋/หวั่นเบี้ยวหนี้ลาม/ไทยเงินฝืด
https://voicetv.co.th/read/aqxV6JaQS
"ชลน่าน" ย้ำไม่รับหลักการพ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายปี 63 เหตุขัดหลักประชาธิปไตย ตั้งฉายาพล.อ.ประยุทธ์ "จอมโอนแห่งยุค"
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย ผู้อภิปรายร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ.2563 ว่า จากหลักการและเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจง การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณครั้งนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐสภาไทยที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน การโอนงบประมาณรายจ่ายในประวัติศาสตร์มีมา 5 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ซึ่ง 5 ครั้งที่ผ่านมาเป็นการผ่านสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ อาศัยรัฐธรรมนูญมาตรา 143 และ 144 ในการพิจารณา เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายประจำปี และร่าง พ.ร.บ.รายจ่ายเพิ่มเติม แต่ที่สำคัญสมาชิกมีข้อจำกัดมากในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะว่าเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 143 และ 144 เขียนไว้ชัดว่าจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน สมาชิกวุฒิสภาจะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 20 วัน ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญสมาชิกไม่สามารถแปรญัตติในการเปลี่ยนแปลงรายการหรือแก้ไขเพิ่มเติมรายการหรือจำนวนในรายการ ทำได้เฉพาะการตัดทอนหรือลดรายจ่ายเท่านั้น ดังนั้นสมาชิกมีหน้าที่ลดหรือตัดทอนตัวรายจ่าย ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการโอนงบประมาณรายจ่าย ก็ตีความได้ว่าเป็นรายจ่ายก็สามารถปรับลดจำนวนหรือตัวรายจ่ายที่อยู่ในรายการได้
จากหลักการและเหตุผลที่นายกรัฐมนตรีได้แถลง ตนได้พิจารณาด้วยความละเอียดถี่ถ้วนจากเอกสาร ซึ่งมีทั้งหมด 5 มาตรา โดยมาตราที่สำคัญคือ มาตรา 4 จากการดูในรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ไม่สามารถที่จะรับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ เนื่องจากดูจากหลักการที่บอกให้โอนงบประมาณรายจ่ายจากหน่วยงานต่างๆ ที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ โอนจากรายจ่ายที่เป็นงบบูรณาการ และสำนักบริหารหนี้สาธารณะ ทั้งหมด 38 รายการ 22 หน่วยรับงบประมาณ มาตั้งไว้ในงบกลางรายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เหตุผลที่ตนไม่รับหลักการ เพราะขัดหลักประชาธิปไตยและกฎหมายอื่นๆ เพราะการจัดสรรงบประมาณมีหลักการ คือ ความจำเพาะเจาะจงของตัวงบประมาณ ต้องมีวัตถุประสงค์ แผนงาน เม็ดเงินที่ชัดเจน และการนำงบประมาณไปใช้ต้องคำนึงถึงหลักความยินยอมของประชาชน โดยผ่านรัฐสภาที่เป็นตัวแทนของประชาชน
หลักการสำคัญคือสภาต้องสามารถตรวจสอบได้ การโอนงบประมาณ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ 2561 มาตรา 53(1) เขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามโอนข้ามระหว่างหน่วยงาน เว้นแต่มีกฎหมายบัญญัติ ซึ่งงบกลางไม่ใช่หน่วยรับงบประมาณ เป็นประเภทรายจ่ายประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง โดยผู้บริหารผู้ใช้งบประมาณคือ นายกรัฐมนตรี ดังนั้นหลักประชาธิปไตยต้องชัดเจน ตรวจสอบได้ โปร่งใส
ให้ฉายานายกรัฐมนตรี "จอมโอนแห่งยุค"
ทั้งนี้ รายการการโอนงบประมาณในครั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบในอดีตย้อนไป ซึ่งต้องให้ฉายานายกรัฐมนตรีว่า #จอมโอนแห่งยุค เพราะไม่เคยมีใครโอนงบประมาณมากมายเท่ากับสมัยที่ของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยในรัฐบาล คสช. มีการโอนงบประมาณไป 4 ครั้ง เม็ดเงินรวม 53,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่โอนไปไว้ในงบกลาง
อีกเหตุผลที่ไม่สามารถเห็นชอบหลักการได้ คือ ความสมเหตุสมผลที่จะนำงบประมาณไปใช้ นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะนำไปใช้อยู่ 3 เหตุผลใหญ่
