คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
พึ่งไปได้หลักสัปดาห์ใช่ไหมคะ จริงๆเป็นเรื่องปกติ พอผ่านไปสักพักก็จะค่อยๆดีขึ้น
คือในกรณีน้องคุณ อ่านแล้วเป็น Homesick ปกติ
แต่ แต่ แต่ มันมีเหตุการณ์โควิดมาร่วมด้วย ซึ่งขนาดคนปกติไม่ได้ห่างบ้านไปไหนยังเครียดเลยค่ะ
นี่เหมือนโดนปิดขังอยู่ในห้วงแห่งความเครียด เพราะบ้านก็กลับไม่ได้
(คือคน Homesick อาการคือจะพยายามหาทุกวิธีให้ได้กลับบ้าน
พอเจอแบบนี้มันเหมือนทางออกนั้น มโนเรื่องนั้น โดนตัดไป ยิ่งเครียดหนักไปอีก)
เราเข้าใจดี เพราะตอนไปเรียนป.โท เราร้องไห้ทุกวัน ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ไปถึง
ของน้องคุณยังดี มีเด็กให้ดูแล มีครอบครัวให้อยู่ด้วย
เราไปตัวคนเดียว ที่ยุโรป อยู่หอพักคนเดียว ไม่มีคนรู้จักหรือแนะนำอะไรเลยค่ะ
เคว้างมากๆ หิว นอนคืนแรกไม่มีผ้าปู ฯลฯ
เราร้องแบบว่า เวลาเดียวที่หยุดร้องคือตอนเผลอหลับค่ะ
ขนาดวันแรกไปมหาลัยฯ ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ทำเรื่องต่างๆ
เราคุยกับเขาไปเรื่องเอกสาร น้ำตาก็ไหลไปตลอดเวลาอย่างนั้น
นึกแล้วก็ ใครไม่เจออาการ Homesick จะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกอันทรมานนี้เลย
ทรมานมากจริงๆค่ะ ไม่ต่างกับโรคเจ็บป่วยหนักๆอื่นๆเลย เราบอกได้แค่นี้
แล้วที่เราบอกว่าโดยธรรมชาติของคน Homesick ในใจจะวางแผนแล้ว จะได้กลับบ้านเกิดยังไง
ตอนนั้นการคิด หาทางออก หาเรื่องกลับ มันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเราได้ช่วงนึงค่ะ
ว่า เช่น ถ้าทำแบบนี้ๆ ขอทำเรื่องนู่นนั่นนี่ ก็จะได้กลับตอนนี้ๆ เป็นต้น
สุดท้ายก็เรียนจนจบ ไม่ได้กลับนะคะ เพราะเวลาผ่านไป ก็คุ้นชิน และสนุกแล้วค่ะ
ส่วนเทคนิคนะคะ สำหรับเรา โอ๋ไป ปลอบไป ไม่ได้ช่วย ยิ่งด่ายิ่งไม่ช่วย
ให้แสดงความเข้าใจค่ะ พูดเรื่องโควิด ว่าความเครียดนี้ เกิดขึ้นทั่วโลก
พี่เข้าใจว่าเราเครียดแค่ไหน ขนาดคนอยู่เมืองเกิดยังเครียด บลาๆๆๆ
และที่เรากล่าวไปข้างต้นว่า ที่ว่าพอรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางกลับบ้านได้ มันเหมือนโดนขังอยู่ในห้วงแห่งความเครียด
ให้พูดกับน้องแนวให้แสงสว่างค่ะ เช่น ถ้าเดินทางได้ สถานการณ์ดีขึ้น ถึงตอนนั้นเรามาคิดกันใหม่ ว่ากลับดีไหม
รู้ใช่ไหมว่าเสียเงินมาแล้ว รู้ใช่ไหมว่าวันนึงเราจะชินกับอเมริกา
แต่ถ้าหัวใจเราปิดขนาดนั้นจนเปิดให้กับที่ีนี่ไม่ได้ เดินทางได้เมื่อไหร่มาคุยกันอีกที เป็นต้น
คือให้เขาเห็นมุมที่สว่าง เห็นทางออกจากห้วงแห่งความเครียดที่พอจะไปได้บ้าง
แต่ก็อย่าไปสรุปหรือให้ความหวังซะทีเดียว แค่บอกไปแนวว่า ถึงเวลานั้น เรามีโอกาศกลับ แล้วเรามาคุยกันอีกที
พร้อมย้ำเรื่อง เวลา การปรับตัว ฯลฯ
อันนี้เขียนจากประสบการณ์และความรู้สึกของตัวเองเลยค่ะ
หวังว่าจะช่วยบรรเทาได้ในระดับนึง