1. แก้ไขปัญหาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
2. นำไปป้องกันแก้ไขเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ภัยแล้ง
3. นำไปป้องกันเหตุภัยพิบัติอื่นๆ เราเป็นสภาที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ในรายละเอียดของการโอนไปใช้ สิ่งที่ควรจะเป็นต้องตั้งเวลาไว้ 105 วัน เพราะเพื่อให้ดูในรายละเอียด ต้องหลีกเลี่ยงการนำไปเข้างบกลางให้มากที่สุด สภาแห่งนี้อาจจะยอมได้บ้าง แต่ไม่ควรยอม 88,000 ล้านบาท เพราะหากยอมเราจะไปสนับสนุนนายกรัฐมนตรีให้เป็นจอมเลี่ยงหลักนิติธรรม เพราะนายกรัฐมนตรีไม่เคยปกครองตามกฎหมาย แต่ใช้กฎหมายปกครอง ตั้งแต่เข้าสู่ตำแหน่ง มีการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายการเลือกตั้ง เพื่อให้ได้มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศก็มีการแก้ระเบียบเพื่อรองรับกรอบวินัยการเงินการคลัง ดังนั้นลักษณะแบบนี้เหมือนกับมัดมือสภาให้อนุมัติเหมือนตีเช็คเปล่า
"หากสภาแห่งนี้อนุมัติ สภาของเราจะเป็นที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนชุดแรก สภาชุดที่ 25 นี้ในสมัยประชุมที่ 1 ปีที่ 2 ครั้งที่ 2 วันนี้ จะเป็นรอยด่างเขียนไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยว่าถูกมัดมือชก อนุมัติเห็นชอบกฎหมายโอนงบประมาณที่ไม่ควรจะเห็นชอบเลย" นพ.ชลน่าน กล่าว
ปิยบุตร เตรียมเปิดแคมเปญ "มีส.ว.ไว้ทำไม" โอดเล่นการเมืองมาคดีเพียบ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_4251678
ปิยบุตร ชี้ ปม สว. ตั้ง สนช. เป็น ป.ป.ช. เปรียบเป็นการผลัดกันเกาหลัง เผย 5 มิ.ย.นี้ เปิดแคมเปญ "มีส.ว.ไว้ทำไม" โอด เล่นการเมืองมาคดีเพียบ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) มีมติให้นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า ถือเป็นความผิดเพี้ยนของรัฐธรรมนูญ ด้านหนึ่งต้องรักษาความเป็นกลาง ความเป็นอิสระ ไม่มีส่วนได้เสีย แต่สุดท้ายส.ว. เลือกนายสุชาติ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มาเป็นกรรมการป.ป.ช.
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า เท่ากับเป็นระบบผลัดกันเกาหลัง วนกันอยู่เพียงกลุ่มคนเดิม ๆ ปัญหาต่อมาก็ต้องดูว่ามีองค์กรไหนมาชี้ขาดให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพราะทราบว่าคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ก็มีมาตรฐานไปอีกแบบหนึ่ง เพราะตัดสิทธิ์ผู้ที่เคยเป็นสนช. ไม่สามารถดำรงตำแหน่งกสม. ได้
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า อยากให้ไปย้อนดูจุดเริ่มต้น สนช. หน่วยธุรการที่เขานำไปใช้ก็คือสำนักงานเลขาวุฒิสภา ถือเป็นนัยยะสำคัญอันหนึ่งว่า สนช. เท่ากับ ส.ส. หรือส.ว.กันแน่ ทั้งนี้ ตั้งแต่ยึดอำนาจมาก็วนกันอยู่ที่เดิม โดยวันที่ 5 มิ.ย.นี้ หากจำกันได้ มีการเลือก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดย 500 เสียง มี 249 เสียงเป็นวุฒิสภา เว้นประธานวุฒิสภาที่งดออกเสียง จึงเห็นได้ว่าส.ว. ที่เลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จึงชัดเจนที่สุดว่าวุฒิสภาชุดนี้ตั้งมาเพื่อการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร
"วันที่ 5 มิ.ย.นี้ เราจะเปิดแคมเปญ "ส.ว. มีไว้ทำไม" อย่างเป็นทางการ และวันที่ 6 มิ.ย. จะมีการจัดสัมมนาออนไลน์ ทั้งนี้ จะมีผู้ร่วมสัมมนา เช่น นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตส.ว. และอดีตสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ร่วมงานเสวนา เพื่อให้สังคมพิจารณาว่า ส.ว.ทำหน้าที่มา 1 ปีแล้วเพื่อประกันการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสังคมจะเอาอย่างไรกับเรื่องนี้ และจำเป็นอยู่หรือไม่ที่จะมีส.ว." นายปิยบุตร กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวถึงคดีความว่า ตั้งแต่ยุบพรรคอนาคตใหม่ ก็ยังมีคดีความค้างคาคือเรื่องดูหมิ่นศาล กรณีวิจารณ์การยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) รวมทั้งทราบข่าวว่า มีส.ส.