คือในกรณีน้องคุณ อ่านแล้วเป็น Homesick ปกติ
แต่ แต่ แต่ มันมีเหตุการณ์โควิดมาร่วมด้วย ซึ่งขนาดคนปกติไม่ได้ห่างบ้านไปไหนยังเครียดเลยค่ะ
นี่เหมือนโดนปิดขังอยู่ในห้วงแห่งความเครียด เพราะบ้านก็กลับไม่ได้
(คือคน Homesick อาการคือจะพยายามหาทุกวิธีให้ได้กลับบ้าน
พอเจอแบบนี้มันเหมือนทางออกนั้น มโนเรื่องนั้น โดนตัดไป ยิ่งเครียดหนักไปอีก)
เราเข้าใจดี เพราะตอนไปเรียนป.โท เราร้องไห้ทุกวัน ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่ไปถึง
ของน้องคุณยังดี มีเด็กให้ดูแล มีครอบครัวให้อยู่ด้วย
เราไปตัวคนเดียว ที่ยุโรป อยู่หอพักคนเดียว ไม่มีคนรู้จักหรือแนะนำอะไรเลยค่ะ
เคว้างมากๆ หิว นอนคืนแรกไม่มีผ้าปู ฯลฯ
เราร้องแบบว่า เวลาเดียวที่หยุดร้องคือตอนเผลอหลับค่ะ
ขนาดวันแรกไปมหาลัยฯ ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ ทำเรื่องต่างๆ
เราคุยกับเขาไปเรื่องเอกสาร น้ำตาก็ไหลไปตลอดเวลาอย่างนั้น
นึกแล้วก็ ใครไม่เจออาการ Homesick จะไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกอันทรมานนี้เลย
ทรมานมากจริงๆค่ะ ไม่ต่างกับโรคเจ็บป่วยหนักๆอื่นๆเลย เราบอกได้แค่นี้
แล้วที่เราบอกว่าโดยธรรมชาติของคน Homesick ในใจจะวางแผนแล้ว จะได้กลับบ้านเกิดยังไง
ตอนนั้นการคิด หาทางออก หาเรื่องกลับ มันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเราได้ช่วงนึงค่ะ
ว่า เช่น ถ้าทำแบบนี้ๆ ขอทำเรื่องนู่นนั่นนี่ ก็จะได้กลับตอนนี้ๆ เป็นต้น
สุดท้ายก็เรียนจนจบ ไม่ได้กลับนะคะ เพราะเวลาผ่านไป ก็คุ้นชิน และสนุกแล้วค่ะ
ส่วนเทคนิคนะคะ สำหรับเรา โอ๋ไป ปลอบไป ไม่ได้ช่วย ยิ่งด่ายิ่งไม่ช่วย
ให้แสดงความเข้าใจค่ะ พูดเรื่องโควิด ว่าความเครียดนี้ เกิดขึ้นทั่วโลก
พี่เข้าใจว่าเราเครียดแค่ไหน ขนาดคนอยู่เมืองเกิดยังเครียด บลาๆๆๆ
และที่เรากล่าวไปข้างต้นว่า ที่ว่าพอรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางกลับบ้านได้ มันเหมือนโดนขังอยู่ในห้วงแห่งความเครียด
ให้พูดกับน้องแนวให้แสงสว่างค่ะ เช่น ถ้าเดินทางได้ สถานการณ์ดีขึ้น ถึงตอนนั้นเรามาคิดกันใหม่ ว่ากลับดีไหม
รู้ใช่ไหมว่าเสียเงินมาแล้ว รู้ใช่ไหมว่าวันนึงเราจะชินกับอเมริกา
แต่ถ้าหัวใจเราปิดขนาดนั้นจนเปิดให้กับที่ีนี่ไม่ได้ เดินทางได้เมื่อไหร่มาคุยกันอีกที เป็นต้น
คือให้เขาเห็นมุมที่สว่าง เห็นทางออกจากห้วงแห่งความเครียดที่พอจะไปได้บ้าง
แต่ก็อย่าไปสรุปหรือให้ความหวังซะทีเดียว แค่บอกไปแนวว่า ถึงเวลานั้น เรามีโอกาศกลับ แล้วเรามาคุยกันอีกที
พร้อมย้ำเรื่อง เวลา การปรับตัว ฯลฯ
อันนี้เขียนจากประสบการณ์และความรู้สึกของตัวเองเลยค่ะ
หวังว่าจะช่วยบรรเทาได้ในระดับนึง
แสดงความคิดเห็น
น้องสาว homesick หนักมาก ไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะ
ปล. น้องอยู่นิวเจอร์ซี่ อเมริกาค่ะ