ไปแจ้งความตนอีกหลายเรื่อง ไม่คิดว่าการมาเป็นนักการเมืองจะถูกฟ้องมากขนาดนี้ ซึ่งกฎหมายหมิ่นประมาทออกมาเพื่อคุ้มครองตัวบุคคล แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อกลั่นแกล้งหรือปิดปากคนอื่น โดยเฉพาะกับบุคคลที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ใช้อำนาจรัฐด้วย ควรจะมีความอดทนอดกลั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่ควรมาเล่นการเมือง เพราะในระบบประชาธิปไตยการแสดงความคิดเห็นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า และให้สังเกตดูตั้งแต่ปี 2557 มีคดีความเรื่องหมิ่นประมาทเยอะมาก รวมทั้งใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และกฎหมายอาญามาตรา 116 เกี่ยวกับการยุยงปลุกปั่น ซึ่งนานวันเข้ากฎหมายเหล่านี้จะเป็นกฎหมายปิดปากผู้ที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งไม่เพียงแต่ตนเท่านั้น สื่อมวลชนต้องตระหนักด้วยเพราะกระทบต่อการทำหน้าที่
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่ตนเล่นการเมืองมาก็ถือว่าเป็นนักการเมืองคนหนึ่งที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด แต่ก็ไม่เคยฟ้องหมิ่นประมาทใครเลย เพราะตนเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย เชื่อว่าสามารถถูกตรวจสอบ และวิพากษ์วิจารณ์ได้
ลั่นหงายมือจะกรวดน้ำไปให้!! 'บุ๋ม'ซัด'เอ๋'ผีเจาะปากมาพูด
https://www.dailynews.co.th/regional/778146
“บุ๋ม ปนัดดา”ไม่ทน”เอ๋ ปารีณา”ซัดผีเจาะปากมาพูด ชี้เป็นการหมิ่นประมาทผู้อื่น และพร่องด้านการอบรม ลั่นไม่ลดตัวลงไปแลกด้วยการขุดเรื่องครอบครัว แนะหงายมือจะกรวดน้ำอุทิศไปให้
หลังจากที่ เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊ก และเขียนถึง บุ๋ม ปนัดดา โดยมีข้อความว่า “บุ๋ม ปนัดดา อ่านหน่อย ข่มขืนคืออาญามาตั้งนานแล้ว แต่ล่าสุดมีการเพิ่มโทษถึงประหารชีวิต” และ“มั่ว พูดอะไรต้องระวัง เพราะเป็นดารา ประชาชนอ่านแล้วจะเข้าใจผิดไปตามได้ ข่มขืน คุกคาม สามารถแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญาได้ค่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องขอชื่นชมดารามากความสามารถ พิมผิด ดารามากสามีในความตั้งใจที่..”และ”บุ๋ม ปนัดดา”ได้ออกมาตอบโต้อีกฝ่ายอย่างเจ็บแสบ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มิ.ย.”บุ๋ม ปนัดดา”ได้โพสต์ข้อความอีกครั้งโดยระบุว่า
นี่เป็นโพสต์สุดท้ายที่บุ๋มจะตอบโต้คุณ เพราะคิดว่าต่อให้เขียนไป คุณก็ไม่น่าเข้าใจ เสียเวลาชีวิตค่ะ แต่ที่ต้องชี้แจง เพราะอยากให้สังคมเข้าใจกรอบของคำว่าคุกคามทางเพศ อย่างการล้อเลียนเรื่องครอบครัวคนอื่น #ทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ล้อเลียนเรื่องรูปลักษณ์ แม้กระทั่งเรื่องต่ำๆ อย่างล้อเลียนเรื่องกลิ่น ทั้งที่ไม่เป็นความจริง จนผู้อื่นได้รับความอับอาย #ทั้งที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่เรากำลังถกกัน #แถวบ้านเรียกผีเจาะปากมาพูด
หน้าที่ของดารา นักแสดง นางแบบและพิธีกร คือให้เกียรติทีมงาน สวมชุดที่คอสตูมเลือกให้ และรับบทบาทหน้าจอให้เต็มที่ การที่จะมีส.ส.รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน มานั่งวิจารณ์ชุด หรือผลงานของชาวบ้านเพื่อลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ของคนอื่น บุ๋มก็คงได้แต่ส่ายหัวค่ะ
สิ่งนี้นอกจากจะเข้าข่ายผิดกฎหมายหมิ่นประมาท ด้วยการโฆษณา ยังเป็นการคุกคามทางเพศทำเพื่อให้ผู้อื่นอับอาย เป็นคนธรรมดา ทำแบบนี้ก็ถือว่า พร่องการอบรม แต่ถ้าเป็นถึงสมาชิกผู้ทรงเกียรติ ก็ได้แต่บอกว่า หมดคำพูด
บุ๋มไม่เข้าใจว่า การที่บุ๋มออกมายืนหยัดต่อสู้ เพื่อผู้หญิง ที่ไม่มีปากไม่มีเสียงในสังคม มันทำให้คุณไม่พอใจด้วยเหตุใด ถึงต้องโพสต์โจมตีบุ๋มหลายต่อหลายครั้ง บุ๋มคงไม่ลดตัวไปแลก ด้วยการขุดเรื่องครอบครัว หรือสิ่งที่คุณเคยกระทำในอดีตกับผู้อื่น แต่ให้สังคมตัดสินแทนเองนะคะ
#หงายมือรอส่วนบุญเลยค่ะ #เดี๋ยวกรวดน้ำไปให้
https://www.facebook.com/boompanadda2000/photos/a.545281112302134/1631693610327540/